ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 181 มาด้วยตัวเอง
หลังจากหลินเหรากลับมาถึงห้องโถงกลางด้านหน้า ก็เจอกับท่านผู้ตรวจการที่รอเขาอยู่ก่อนแล้ว
ครั้นท่านผู้ตรวจการเห็นเขา ประโยคแรกที่เอ่ยถามคือ “อาเหรา ข้าได้ยินว่าที่คุกใต้ดินเกิดเรื่อง?”
หลินเหราไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เล่าได้อย่างครบถ้วน “มีคนในคุกใต้ดินจุดธูปที่ทำให้มึนงง ทั้งยังวางยาที่ดึงดูดสิ่งมีชีวิตจำพวกหนู งู และแมลงเข้าไป คิดว่าเพื่อสร้างความโกลาหลก่อนใช้โอกาสนี้หลบหนีขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการมีสีหน้าเคร่งเครียด “อยู่ในคุกใต้ดินก็ยังไม่เว้น! ยังกล้าคิดชั่วทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องกระชากคนผู้นั้นออกมาแล้วลงโทษสถานหนักให้จงได้!”
หลินเหราพยักหน้า “ท่านโปรดวางใจ เจิ้งอันพากำลังเสริมไปจัดการเรื่องนี้แล้วขอรับ รอแค่ไล่พวกหนูและงูเหล่านั้นออกไป จากนั้นค่อยตรวจสอบอีกที ไม่มีทางที่ผู้ริเริ่มก่อความวุ่นวายผู้นี้จะหลุดรอดออกไปได้”
ท่านผู้ตรวจการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างจริงจัง จึงกำชับหลินเหราว่า “ตอนนี้จวนผู้ตรวจการได้ปราบโจรภูเขาจนสิ้นซากแล้ว แม้ว่าสิ่งที่ทำจะเป็นเรื่องดีสร้างประโยชน์ต่อราษฎร แต่สุดท้ายก็ต้องรับเผือกร้อน[1]ไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นโจรภูเขาที่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน จะให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด!”
หลินเหราตอบรับ
กระทั่งได้ยินท่านผู้ตรวจการถามอีกครั้ง “เจ้าได้ไปเยี่ยมเหยาเฉาบ้างหรือไม่? อาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
เขารักและเอ็นดูเหยาเฉาเสมอมา
ในปฏิบัติการปราบโจรภูเขาเฮยหู่ในครั้งนี้ เขาได้ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องเหยาเฉาที่แต่งกายด้วยชุดเจ้าสาว เดินเหินขยับตัวไม่ค่อยสะดวกให้จงได้ แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นนั้น
หลินเหราเล่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พี่รองเสียเลือดมากเกินไปจึงสลบไปช่วงเวลาหนึ่ง โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจุดสำคัญ อาการบาดเจ็บเลยไม่หนักเท่าใดขอรับ”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้ตรวจการจึงพยักหน้า
แม้ว่าเจิ้งอันจะพูดกับเขาว่าอาการบาดเจ็บของเหยาเฉาไม่หนักนัก แต่เขาก็ยังไม่วายคิดวิเคราะห์คำพูดนี้ในใจ และคิดไปว่าที่เจิ้งอันกล่าวเช่นนั้นด้วยไม่อยากให้เขาเป็นกังวลเกินไป
การไปมาหาสู่ในช่วงสองสามวันนี้ทำให้ผู้ตรวจการได้รู้จักอุปนิสัยของหลินเหราชัดเจนขึ้น รู้ว่าเขาเป็นคนที่พูดสิ่งใดก็ทำอย่างนั้น จึงไม่ใคร่สงสัยในคำพูดของหลินเหราแต่อย่างใด….
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เขาก็ทอดถอนใจยาว ๆ “ก็คงเป็นความโชคดี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ เจ้าและเหยาเฉา คนหนึ่งก็พูดมากคิดมาก อีกคนก็พูดน้อยเรื่องน้อย เห็นได้ชัดว่าทั้งสองมีนิสัยแตกต่างกันโดยสมบูรณ์ ท้ายที่สุดกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่างก็เป็นมือขวาและมือซ้ายของข้า ขาดคนใดคนหนึ่งไปข้าคงไม่ชินแน่”
หากเหยาเฉาอยู่ที่นี่ จะต้องพูดอะไรที่ระรื่นหู หยอกล้อคนแก่อย่างเขาจนต้องหัวเราะออกมาแน่นอน
หลินเหราไม่ชอบการพูดคุยในที่สาธารณะ จะรายงานเฉพาะเรื่องที่สำคัญเท่านั้น “วันนี้ตอนที่ไปหาพี่รองที่นั่น เขายังเป็นกังวลอยู่เลยขอรับ ว่าโจรภูเขาในคุกใต้ดินจะสร้างความวุ่นวายหรือไม่”
ครั้นเห็นหลินเหราพูดอย่างจริงจัง ท่านผู้ตรวจการจึงไม่พูดเล่นอีก เพราะอยากฟังความคิดของผู้ที่อยู่ใต้บัญชา “ตอนนี้คนเหล่านี้ถูกขังอยู่ในที่เดียวกัน นั่นเป็นแค่แผนการรับมือชั่วคราว ไฉนเลยจะขังไปได้ตลอด? เหยาเฉามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเหราไปหาเหยาเฉาตั้งแต่เช้า เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
เชาจึงรายงานกลับ “พี่รองคิดว่า จะปฏิบัติต่อโจรภูเขาก็ควรจะสั่งสอนกล่อมเกลาเป็นหลัก อันดับแรกให้ตรวจสอบทุกคนอย่างละเอียด แล้วค่อยว่ากันไปตามสถานการณ์จริง ลงโทษทุกคนแตกต่างกัน”
ท่านผู้ตรวจการลูบเคราที่เพิ่งงอกใหม่ตรงปลายคาง พลางขมวดคิ้วครุ่นคิด
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “นี่คือความคิดของเหยาเฉาหรือ?”
หลินเหราพยักหน้า
การประพฤติตัวและรูปแบบการปฏิบัติงานของเหยาเฉาล้วนเป็นเช่นนี้ ยอมเสียเวลาคิดไปบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการกับทุกรายละเอียดให้ดีที่สุด
โจรภูเขาทำเรื่องชั่วช้ามากมาย แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีจิตใจโหดเหี้ยม โดยส่วนใหญ่มักจะถูกบีบให้เป็นผู้กระทำผิดทั้งนั้น
การกระทำของเหยาเฉา ก็คือทางรอดเดียวของคนเหล่านี้
ครั้นหัวหน้าผู้ตรวจการเห็นหลินเหราแค่แสดงความคิดเห็นแทนเหยาเฉา จึงเอ่ยปากถามเขาว่า “แล้วอาเหรา มีความคิดเห็นอื่นหรือไม่?”
หลินเหราไม่ได้มีนิสัยขี้อาย เขาจึงตอบไปตามตรง “ข้าคิดว่า สั่งสอนกล่อมเกลาโจรภูเขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้ก็เป็นฤดูวสันต์ เมื่อต้นฤดูวสันต์ทางราชสำนักได้นำม้าหน่วยก้านดีฝูงหนึ่งมาจากทิศตะวันตก ถึงตอนนั้นค่ายป้องกันเมืองก็คงจะยุ่งอยู่กับการฝึกทหาร แม้แต่จวนผู้ตรวจการก็คงจะแบ่งคนออกมาไม่ได้ การจะตรวจสอบพวกโจรอย่างละเอียดถี่ถ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายขอรับ”
ท่านผู้ตรวจการให้กำลังใจ ส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
หลินเหราจึงพูดต่อว่า “จากความคิดของผู้น้อย เราต้องรายงานเรื่องนี้ต่อทางราชสำนักโดยเร็วที่สุด เสนอให้ลงโทษด้วยการเนรเทศพวกโจรออกไปให้สิ้นซาก โจรภูเขาโดยส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกับเมืองชิงถง หากปล่อยให้พวกเขาอยู่ในถิ่นฐานเดิม เกรงว่าวันข้างหน้าจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก สู้เนรเทศไปยังที่ที่ไม่คุ้นเคยเสียดีกว่า แค่เพิ่มการควบคุมให้มากขึ้น”
น้อยนักที่ผู้ตรวจการจะเห็นหลินเหราพูดจาฉะฉานเช่นนี้ ครั้นได้ยินก็อดยิ้มและกล่าวชื่นชมไม่ได้ “หลานชายของหลินโป๋ เชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ ใจตรงกับที่ข้าคิดไว้ เช้าตรู่วันนี้ข้าได้ส่งสาส์นไปกราบทูลต่อเมืองหลวงแล้ว คิดว่าไม่เกินสองสามวันนี้ น่าจะได้รับการตอบรับ”
นอกจากตอนที่ได้เจอกันเป็นครั้งแรกแล้ว ท่านผู้ตรวจการไม่เคยเอ่ยถึงผู้เป็นปู่ของหลินเหรามาก่อน
วันนี้ได้เห็นเขาเริ่มเกริ่นก่อน ในใจของหลินเหราก็แปลกใจไม่น้อย
ใบหน้าของผู้ตรวจการแสดงสีหน้าแห่งความห่วงหาอาทร กระทั่งเห็นเขาส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง “ทว่าปู่ของเจ้า ในวัยเท่าเจ้านั้นยังถือตำรับตำราร่ำเรียนอย่างหนักอยู่เลย ภาคปฏิบัติยังเด็ดขาดสู้หลานชายไม่ได้”
เมื่อตอนที่ปู่ของหลินเหราลาจากโลกนี้ไป เขายังเด็กนัก ในสมองจึงแทบไม่มีความทรงจำของผู้เป็นปู่หลงเหลืออยู่สักนิด
ตอนนี้เมื่อมีคนเอ่ยถึงญาติทางสายเลือดของตัวเองกับเขา ในใจของหลินเหราไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก แต่ยังคงฟังอย่างตั้งใจ
น้ำเสียงของชายชราค่อย ๆ อ่อนลง เช่นเดียวกับผู้อาวุโสในครอบครัวอื่น ๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวในอดีต “ปู่ของเจ้าและข้ารู้จักกันตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นสหายที่สนิทสนมกันมาก ตอนนั้นบ้านของข้ายากจนข้นแค้นเหลือเกิน ปกติทุกคนมักจะขอความช่วยเหลือจากเขา ต่อมาเราสองคนก็แยกกันไปสร้างครอบครัว ทุ่มเทให้กับครอบครัวและหน้าที่การงานมากขึ้น บางครั้งข้าเองก็อิจฉาเขาที่ได้ตบแต่งกับภรรยาตั้งแต่ยังวัยเยาว์ จนให้กำเนิดลูกชายที่มีไหวพริบและเรียนเก่ง ฉลาดปราดเปรื่องตั้งแต่เด็ก”
ขณะที่พูด สายตาของเขาก็เลื่อนมายังใบหน้าของหลินเหรา ราวกับมองเห็นสหายเก่าจากตัวเขา
หลินเหราอดเอ่ยถามไม่ได้ “ผู้ตรวจการมองผู้น้อยเช่นนี้ คงไม่ได้คิดว่าข้ามีหน้าตาคล้ายกับท่านปู่หรอกนะขอรับ?”
ผู้ตรวจการกลับส่ายหน้า “เจ้าเหมือนกับมารดาของเจ้า”
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจพลันก่อเกิดความสงสัยขึ้นมา
แม่หวังนั้นเป็นคนใจคอโหดร้าย อีกทั้งใบหน้าก็ดูแล้งน้ำใจ เมื่อครั้นวัยเยาว์ใบหน้าของเขาจึงไม่เหมือนนางเท่าไรนัก
ตรงกันข้ามกลับเป็นน้องรองและน้องสาม ที่แม้แต่ใบหน้าบางครั้งก็ยังมองเห็นเป็นเงาของมารดาไม่ผิดเพี้ยน
ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหลินมีแค่พ่อหลินที่เป็นลูกชายคนเดียว แม้ว่าจะร่ำเรียนหนังสือทุกวัน แต่กลับไร้ซึ่งความรู้และความสามารถ ไฉนเลยปู่ของเขาจะมีลูกชายคนโตที่มีไหวพริบและเรียนเก่งได้เล่า?
แล้วยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแม่หวัง หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เช่นนั้นผู้ตรวจการไปเห็นหน้าค่าตาของนางจากที่ไหนกัน?
สิ่งที่ผู้ตรวจการพูดนั้น ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในความเป็นจริงของหลินเหราเลยแม้แต่น้อย
แต่ถ้าความทรงจำของผู้อาวุโสไม่เคยผิดพลาด เช่นนั้นแล้วปัญหามันอยู่ตรงที่ใด?
หลินเหราสงบเยือกเย็นมาก เพียงแค่เอ่ยถามปัญหาที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องอย่างหนึ่งว่า “ท่านเป็นสหายกับท่านปู่มาหลายปี คงจะเคยเจอกับท่านพ่อของข้าแล้วกระมัง?”
ในเรื่องความรอบคอบและไหวพริบของหลินเหรา ผู้ตรวจการมักจะแอบชื่นชมอยู่เงียบ ๆ ในใจ ในสายตาของเขานอกจากความอ่อนโยนแล้ว ก็อดเพิ่มความชื่นชมเข้าไปไม่ได้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพูดด้วยความขบขันว่า “ถ้ากล่าวถึงเรื่องความหลัง เกรงว่าสามวันสามคืนก็คงจะพูดไม่หมด อีกสองสามวันจดหมายที่ข้าส่งไปเมืองหลวงน่าจะมีการตอบกลับ ถ้าสหายเก่าในเมืองเชื้อเชิญ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ค่อยตามข้าไปเที่ยวในเมืองสักครั้งก็ได้”
หลินเหราข่มความสงสัยไว้ในใจ เพราะผู้ตรวจการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดคุยกับเขาอย่างจริงจังต่อไป
……..
จดหมายที่ส่งไปเมืองหลวง เร็วที่สุดต้องใช้เวลาถึงสามวัน ระหว่างทางทั้งไปทั้งกลับมีการถ่วงรั้งเวลาอยู่บ้าง ทว่าการตอบกลับก็น่าจะไม่เกินสิบวัน
แต่คาดไม่ถึงว่าห้าวันหลังจากที่พวกเขาสองคนได้พูดคุยกัน ‘สหายเก่าในเมือง’ ที่ท่านผู้ตรวจการเอ่ยถึงก็ได้รับข่าวคราวแล้วจริง ๆ
คนผู้นั้นไม่ได้ส่งจดหมายมาเชิญ หากแต่ควบม้าเร็วมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง
…………………………………………………………………………………………………..
[1] เผือกร้อน เรื่องราวหรือปัญหาที่แก้ไขยาก รับมือยาก ประหนึ่งเผือกร้อนๆ ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พองเสียเปล่าๆ
สารจากผู้แปล
เห ใครกันนะที่เป็นสหายเก่าของผู้ตรวจการ จะเป็นปู่ที่แท้จริงของอาเหราไหมนะ? แล้วบ้านหลินนั่นคือครอบครัวบุญธรรมเหรอ?
ไหหม่า(海馬)