ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 183 ข้าคือน้าของเจ้า
จู่ ๆ หัวใจของเหยาซูก็เต้นรัวคล้ายจะทะลุออกมา แสงอาทิตย์แสนอบอุ่นได้สาดส่องเข้ามาจากด้านหลัง ทำให้ดวงตาที่เดิมทีลึกล้ำยากหยั่งถึงของหลินเหราพลันเปล่งประกายขึ้นมา
ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่พลันเงียบลงทันใด สิ่งที่เหยาซูได้ยินในหูมีเพียงสุ้มเสียงที่ทุ้มต่ำและแฝงไปด้วยความขบขันของเขา
นางจึงตอบกลับอย่างหยอกเย้า “ข้าเองก็จนปัญญา คงจะปิดตาของผู้อื่นไม่ได้ ไม่เช่นนั้นทุกคนจะมองเห็นกันได้อย่างไรเล่า?”
หลินเหราไม่พูดสิ่งใดต่อจากนั้น เพียงใช้มือเช็ดเหงื่อ จากนั้นก็กระชับมือขวาของเหยาซูให้แน่นขึ้น
ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ในตลาด ต่างคนต่างครุ่นคิดเรื่องของตัวเองในใจ ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา
ทว่ามือที่จับนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยไปตลอดทาง
……
รอจนกระทั่งหลินเหราและเหยาซูเดินเล่นได้ครึ่งวัน จึงพากันไปหาของกิน จากนั้นก็ค่อยเดินตามกันกลับบ้านภายใต้แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นแต่ไม่ร้อนแรง
เหยาซูที่ได้กินซาลาเปาอิ่มหนำสำราญก็ได้เผยรอยยิ้มจาง ๆ และเผยท่าทางสะลึมสะลือคล้ายกับง่วงนอน
ครั้นถึงบ้าน กลับเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงธรณีประตูบ้าน
“สหายหลิน! เจ้ากลับมาแล้ว…”
เหยาซูสะดุ้งตื่นทันใด กระทั่งเห็นเจิ้งอันลุกขึ้นจากธรณีประตู ปัดเศษดินบนตัว ใบหน้าของนางจึงเผยรอยยิ้มออกมา “พี่ใหญ่เจิ้งมาได้อย่างไร?”
เจิ้งอันรอมาตลอดตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เวลานี้กลับไม่ได้แสดงกิริยาไม่พอใจแต่อย่างใด เขาหัวเราะเหอะๆ พร้อมกับกล่าวทักทายเหยาซูเล็กน้อย “น้องอาซู ไม่เจอกันหลายวัน เหตุใดถึงได้งามขึ้นเพียงนี้?”
เหยาซูแย้มยิ้ม “ต่อให้พูดเพราะแค่ไหน วันนี้อาเหราก็ไปกับท่านไม่ได้ เวลาพักผ่อนเช่นนี้ขอปฏิเสธการรับแขก เชิญพี่ใหญ่เจิ้งตามสบาย”
ในบรรดาทหารของจวนผู้ตรวจการ เจิ้งอันมักจะมาหาหลินเหราที่นี่บ่อยที่สุด เหยาซูถือได้ว่าคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี จึงพูดโดยไม่คิดอะไรมากนัก
ถึงแม้จะรู้ว่านางกำลังล้อเล่น เจิ้งอันก็ยังขอความเมตตาอีกครั้ง “ไอ้หยา แม่นาง ไม่เอาน่า! คราวนี้ไม่เหมือนกับคราวที่แล้วนะที่ต้องพาสหายหลินไปซุ่มปราบโจร แน่นอน…คราวนี้เรื่องเล็ก เล็กจริง ๆ!”
หลินเหราตบไหล่ของเหยาซูเบา ๆ คล้ายกับปลอบใจ
สายตาของชายหนุ่มมองไปทางเจิ้งอัน และเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
เขารีบพูดทันที “เมืองหลวงส่งคนมา ตอนนี้อยู่ในจวนผู้ตรวจการ ท่านผู้ตรวจการให้ข้ามาเรียกเจ้า ดูท่าทางน่าจะเป็นเรื่องโจรภูเขาในคุกใต้ดิน”
เหยาซูไม่ค่อยเข้าใจนัก
คนที่มาจากเมืองหลวง ไม่น่าถึงกับต้องมาตามหลินเหรา ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็กำลังพักผ่อน จู่ ๆ ก็มาเรียกหากันเช่นนี้ มันหมายความว่าอย่างไร?
บางทีอาจเพราะสัมผัสได้ถึงแววตาสงสัยของเหยาซู หลินเหราจึงพูดกับเหยาซูว่า “ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
ทีแรกทั้งสองคนคุยกันแล้วว่าจะเตรียมมื้อค่ำด้วยกัน ในมือของหลินเหรายังถือปลาที่ตายแล้วไว้ตัวหนึ่งอยู่เลย ครั้นเป็นเช่นนี้ก็ทำได้แค่วางของในมือเหล่านี้ลงก่อน
เมื่อเห็นเหยาซูไม่พอใจ หลินเหราจึงเกลี้ยกล่อมนางด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่นานมากหรอก รอข้ากลับมาแล้วค่อยทำมื้อค่ำด้วยกัน นะ?”
เหยาซูรับของที่อยู่ในมือของเขา คิ้วกลับขมวดเข้าหากัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไปหาพี่เซวียในตลาดดีกว่า อาหารที่บ้านค่อยว่ากัน”
หลินเหราไม่มีความคิดเห็นอะไรอยู่แล้ว แค่กำชับนางสองสามประโยค จากนั้นก็ตามเจิ้งอันไป
ระหว่างทาง เจิ้งอันถูมือพลางพูดหยั่งเชิงว่า “วันนี้ที่ต้องเรียกเจ้าแบบนี้ เพราะหมดหนทางแล้วจริง ๆ …วันหน้าข้าจะมาที่บ้าน และขอโทษน้องอาซูด้วยตัวเอง”
หลินเหราส่ายหน้า “ไม่จำเป็นหรอก”
หลังจากที่ได้ไปมาหาสู่ในช่วงสองสามวันนี้ เจิ้งอันก็เหมือนกับทหารประจำหน่วยคนอื่น มีความเคารพและชื่นชมต่อหลินเหรา
แต่ถึงอย่างไรก็แก่กว่าหลินเหราไม่กี่ปี ทั้งยังเข้าจวนมาก่อนเขา ในใจจึงรู้จักผิดชอบชั่วดี
เขาทอดถอนใจก่อนจะขมวดคิ้ว “คราวที่แล้วเจ้ารักษาตัวอยู่ที่บ้าน แต่กลับถูกเรียกตัวมา กลางวันก็ต้องขึ้นภูเขาเฮยหู่ โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ไม่อย่างนั้นข้าจะบอกน้องอาซูว่าอย่างไร”
แม้ว่าหลินเหราจะมีนิสัยเย็นชา แต่กลับไม่ได้ทำผิดกฎเกณฑ์แต่อย่างใดก่อนจะเอ่ยว่า “เรื่องเร่งด่วน โอกาสค่อนข้างน้อย ข้าเคยอธิบายให้เหยาซูฟังแล้ว นางเข้าใจได้”
ระหว่างที่พูดคุยกันจนมาถึงหน่วยลาดตระเวน ท้องของเจิ้งอันก็ร้องโครกคราก
หลินเหราหูตาว่องไว ย่อมได้ยินอย่างแน่นอน เจิ้งอันหน้าแดงก่ำก่อนจะพูดอย่างเหนียมอายว่า “ไม่รู้ว่าในจวนจะยังมีข้าวเหลืออยู่อีกไหม…”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในจวน กระทั่งเห็นทหารที่รออยู่ในเดินรุดหน้าเข้ามาพูดว่า “พี่ใหญ่เจิ้ง พี่ใหญ่หลิน ในที่สุดพวกท่านก็มา! ท่านผู้ตรวจการกำลังรอพวกท่านอยู่ในห้องโถงด้านหน้า!”
ได้ยินดังนั้น ทั้งสองคนก็ไม่ถ่วงรั้งเวลาเดินตรงไปยังห้องโถงด้านหน้าทันที
ต้นไม้ใบหญ้าในวสันตฤดูต่างแตกหน่อผลิใบออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ดอกไม้และต้นไม้ในจวนพากันเติบโตจนเขียวขจี และยังมีดอกอิ๋งชุนที่แย้มบานก่อนใคร งดงามสะพรั่งอยู่พุ่มหนึ่ง แต่เพราะไม่มีใครสนใจมันจึงได้แสดงความงดงามอย่างเป็นธรรมชาติโดยสมบูรณ์
หลินเหราและเจิ้งอันเดินผ่านพุ่มดอกอิ๋งชุนพุ่มหนึ่ง จนกระทั่งเห็นผู้ตรวจการผมขาวโพลนตรงหน้า กำลังคุยบางอย่างกับบุคคลรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง
เขาแต่งกายด้วยชุดสีดำ แม้ว่าจะเห็นเพียงแค่ด้านหลัง แต่กลับดูสูงโปร่งและสง่าผาเผยยิ่ง
ผู้ตรวจการนั้นตาแหลม รีบขานเรียกทันใด “เจิ้งอัน อาเหรา พวกเจ้ามาแล้ว”
ชายผู้นั้นหันขวับทันทีเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูมาดมั่น
ชายหนุ่มมีอายุราวสามสิบกว่าเห็นจะได้ แต่ระหว่างคิ้วกลับทิ้งริ้วรอยเล็ก ๆ เพราะการขมวดคิ้วจนเคยชิน
ดวงตาที่พร่างพราวดุจดวงดาวคล้ายกับหลินเหราคู่นั้นได้มองมาทางทั้งสองคน แล้วสายตาคู่นั้นก็มาหยุดอยู่ที่หลินเหรา
ทั้งสองคนทำความเคารพต่อผู้ตรวจการ
ดวงตาของเจิ้งอันจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างอดไม่ได้ ไม่กี่อึดใจก็เลื่อนมามองหลินเหราโดยไม่รู้ตัว กระทั่งมีความรู้สึกอย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจ
ดวงตาและคิ้วของทั้งสอง ช่างเหมือนกันเสียราวกับแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน!
นี่มันเหลวไหลเกินไปกระมัง?
ทันใดนั้นก็ได้ยินท่านผู้ตรวจการพูดขึ้น “ท่านนี้คือหัวหน้าเซี่ยจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน [1]”
เจิ้งอันเกิดความสงสัยในใจ แต่กลับพูดอย่างพร้อมเพรียงกับหลินเหรา “ขอแสดงความเคารพหัวหน้าเซี่ย”
สำนักบัณฑิตฮั่นหลินล้วนเต็มไปด้วยบัณฑิต ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับจวนผู้ตรวจการของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้เมืองหลวงได้ส่งเขามา คงไม่ได้จะมาจัดการเรื่องปราบโจรบนภูเขาเฮยหู่หรอกกระมัง? ส่งบัณฑิตที่วัน ๆ เอาแต่จับพู่กันมานั้นหมายความว่าอย่างไร?
หลังจากสังเกตรูปลักษณ์ของทั้งสอง หากจะบอกว่าเขาผู้นั้นกับหลินเหราไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย ต่อให้โดนตีจนตายเจิ้งอันก็ไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด
หัวหน้าเซี่ยท่านนั้นกลับไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางของเจิ้งอันเลยสักนิด กลับเบนความสนใจมายังหลินเหรา จับจ้องเขาอย่างจริงจัง คล้ายจะมองทะลุตัวเขากระทั่งเห็นใครอีกคน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สีหน้าเขาจึงเคร่งขรึมลงยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าคือหลินเหราหรือ? อายุเท่าใด?”
สีหน้าของหลินเหรานั้นเดาไม่ถูก จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ไม่เชิง แต่กับเจิ้งอันที่อยู่กับเขามาสักระยะหนึ่ง กลับสังเกตเห็นได้ทันทีว่าเขาดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ปีนี้ข้าน้อยยี่สิบห้าขอรับ”
ไม่รู้เพราะความเข้าใจผิดของเจิ้งอันหรือไม่ เขาแค่รู้สึกว่าหลังจากประโยคนี้ออกมาจากปากของหลินเหรา สีหน้าของหัวหน้าเซี่ยท่านนั้นก็ดูไม่ค่อยดีนัก
นัยน์ตาที่ดูเย็นชาคู่นั้นยังคงเปล่งประกายแวววาวเลือนราง จับจ้องแค่เพียงหลินเหราโดยไม่พูดสิ่งใด
ผู้ตรวจการหัวเราะแห้ง ๆ ตัดบทเสียอย่างนั้น “หัวหน้าเซี่ยล่องเรือมาเหนื่อย ๆ อย่ายืนอยู่ข้างนอกเลย เข้าไปคุยกันในห้องโถงกันเถอะ”
ประโยคต่อไปของเขาคือการออกคำสั่งกับเจิ้งอันว่า “ให้เจ้าไปเรียกคน ก็ยังเรียกนานขนาดนี้ … ด้านหลังมีข้าวเหลือไว้ให้เจ้า ยังไม่รีบไปกินอีก?”
เจิ้งอันเองก็อยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าเซี่ยและหลินเหราที่ดูจะสลับซับซ้อนเช่นกัน แต่กลับไม่สามารถหน้าด้านอยู่ฟังบทสนทนาของพวกเขาต่อได้ ทำได้แค่เดินจากไปอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
แต่อีกด้านหนึ่งได้เกิดความคิดวุ่นวายขึ้นในสมอง
ไม่เห็นจะเคยได้ยินคนภายนอกพูดถึงชีวิตของหลินเหรามาก่อน หรือว่าเขาจะกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก แล้วคนผู้นี้ก็คือบิดาแท้ ๆ ของสหายหลินหรือ?
แต่ดูจากอายุแล้ว ไม่น่าจะใช่เท่าไร…
อีกด้านหนึ่ง ท่านผู้ตรวจการพาทั้งสองคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันเข้าไปในห้องโถง และนั่งลงหน้าโต๊ะ
ทหารประจำจวนรินชาร้อนให้ทั้งสามคน จากนั้นก็ถอยออกไปเงียบ ๆ อย่างรู้หน้าที่
สุดท้ายหัวหน้าเซี่ยก็เป็นฝ่ายเอ่ยก่อน เขาดูอารมณ์ไม่ค่อยคงที่ แม้แต่เสียงก็ยังแหบแห้ง “เมื่อสองวันก่อนข้าน้อยแซ่เซี่ยได้รับจดหมายจากท่านผู้ตรวจการ ทนไม่ไหวจึงมายังเมืองชิงถงด้วยตนเอง คงจะสร้างความลำบากใจให้ท่านไม่น้อย”
ชายชรามองไปทางเขา มองเขาเหมือนกับลูกศิษย์คนหนึ่ง “เจ้าก็คิดมากไป”
แต่กลับเห็นหัวหน้าเซี่ยยืนขึ้น ถอยหลังหนึ่งก้าว จากนั้นก็โน้มตัวแสดงความเคารพหนึ่งครั้งต่อผู้ตรวจการอย่างนอบน้อม และพูดอย่างหนักแน่นว่า “ก่อนอื่น ผู้น้อยต้องขอบคุณท่านผู้ตรวจการที่เมตตา”
ผู้ตรวจการน้อมรับการเคารพนี้อย่างนิ่งสงบ ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ว่ากันว่าเจ้า เซี่ยเชียน นั้นอารมณ์ร้าย ในราชสำนักก็ไม่เคยไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น ทว่าดูจากตอนนี้ ไฉนเลยถึงได้มีข่าวลือแพร่งพรายเช่นนั้นได้?”
เซี่ยเชียนส่ายหน้าโดยไม่พูดสิ่งใด
เขาดูตื่นเต้นอย่างไม่อาจปิดบัง แต่ใบหน้าของหลินเหราที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ
เขาไม่ปริปากพูดสักคำเดียว ราวกับว่าบทสนทนาระหว่างพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย
กระทั่งเห็นเซี่ยเชียนหมุนตัวกลับมา จากนั้นก็มองเข้าไปในดวงตาของหลินเหรา และเอ่ยถามเขาเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเรียกเจ้าว่าอาเหราได้หรือไม่?”
หลินเหรายังคงแสดงท่าทีเย็นชาเช่นเดิม “หัวหน้าเชิญตามสบาย”
ผู้ตรวจการพลันปีติยินดียิ่ง “ตอนนี้กลับมีคนที่เย็นชายิ่งกว่าหัวหน้าเซี่ยเสียแล้ว และเป็นคนที่รับมือได้ยากด้วย!”
เซี่ยเชียนผู้นี้ทั้งเย็นชาทั้งนิ่งสงบ
เขามีชื่อเสียงเลื่องลือภายในสามปี ในเมืองหลวงถือว่าไม่มีใครไม่รู้จักเขา ชื่อเสียงที่เลื่องลือที่สุดไม่ใช่ความเย็นชาไร้ความรู้สึกของเขา อีกทั้งไม่ใช่ความสามารถอันโดดเด่นที่ไม่มีใครเทียบเทียม แต่เป็นเพราะการกระทำความผิดร้ายแรงมานับไม่ถ้วน แต่ยังอยู่รอดปลอดภัย ดำรงอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้อย่างมั่นคง
ในบรรดาความผิดที่เขาเคยกระทำทั้งหมด คดีที่ร้ายแรงที่สุด คือความผิดฐานลบหลู่ด้วยการปลอมตัวเป็นบัณฑิตจอหงวนเข้าไปในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน
ใช้สถานะปลอมนั้นช่างเถิด แต่การลบหลู่นั้น ถ้าหากโป้ปดต่อไปโดยไม่ถูกใครจับได้ ก็คงไม่ได้รับการลงโทษ ทว่าคนภายนอกยังไม่ทันได้พูดสิ่งใด เซี่ยเชียนกลับร่างบทความหนึ่งกล่าวถึงความผิดฐานลบหลู่ของตัวเองก่อนเผยแพร่ออกไปทั่ว ทั้งยังติดประกาศให้บัณฑิตใต้หล้าได้อ่านอีกด้วย
สำนวนโวหารในบทความช่างสละสลวย อ้างอิงจากคำโต้แย้ง แม้ว่าบทความที่แล้วจะเป็นบทความที่ดีที่เล่าสืบต่อกันมาหลายทศวรรษ แต่ความจนปัญญาเนื่องจากเนื้อหาภายในกลับสร้างความตกตะลึงให้แก่ประชาชนและฝ่ายราชสำนักอย่างมาก
เดิมทีควรจะเป็นบทความที่สรรเสริญเยินยอบทความหนึ่ง เซี่ยเชียนกลับด่าจักรพรรดิเสียเละ
เขาเปิดเผยสถานะว่าตัวเองเป็นลูกหลานของขุนนางที่กระทำผิด ทั้งยังประณามจักรพรรดิด้วยถ้อยคำที่รุนแรงว่าไม่เข้าร่วมการตรวจสอบ บิดาของเซี่ยเชียนจึงถูกตัดสินว่ากระทำความผิดฐานยักยอกเงินเพราะเห็นแก่สินจ้าง ทำให้ทั้งตระกูลเซี่ยถูกคว่ำบาตร ทั้งหมดถูกเนรเทศออกไปยังชายแดน
เรื่องของเซี่ยเชียนเป็นข่าวดังครึกโครม ข้าราชการในราชสำนักต่างใกล้ชิดกับตระกูลเซี่ย วันนี้เนื่องจากความกดดัน จึงต้องตรวจสอบเรื่องในตอนนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาคือบิดาของเซี่ยเชียนถูกใส่ร้าย
แต่ในตอนนั้นคำสั่งของจักรพรรดิล้วนเด็ดขาด ทำให้พี่น้องในตระกูลเซี่ยสามร้อยกว่าคนถูกเนรเทศออกไปยังชายแดน เหลือไว้เพียงเซี่ยเชียนและพี่สาวฝาแฝดที่ยังเด็กเกินไปที่รอดพ้นจากชะตากรรมในครั้งนั้น
ตอนนั้นเซี่ยเชียนได้เขียนบทความดังกล่าวออกไป หอบเอาหัวใจที่ตายด้านดวงนี้ไปด้วย คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะดังกระฉ่อน วันนี้ไม่เพียงแต่จะล้างมลทินจากการถูกใส่ร้ายให้แก่ตระกูลเซี่ยแล้ว ยังไม่เอาผิดกับกระกระทำที่เป็นการลบหลู่ของเซี่ยเชียน และคืนตำแหน่งเดิมให้เขา
เรื่องนี้ได้แพร่สะพัดในเมืองหลวง กลับช่วยส่งเสริมชื่อเสียงในด้านดีที่โอบอ้อมอารีของจักรพรรดิได้โดยสมบูรณ์
หลินเหราไม่สนใจเรื่องของตระกูลเซี่ย เซี่ยเชียนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงชายแปลกหน้าคนหนึ่งสำหรับเขาเท่านั้น
แต่แล้วกลับได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของเซี่ยเชียน ดวงตาที่คล้ายกับหลินเหราได้จับจ้องมาทางเขาอย่างไม่ลดละ “อาเหรา ข้าเป็นน้าแท้ ๆ ของเจ้า”
…………………………………………………………………………………………………..
[1] สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน เป็นหน่วยงานรวมบัณฑิตที่มีความสามารถ บัณฑิตฮั่นหลินมีหน้าที่ร่างราชโองการและเอกสารราชการต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง
สารจากผู้แปล
ได้เจอน้าแท้ๆ แล้ว งั้นก็หมายความว่าแม่เฒ่าหวังไม่ใช่แม่แท้ๆ ของอาเหราสินะ ส่วนคนตระกูลหลินทั้งตระกูลก็คงไม่ใช่ครอบครัวแท้ๆ ของอาเหราด้วย
ไหหม่า(海馬)