ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 185 ต้องปฏิบัติอย่างเสมอภาค
หลินเหราตอบกลับ “ใช่ขอรับ ภรรยาข้าแซ่เหยา มีลูกชายสองคนหญิงหนึ่งคน”
มุมปากของเซี่ยเชียนกระตุกยิ้ม “เช่นนี้ก็ดี หลายปีมานี้เจ้าคงอยู่ในตระกูลหลินอย่างสุขสบายสินะ?”
คนในตระกูลหลินต่างก็รู้ถึงความโหดร้ายของแม่หวัง แต่ไหนแต่ไรมาพ่อหลินไม่เคยสนใจลูกชายคนโตผู้นี้ด้วยซ้ำ ก่อนที่หลินเหราจะแยกตัวออกมา เขาถูกรังแกสารพัด แม้แต่ภรรยาของหลินเหราเองก็ถูกทรมานจนเกือบตายเช่นเดียวกัน
ไฉนเลยหลินเหราจะมีชีวิตที่สุขสบาย เกรงว่าคงอยากจะให้เขาหายตัวไปเลยเสียดีกว่า
ก่อนหน้านั้นหลินเหราไม่เข้าใจ ต่อมาเขาก็ไม่ใส่ใจอีก จนกระทั่งตอนนี้เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีสายเลือดของสามีภรรยาคู่นั้นอยู่เลย หลินเหราจึงพบว่าความสับสนสุดท้ายที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจพลันแปรเปลี่ยนเป็นความโล่งใจ
เขาพูดกับเซี่ยเชียนว่า “ข้าและอาซูแยกตัวออกจากตระกูลหลินมาอยู่กันตามลำพังแล้ว หากหัวหน้าเซี่ยยินดี วันนี้ไปนั่งพักที่บ้านข้าสักครู่ก็ได้ขอรับ”
เซี่ยเชียนช่างเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ยังไม่ทันจะฟังจบก็เดาเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลินได้เกือบหมดแล้ว
หลินเหราไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่วัยเยาว์ ต่อมาปู่ของเขาก็ได้ลาจากโลกนี้ไป ประกอบกับฐานะทางบ้านของตระกูลหลินไม่ถือว่าดีนัก…ทว่าตระกูลหลินก็ยอมเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ คิดว่าท้ายที่สุดแล้วก็ต้องอยู่ใต้อาวุโส ส่วนจะปฏิบัติกับเขาดีหรือไม่นั้น คงยากที่จะเอื้อนเอ่ย
ครั้นเห็นหลินเหรามีท่าทีไม่สนใจ เซี่ยเชียนจึงยิ้ม “ตอนนี้เจ้าปักหลักอยู่ในเมืองแล้วใช่หรือไม่?”
หลินเหราพยักหน้า จากนั้นก็ตอบคำถามกับเซี่ยเชียนโดยตรง
ผู้ตรวจการเห็นน้าและหลานชายคู่นี้ไม่มีทีท่าจะเข้ากันได้เลยแม้แต่น้อย แค่พูดคุยกันธรรมดา โดยส่วนใหญ่จะเป็นเซี่ยเชียนที่เป็นฝ่ายถาม ส่วนหลินเหราจะเป็นฝ่ายตอบ
ทั้งสองคนใช้วาจาที่เย็นชาพูดคุยกัน ไม่มีความใกล้ชิดแม้เพียงนิด แต่กลับโต้ตอบกันได้ดี
หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง เซี่ยเชียนก็ลุกขึ้นยืนและพูดกับผู้ตรวจการว่า “คงจะลำบากผู้ตรวจการมากแล้ว ผู้น้อยไม่รบกวนดีกว่า พระคุณในวันนี้ ผู้น้อยจดจำไว้ขึ้นใจ”
ผู้ตรวจการยิ้ม “มันคงเป็นความบังเอิญที่ได้พบเจ้า เมื่อรู้ว่าเจ้าออกตามหาลูกหลานตระกูลเซี่ย จึงได้ส่งจดหมายไปไถ่ถาม…คาดไม่ถึงว่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องคิดให้มากความ โชคดีที่ข้าได้ถาม ถ้ารออีกสักสองสามปี เกรงว่าเรื่องของสหายเก่าเหล่านี้คงจะถูกฝังไปพร้อมกับข้า ไม่มีใครได้ล่วงรู้”
เซี่ยเชียนเงียบงัน จากนั้นก็แสดงความเคารพต่อสหายเก่า
ผู้ตรวจการยิ้มแช่มชื่นพร้อมทั้งพูดกับหลินเหราว่า “กว่าจะได้พักผ่อนในวันนี้มันไม่ง่ายเลย ซ้ำยังถูกเรียกตัวกลับจวนผู้ตรวจการอีก เกรงว่าภรรยาของเจ้าก็คงจะไม่พอใจแล้วกระมัง? รีบกลับไปเถอะ และต้อนรับขับสู้หัวหน้าเซี่ยแทนข้าด้วย”
เซี่ยเชียนหันมายิ้มบาง ๆ ยอมรับว่าเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากจริง ๆ “ขอรบกวนด้วย”
หลินเหราตอบรับหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ผายมือเชื้อเชิญเซี่ยเชียน
……………
ทั้งสองคนกลับมายังเรือนเล็กตระกูลหลิน แต่ภายในบ้านไม่มีผู้ใดเลยสักคน
หลินเหราเพิ่งคิดได้ เหยาซูบอกว่าจะไปคุยกับเถ้าแก่เนี้ยเซวียในตลาด
เขาพูดกับเซี่ยเชียนว่า “หัวหน้าเซี่ยเชิญดื่มชาในบ้านก่อนขอรับ อาซูไปตลาด เด็กทั้งสามคนอยู่บ้านพี่รอง”
เซี่ยเชียนก็ไม่ได้ชอบความยุ่งยากอยู่แล้ว เขาไม่ชอบความวุ่นวาย ตอนนี้แค่ทั้งสองคนนั่งดื่มชาและพูดคุยกันก็พอ จึงตอบแค่ว่า “ดี”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันนั้น กลับได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของพวกเด็ก ๆ ด้านนอกดังเข้ามาในลานบ้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงดังขึ้น
หลินเหราฟังออกว่านั้นคือเสียงของอาซือ แม้แต่หลินเหราที่มักจะเคยชินกับเสียงโวยวายของพวกเขาในวันปกติอยู่แล้วก็ยังคงปวดหัวไม่น้อย
เขากล่าวขอโทษเซี่ยเชียน จากนั้นก็ยืนขึ้นเดินออกมาจากในบ้าน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “อาจื้อ เอ้อหลาง รังแกน้องอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ครั้นอาซือเห็นหลินเหราก็เหมือนกับนกนางแอ่นกลับรัง โผเข้าหาหลินเหราทันที “ท่านพ่อ! พวกพี่ ๆ แย่งเก้าห่วงปริศนาของข้า…”
อาจื้อยังไม่ทันได้พูดอะไร เหยาเอ้อหลางก็รีบวิ่งออกมาและรีบฟ้องทันทีว่า “เราไม่ได้รังแกน้องนะขอรับ! เอ้อเป่าเอาหนังยางเราไปก่อน!”
อาซือมีผู้เป็นพ่อให้ท้ายจึงพูดเสียงดังอีกระดับหนึ่งว่า “ท่านพ่อ ไม่ใช่นะเจ้าคะ! พี่รองจะใช้หนังยางยิงนกนางแอ่นที่ระเบียงทางเดินบ้านของท่านยายจาง! นกนางแอ่นเป็นนกมงคล ท่านแม่เคยกล่าวไว้ว่าจะยิงนกนางแอ่นไม่ได้เด็ดขาด! ข้าจึงเอาหนังยางของญาติผู้พี่ไปซ่อนไว้”
เหยาเอ้อหลางยอมแพ้อย่างจำนน “ไม่ยิงแล้ว ไม่ยิงแล้วก็ได้ ข้าบอกว่าจะไม่ยิงนกนางแอ่นแล้วยังไม่พอใจหรืออย่างไร? ควรจะเอาหนังยางมาคืนข้าได้แล้วนะ?”
ตอนนี้เองอาจื้อได้เดินมาหยุดข้างกายน้องสาว และพูดกับผู้เป็นพี่ว่า “เอ้อเป่าเอาหนังยางคืนพี่เขาไปเถอะ พี่เขาจะได้คืนเก้าห่วงปริศนาให้เจ้า”
อาซือกลับยังยืนยันคำเดิม “ไม่ได้!”
ว่ากันว่าขุนนางที่ซื่อสัตย์มักจะตัดสินเรื่องในบ้านไม่ได้ ด้วยความขัดแย้งระหว่างเด็ก ๆ นั้นยุ่งยากกว่างานบ้านทั่วไปหลายเท่า
หลินเหราปวดหัวกับการทะเลาะกันของพวกเขา จึงเอ่ยเสียงเคร่งขรึมว่า “ห้ามตะโกน”
สิ้นสุดเสียงของบิดาผู้เผด็จการ เด็กทั้งสามคนก็หยุดพูดจริง ๆ
บางครั้งการเผชิญหน้ากับการทะเลาะโดยไร้เหตุผล ก็จำเป็นต้องโหดร้ายบ้าง
กระทั่งได้ยินหลินเหราพูดกับเหยาเอ้อหลางว่า “เอาเก้าห่วงปริศนาคืนน้องไป”
เด็กผู้ชายไม่กล้ายั่วโมโหผู้เผด็จการ จึงเอาของในมือยื่นออกไปอย่างเชื่อฟัง ท่าทางว่านอนสอนง่ายนั้น ช่างแตกต่างจากเด็กสองคนที่ซนยิ่งกว่าลิงเมื่ออยู่ต่อหน้าเหยาเฉาราวฟ้ากับเหว
หากพี่สะใภ้รองเหยาที่โกรธจนหัวปั่นเพราะเขาเมื่อช่วงกลางวันมาเห็นภาพนี้เข้า คงจะอยากยกเหยาเอ้อหลางให้หลินเหราเสียให้รู้แล้วรู้รอด
หลินเหราอุ้มอาซือ จากนั้นก็เอ่ยถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่ “หนังยางของพี่เขาถูกซ่อนไว้ที่ใด?”
เด็กสาวตัวน้อยยอมบอกแต่โดยดี “ด้านหลังรูปปั้นสิงโตหน้าประตูใหญ่ของท่านลุงเจ้าค่ะ”
ครั้นเหยาเอ้อหลางได้ยินก็เตรียมจะวิ่งไปหา แต่กลับถูกหลินเหราเรียกไว้ “กลับมา ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าจะไปไหน?”
เด็กผู้ชายหยุดก้าวเท้าทันใด จากนั้นก็หันมามองหลินเหราตาปริบ ๆ ท่าทางดูเชื่อฟังอย่างมาก
เขาได้ยินผู้เผด็จการเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ผิดใช่หรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางตอบกลับหลินเหราทันที ไม่มีการถ่วงเวลาแม้แต่ชั่วขณะเดียว “ผิดขอรับ”
“ผิดตรงไหน?”
เขายอมรับผิดต่อ “ไม่ควรเอาเก้าห่วงปริศนาของน้องไป…”
ประโยคด้านหลังถูกกลืนหายลงไป ความจริงเขาอยากจะฟ้องด้วยซ้ำ ว่าอาซือนั้นเล่นเก้าหวงปริศนานานเกินไป ทุกครั้งก็ได้แต่มองนางแก้ปมได้อย่างรวดเร็วเสมอ ตอนนี้มันก็เลยน่าเบื่อ
เพียงแต่ครั้นเห็นญาติผู้น้องถูกผู้เผด็จการอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ต่อให้อยากจะฉีกหน้าแค่ไหนก็ทำตอนนี้ไม่ได้
โชคดีที่หลินเหราไม่ได้คิดจะอบรมสั่งสอนเด็ก ชนวนระเบิดอารมณ์ก็ถูกปลดออกจากตัวของเขา จากนั้นก็หันไปพูดกับอาจื้อว่า “เจ้าละ? ผิดหรือไม่?”
อาจื้อไม่ได้รับความเป็นธรรมโดยแท้จริง
ในเมื่อเขาไม่ได้ซ่อนหนังยางของญาติผู้พี่ และไม่ได้แย่งเก้าหวงปริศนาของน้องสาว เขาผิดตรงไหน?
แต่เนื่องด้วยท่าทางที่ดุดันของผู้เป็นบิดา ก็แค่เชื่อฟังใครเล่าจะทำไม่ได้!
อาจื้อพูดอย่างซื่อสัตย์ “ผิดขอรับ ไม่ควรให้ท่านพี่และน้องต้องทะเลาะกัน คราวต่อไปจะต้องเป็นมิตรกับท่านพี่มากกว่านี้ และปกป้องน้องให้ได้”
วิธีการยอมรับผิดทั้งสามขั้นตอนนี้ เป็นสิ่งที่เหยาซูสอนไว้
ยอมรับผิดก่อน แล้วค่อยวิเคราะห์เหตุผลอีกที สุดท้ายก็แสดงออกว่าตนจะแก้ไขอย่างไร เมื่อผู้ใหญ่ที่กำลังโกรธได้ยินแล้วจะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา
วิธีการนี้ยังใช้ได้ผลกับหลินเหรามากด้วย ครั้นเห็น ‘ผู้เผด็จการ’ พยักหน้าถือว่าพึงพอใจแล้ว
เหยาเอ้อหลางรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นหลินเหราจะสั่งสอนอาซือจึงคิดจะเอ่ยปากพูด แต่กลับถูกอาจื้อกระชากแขนเสื้อไว้ จากนั้นก็ขยิบตาบอกให้เขาหุบปาก
เมื่อเห็นว่ายับยั้งความวุ่นวายภายในบ้านได้แล้ว หลินเหราก็วางอาซือลงและพูดกับพวกเขา “พ่อมีแขก พวกเจ้าออกไปเล่นเถอะ”
อาซือเอ่ยเสียงเบา “แต่ถ้าท่านพี่ได้หนังยางไป จะต้องเอาไปยิงนกนางแอ่นบ้านท่านยายจางแน่นอน!”
เหยาเอ้อหลางรีบถลึงตาใส่ทันที “ใครบอก! อย่าพูดเหลวไหล!”
กระทั่งเห็นอาซือยื่นแขนไปทางหลินเหรา ส่งสายตาปริบ ๆ ให้ผู้เป็นพ่อ “ท่านพ่อ ข้าไม่อยากเล่นกับพวกเขาแล้ว ข้าขออยู่ข้างกายของท่านพ่อได้หรือไม่?”
เดิมทีเหยาเอ้อหลางคิดว่าหลินเหราจะปฏิเสธ ใครเล่าจะไปคิดว่าผู้เผด็จการจะอุ้มอาซืออีกครั้งพร้อมทั้งตอบรับ “หากเจ้าเชื่อฟังก็ย่อมได้”
หลินเหราอุ้มอาซือเข้าไปในบ้าน เหยาเอ้อหลางจึงได้สูดลมหายใจ ก่อนจะหันไปพูดกับอาจื้อที่ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดมาตั้งแต่เมื่อครู่ “ต่อให้ข้าจะเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าถึงดึงข้าไว้…แต่ดูท่าทางอาเขยสิ เห็นได้ชัดว่าเข้าข้างน้องสาวมากกว่า!”
อาจื้อเคยชินจนกลายเป็นเรื่องปกติ ก่อนจะพูดราวกับเหนื่อยใจ “เจ้าเพิ่งรู้เหรอ? ถ้าท่านแม่อยู่ ใครถูกใครผิดย่อมแยกชัดเจน…. แต่ถ้าเราสามคนทะเลาะกันแล้วท่านพ่อข้าได้ยินเข้า เจ้าต้องกล่าวขอโทษเอ้อเป่ากับข้าอย่างว่าง่ายก็พอ”
เหยาเอ้อหลางพูดด้วยความขุ่นเคือง “ได้อย่างไรกันเล่า! ต้องปฏิบัติอย่างเสมอภาคสิ?”
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เชื่ออาจื้อเถอะเอ้อหลาง น้องรู้ดีว่าพ่อตัวเองนิสัยเป็นยังไง ถ้าดื้อให้เห็นจะโดนหนักกว่านี้
ไหหม่า(海馬)