ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 186 เด็กคนนี้ยังนึกถึงอวี๋จืออีกหรือ
อาจื้อมองไปทางเหยาเอ้อหลางด้วยความประหลาดใจ “ท่านพี่รู้จักเล่นสำบัดสำนวนด้วยหรือ? แต่การปฏิบัติอย่างเสมอภาคสำหรับท่านพ่อคงใช้ไม่ได้ผล”
ครั้นเห็นญาติผู้พี่ยังมีทีท่าไม่อยากเชื่อ อาจื้อจึงแสดงท่าทางราวกับมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เอ่ยชี้แนะให้เขา “ในสายตาของท่านพ่อ คำพูดที่ดูน่าเชื่อถือที่สุดคือท่านแม่ รองลงมาก็อาซือ สุดท้ายก็ข้า เข้าใจหรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางที่ยังขุ่นเคืองเมื่อครู่ ครั้นได้ยินประโยคนี้จึงพูดอย่างเบิกบานใจว่า “ในครอบครัวเหตุใดเจ้าถึงมีตำแหน่งที่ต่ำเตี้ยเช่นนี้? ครอบครัวข้าช่างดียิ่งนัก มีข้าเพียงผู้เดียว ไม่มีน้องสาว…”
แต่กลับได้ยินอาจื้อพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ก็จริง ท่านลุงและท่านป้าก็เลยเอาแต่จับจ้องพี่ทุกวัน สร้างปัญหาก็ตี เขียนหนังสือไม่ได้ก็ตี ท่องหนังสือไม่ได้ก็ตี ดีกว่าข้าตั้งเยอะ”
แต่ไหนแต่ไรมาเหยาเอ้อหลางไม่เคยเถียงอาจื้อได้ เขาโกรธจนต้องถลึงตาใส่น้องชาย มีคำพูดมากมายผุดขึ้นในสมองแต่ปากกลับไม่รู้จะพูดประโยคไหน “ข้า ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้าละ! กลับไปเอาหนังยางดีกว่า!”
อาจื้อมองแผ่นหลังของญาติผู้พี่ที่วิ่งกลับไป ก่อนจะชำเลืองมองเข้าไปในบ้านที่อยู่ด้านหลังสุดท้ายก็ได้แต่ยืนทอดถอนใจอยู่ในลานบ้าน
ญาติผู้พี่คนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝันที่จะเป็นทหาร ญาติผู้น้องยังอยู่ในวัยที่ยังไม่รู้ความเท่าไรนัก ส่วนท่านอาอวี๋ที่เดิมทีอาศัยอยู่ในบ้านของท่านลุงก็เข้าไปสอบในเมืองแล้ว จู่ ๆ อาจื้อก็ไม่เหลือใครให้พูดด้วยเสียอย่างนั้น
เขารู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องไปเรียนในสำนักศึกษาเสียแล้ว
บางทีสิ่งแวดล้อมในห้องหนังสือ อาจจะทำให้สนุกมากขึ้นก็เป็นได้?
………..
โดยไม่สนใจว่าอาจื้อนั้นกำลังสับสนว่าตนนั้นจะต้องออกไปแสวงหาความรู้ที่ไกลบ้านถึงพันลี้เลยหรือไม่อย่างไร อาซือกลับถูกหลินเหราอุ้มเข้ามาในบ้าน กระทั่งชำเลืองไปเห็นเซี่ยเชียนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ
นางเพิ่งนึกได้ เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่ามีแขกในบ้าน
เดิมทีเด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้กลัวคนแปลกหน้า เวลานี้เด็กน้อยแค่อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของหลินเหรา เบิกตากว้างจ้องมองยังผู้มาเยือนโดยไม่กะพริบตา
พลันได้ยินผู้อาวุโสท่านนั้นเอ่ยถามว่า “นี่คือลูกสาวของเจ้าหรืออาเหรา?”
หลินเหราวางลูกสาวลงก่อนจะพูดกับเซี่ยเชียนว่า “อาซือขอรับ ชื่อเล่นนามว่าเอ้อเป่า”
ครั้นอาซือเห็นแขกที่อาวุโสกว่าผู้เป็นพ่อจึงกล่าวทักทายอย่างสับสน “สวัสดีเจ้าค่ะท่านลุง”
ใบหน้าของเซี่ยเชียนที่เดิมทีไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ เผยรอยยิ้มเบาบางออกมา และเอ่ยกับเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เรียกปู่ก็ได้”
อาซือตกตะลึงทันใด จากนั้นก็หันไปมองหลินเหรา “ท่านปู่คือคนอายุมากแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
ขณะที่หลินเหราอยู่ในสภาวะที่ไม่แน่ใจ ก็ได้ยินเซี่ยเชียนพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ข้าเป็นน้าของพ่อเจ้า ย่อมต้องเป็นปู่ของเจ้าสิ”
อาซือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็คล้ายกับตื่นตกใจจนถอยร่นไปด้านหลัง ซุกอยู่ในอ้อมแขนของหลินเหรา
หลินเหราไม่เข้าใจ “เป็นอะไรไป?”
เด็กน้อยไม่ยอมเงยหน้า เอาแต่ซุกหน้าอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อไม่ส่งเสียงแต่อย่างใด
เซี่ยเชียนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งคิดได้ว่าเมื่อครู่หลินเหรากำลังช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างพวกเด็ก ๆ อยู่ด้านนอก จึงคิดว่าพวกเด็ก ๆ นั้นยากเข้าใจและยากจะรับมือโดยแท้จริง
เดิมทีเขาเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชามาก หากไม่ใช่เพราะความเห็นใจที่มีต่อพี่สาว อีกทั้งหลินเหราก็ยังเป็นสายเลือดเดียวของเขา เซี่ยเชียนคงไม่มีวันออกจากเมืองหลวงมาที่นี่ด้วยตัวเอง แล้วมานั่งคุยกับหลินเหราเป็นครึ่งวันแน่นอน
สำหรับลูก ๆ ของหลินเหรานั้น ก็คงนับเป็นเหลน ทว่าเซี่ยเชียนไม่ได้มีความรู้สึกใดเลยแม้แต่น้อย
ไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง อาจื้อก็เข้ามาในบ้าน ตั้งใจจะมาเรียกอาซือ
ครั้นเห็นเซี่ยเชียน เขาก็นิ่งงันเช่นกันก่อนจะกล่าวทักทาย “สวัสดีขอรับท่านลุง”
เซี่ยเชียนเงยหน้ามองหลินเหราแวบหนึ่ง อีกฝ่ายไม่มีการตอบสนองใด ๆ
กลับเป็นอาซือเองที่ถอยออกจากอ้อมแขนของหลินเหรา เดินมาดึงแขนเสื้อของพี่ชายที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดเบา ๆ “นั่นคือน้องชายของท่านย่า ควรเรียกเขาว่าท่านปู่”
อาจื้อเองก็ตกตะลึงเช่นกัน คำว่า ‘ท่านปู่’ นั้นกลับพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
เซี่ยเชียนนั้นหูตาว่องไว แม้ว่าอาซือจะพูดเสียงเบาแต่ก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ครั้นเด็กทั้งสองคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วยเหมือนกัน เซี่ยเชียนจึงพอเข้าใจได้
เขาอธิบายเสริมว่า “ข้าเป็นน้าของพ่อพวกเจ้า แต่ไม่ใช่ญาติฝั่งย่าพวกเจ้า และไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับนาง เรียกข้าว่าท่านปู่เซี่ยนั่นแหละ”
เด็กทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็ลดท่าทีต่อต้านทางสีหน้าลง มองหน้ากันและกัน ก่อนขานเรียกอย่างว่าง่าย “สวัสดีขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านปู่เซี่ย”
แม้หลินเหราจะไม่เคยบอกว่าตระกูลหลินดูแลเอาใจใส่พวกเขาไม่ดีเท่าที่ควร แต่เมื่อเห็นท่าทีของเด็ก ๆ แล้ว เขาจึงคิดว่า ‘ท่านย่า’ ที่พวกเขากล่าวถึงคงไม่ใช่คนใจดีอย่างแน่นอน
เซี่ยเชียนมองไปยังอาจื้อที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในตอนที่ตระกูลเซี่ยประสบกับความยากลำบาก อายุของเขาไม่ต่างกับอาจื้อเท่าไร ครั้นเห็นเขากุมมือน้องสาว ก็อดนึกถึงตัวเองในตอนนั้นขึ้นมาไม่ได้ ในวันที่พี่สาวลากเขาหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อหนีเอาตัวรอด
อาจื้อมีหน้าตาคล้ายคลึงคนในตระกูลเซี่ยมาก เมื่อเห็นเด็กชายก็เหมือนเห็นตัวเองในวัยเด็ก
ใบหน้าของเซี่ยเชียนเผยรอยยิ้มจาง ๆ เรียนรู้ที่จะถามคำถามที่คนรุ่นก่อนควรถามคนรุ่นหลังเหมือนคนทั่วไป ด้วยการถามเขาว่า “เจ้ามีนามว่าอย่างไร? ตอนนี้อายุเท่าไร? ร่ำเรียนอะไรอยู่?”
อาจื้อตอบอย่างตรงไปตรงมาทีละคำถาม
เซี่ยเชียนได้ยินว่าเขาร่ำเรียนมาไม่น้อย จึงลองทดสอบตามใจชอบสองสามคำถาม เด็กชายล้วนตอบได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังแสดงความคิดเห็นของตนเองได้ไม่น้อย
ทีแรกเซี่ยเชียนแค่อยากจะถามคำถามทั่วไปเท่านั้น แต่จู่ ๆ ก็เกิดความสนใจขึ้นมาฉับพลัน
เขาเอ่ยถามว่า “ใครสั่งสอนเรื่องเหล่านี้ให้กับเจ้า? มีการฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วยหรือ?
“แรกเริ่มเป็นข้าที่ติดตามไปเรียนรู้กับท่านลุงเอง ต่อมาพอรู้หนังสือบ้างจึงศึกษาด้วยตัวเองขอรับ” อาจื้อตอบ
ตัวอักษรของเมืองต้าเยี่ยนค่อนข้างซับซ้อน แม้แต่เหยาซูเองที่ทะลุมิติมานานขนาดนี้ก็ยังจดจำได้ไม่หมด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอาจื้อที่เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด
ทว่าถึงแม้จะรู้จักตัวอักษร ก็ยังห่างไกลจากการอ่านร่ำเรียนด้วยตัวเองอยู่ดี
ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีอาจารย์คอยชี้นำจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
เพราะเหตุนั้นในยุคสมัยนี้ คนที่เข้าสอบระดับท้องถิ่นโดยส่วนใหญ่ต่างก็เป็นคนที่มาจากสำนักศึกษา ในสำนักศึกษามีการจัดสรรแหล่งทรัพยากรมากที่สุด และยังมีองค์ความรู้โดยหลักคำสอนของขงจื้ออย่างลึกซึ้ง ระหว่างที่ได้ร่ำเรียนก็คงจะสะดวกสบายยิ่งกว่าลูกศิษย์ที่มีฐานะยากจน
เซี่ยเชียนเอ่ยถามด้วยคำถามง่าย ๆ อีกสองสามประโยคกับอาจื้ออีกครั้ง ซึ่งก็ได้เห็นเขาอธิบายอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ทำให้อดชื่นชมไม่ได้ “ช่างเป็นต้นกล้าแห่งการร่ำเรียนจริง ๆ”
เขาจึงเอ่ยถามหลินเหราอีกครั้ง “ตอนนี้อาจื้ออายุไม่น้อยแล้ว แต่ยังคิดจะหาอาจารย์ให้เขาอีกงั้นหรือ?”
หลินเหราส่ายหน้า “เมืองชิงถงไม่มีอาจารย์ที่มีความรู้และมีคุณสมบัติที่ดีขอรับ”
ในสมัยนี้ การฝากตัวเป็นลูกศิษย์เป็นเรื่องที่เข้มงวดมาก
เป็นอาจารย์วันเดียว แต่เป็นพ่อคนไปตลอดชีวิต อาจารย์ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดองค์ความรู้เท่านั้น ทั้งยังต้องจัดสรรแหล่งทรัพยากรมนุษย์ที่มากพอแก่ลูกศิษย์ หากอยู่ในระหว่างการสอบเข้าขุนนาง อาจารย์ที่ดีคือสิ่งสำคัญที่สุด
แต่กลับได้ยินอาจื้อพูดว่า “ตอนนี้ข้ายังอายุไม่ถึงเกณฑ์ รอให้โตกว่านี้ก็คงจะเข้าสำนักศึกษาจิ้งหยางได้ขอรับ”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้ว “สำนักศึกษาจิ้งหยางอยู่ในซูโจว เหตุใดถึงไปไกลเพียงนั้น?”
เด็กชายกลับตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “อ่านหนังสือหมื่นเล่มมิสู้เดินทางหมื่นลี้ การออกไปแสวงหาความรู้เป็นการขัดเกลาอย่างหนึ่ง ก็เหมือนกับการเรียนรู้นั่นแหละขอรับ”
คำพูดนี้กลับเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในใจของเซี่ยเชียน
ตระกูลเซี่ยได้มีการสืบทอดองค์ความรู้และวัฒนธรรมจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานมาหลายชั่วอายุคน เซี่ยเชียนมีความสามารถโดดเด่นมากในหมู่ญาติมาตั้งแต่เด็ก ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครอบครัว เซี่ยเชียนได้ร่ำเรียนตำราไปไม่น้อยกระทั่งมีความรู้มากกว่าลูกศิษย์จากตระกูลยากจนโดยทั่วไปที่ร่วมการสอบขุนนาง
แต่หลังจากที่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วทุกหนแห่งมานานหลายปี เขากลับได้เห็นชีวิตในสภาวะที่หลากหลาย สภาพสังคมที่เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เขามีความเข้าใจต่อองค์ความรู้ในอดีตของตัวเองลึกซึ้งมากขึ้น สามารถเข้าใจหลักการมากมายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ตอนนี้ครั้นได้ยินอาจื้อที่ยังเล็กมีความคิดเช่นนี้ เซี่ยเชียนที่มักจะเย็นชาก็ยังอดเผยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติออกมาไม่ได้ “เจ้าพูดได้ไม่เลวเลย”
เขาเดินมาตรงหน้าของอาจื้อ จากนั้นก็คุกเข่าลงให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาเดียวกับเขาก่อนจะพูดว่า “เจ้าสนใจจะตามข้าเข้าเมืองหรือไม่? ตอนนี้ข้าอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงและนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รวบรวมหนังสือ ร้อยเรียงประวัติศาสตร์และคุมการสอบวัดระดับของบัณฑิตในใต้หล้านั้นมีมากมาย วันข้างหน้าเจ้าจะได้มีโอกาสร่ำเรียนในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน[1]”
อาจื้อเกิดความลังเลอย่างเห็นได้ชัด
หากพูดถึงความแตกต่างระหว่างสำนักศึกษากับเมืองหลวง พวกผู้ใหญ่จะให้ความสำคัญกับทรัพยากรเป็นที่สุด ในสำนักศึกษาล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ยากจนเป็นส่วนใหญ่ ไฉนเลยจะเทียบเคียงกับนักปราชญ์ขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า ลูกศิษย์ที่มีความสามารถในมือไยจะกล้าปรากฏตัว? หากวันข้างหน้าอาจื้อได้มีโอกาสฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ เขาก็จะมีศิษย์น้องในสำนักเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นการช่วยเหลือให้ได้เข้าสอบเป็นขุนนางในภายภาคหน้า
ปกติแล้วเซี่ยเชียนมักจะดูสันโดษ ไม่ว่าจะยามออกว่าราชการหรือยามกลับมาก็มักไม่อยากเสวนากับบุคคลภายนอกหากไม่จำเป็น แต่ผู้เข้าสอบทั้งหมดล้วนเป็นลูกศิษย์ลูกหาในใต้หล้าทั้งสิ้น ต่างเคยผ่านสำนักบัณฑิตฮั่นหลินมาก่อน บัณฑิตที่อยู่ในความดูแลของเซี่ยเชียนจึงมีจำนวนไม่น้อย
ทว่าในบรรดาคนเหล่านี้ เซี่ยเชียนล้วนไม่เคยเอ่ยถึงผู้ใด
ตอนนี้คนที่เขากำลังเผชิญหน้า เป็นเพียงแค่เด็กน้อยผู้หนึ่ง
“อาจื้อ แม้ว่าสำนักศึกษาจิ้งหยางจะดี แต่ไฉนเลยจะมีตำรับตำราที่สะสมได้มากกว่าสำนักกว๋อจื่อเจี้ยน? ยิ่งไปกว่านั้นซูโจวก็ยังห่างไกลจากบ้านมากโข แค่จดหมายที่ส่งไปกลับก็ใช้เวลาราวเดือนเศษแล้ว แต่เมืองหลวงไม่ได้นานถึงเพียงนั้น”
สิ่งเหล่านี้ทำให้อาจื้อไม่อาจปฏิเสธได้
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีวันที่ได้ไปร่ำเรียนอยู่ในสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนในเมืองหลวง
ครั้นได้ยินว่าที่นั่นเป็นที่ที่ลูกศิษย์ในใต้หล้าใฝ่ฝันอยากเข้าไปร่ำเรียน อาจื้อก็อยากไปเช่นเดียวกัน
เขาปรายตามองหลินเหรา และพูดกับเซี่ยเชียนอย่างจริงจังว่า “ความหวังดีของท่านปู่เซี่ย อาจื้อซาบซึ้งใจอย่างมาก เพียงแต่วันข้างหน้าจะต้องไปเรียนที่ใดนั้นยังต้องขอปรึกษากับท่านพ่อและท่านแม่ก่อนขอรับ”
เดิมทีอาจื้อคิดว่าหากตัวเองพูดเช่นนี้ ท่านปู่เซี่ยจะไม่พอใจเพราะได้รับคำตอบที่ไม่แน่นอน คาดไม่ถึงว่าเขากลับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และนั่งกลับลงไปอีกครั้ง
เซี่ยเชียนจึงพูดกับหลินเหราว่า “ลูกชายของเจ้าตอบตกลงแล้ว ข้าดูมาแล้ว รอให้การสอบช่วงต้นวสันตฤดูเสร็จสิ้น เจ้าก็ค่อยพาเขาไปส่งที่นั่นแล้วกัน”
หลินเหราส่ายหน้า “ต้องดูความเห็นจากอาซูด้วยขอรับ หากนางไม่เห็นด้วยเรื่องนี้ก็คงไม่สำเร็จ”
เซี่ยเชียนไม่เข้าใจ “เหตุใดภรรยาของเจ้าถึงจะไม่เห็นด้วยเล่า?”
“อาซูเป็นคนที่คิดวิเคราะห์ค่อนข้างละเอียดถี่ถ้วน หากนางไม่เห็นด้วยจะต้องมีเหตุผลของตัวเองอย่างแน่นอน”
สิ่งที่หลินเหราไม่ได้พูดคือ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยเชียนและพวกเขามีแต่ความอึดอัดใจต่อกัน
จนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าหลินเหราคือลูกหลานของตระกูลเซี่ย แต่ก็ยังไม่สามารถปฏิเสธความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หลินเหราก็ยังไม่ได้ตกลงว่าจะกลับไปยังตระกูลเซี่ย
หลินเหราไม่พูด เซี่ยเชียนก็ไม่เอ่ย
แต่หากให้อาจื้อตามเซี่ยเชียนไปร่ำเรียน จะเกิดเรื่องใดขึ้น?
เซี่ยเชียนเองก็ไม่ได้รีบร้อน เพียงแค่พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รอให้ภรรยาเจ้ากลับมาก่อน แล้วค่อยปรึกษากับนางก็ได้”
นับตั้งแต่มีชีวิตจวบจนถึงตอนนี้ เขาต้องปะปนอยู่ในราชสำนักราวกับปลาได้น้ำ ย่อมต้องมีกึ๋นเป็นธรรมดา
เซี่ยเชียนมองออกว่าหลินเหราไม่ยอมรับญาติอย่างเขาแบบขอไปทีเป็นแน่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางอื่น
ที่ตกลงรับตัวอาจื้อไว้นั้นเพราะความรักความเอ็นดูที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่ไฉนเลยจะไม่แฝงไปด้วยแผนการอื่น
เซี่ยเชียนใช้กลยุทธ์ที่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา บีบให้หลินเหราต้องเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพวกเขา
หลินเหราเป็นคนฉลาดย่อมมองออกถึงเจตนารมณ์ของเซี่ยเชียน เพียงแค่รู้แต่เขาไม่ได้ใจร้ายแต่อย่างใด และไม่ได้วางแผนมากมายเหล่านั้น
“เกรงว่าอาซูคงจะกลับมาดึก หัวหน้าเซี่ยยังมีธุระอื่นต้องทำไปหรือไม่ขอรับ?”
เซี่ยเชียนส่ายหน้า “ไม่มีธุระใด”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน อาจื้อและอาซือแอบสบตากัน จากนั้นก็เอี้ยวตัวไปอีกด้านก่อนจะกระซิบกระซาบกันเสียงเบา
“ท่านพี่ ท่านปู่เซี่ยบอกว่าเขาเป็นน้าของท่านพ่อไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดท่านพ่อต้องเรียกเขาว่าหัวหน้าเซี่ยด้วยล่ะ?”
“…ข้าเองก็ไม่รู้”
“ท่านพี่ สำนักกว๋อจื่อเจี้ยนคือที่ใดเหรอ?”
“ก็ไม่ต่างอะไรกับสำนักศึกษาจิ้งหยาง ล้วนเป็นที่ร่ำเรียนหนังสือ”
“งั้นท่านไปสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนไม่ดีกว่าหรือ? ท่านแม่เคยกล่าวไว้ว่าซูโจวนั้นไกลจากบ้านมาก หากท่านพี่ไปสำนักศึกษาจิ้งหยาง เราจะไม่ได้เจอกันหนึ่งปีเชียวนะ!”
“เรื่องนี้ยังต้องปรึกษากัน… เอ้อเป่าเจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป”
“หากท่านพี่อยากไปเมืองหลวง ก็จะได้เจอกับพี่อวี๋ใช่หรือไม่? ถึงตอนนั้นเราก็ยังได้ติดต่อกัน ท่านช่วยส่งจดหมายให้ข้าได้หรือไม่?”
“…เพราะเหตุผลนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว”
“ถึงตอนนั้นข้าก็ยังไปหาท่านพี่ในเมืองหลวงได้! และจะได้เจอกับพี่อวี๋ด้วย!”
“…เยี่ยม”
หลินเหราได้ยินมาตลอด หลังจากที่ได้ยินคำพูดของลูกสาวทั้งหมด ก็ถึงปวดหัวจนต้องกุมขมับทันใด
เด็กคนนี้ยังนึกถึงอวี๋จืออีกหรือเนี่ย
……………………………………………………………………………………………….
[1] กว๋อจื่อเจี้ยน มีความหมายทำนองว่า การบริหารจัดการการศึกษาของขุนนางข้าราชการ เป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงในราชสำนักอย่างเป็นทางการ มีวัตถุประสงค์ให้ความรู้แก่ขุนนางในด้านพิธีการ
สารจากผู้แปล
จะว่าไปแล้วได้ไปเรียนเมืองหลวงก็ดูมีอนาคตมากกว่านะคะ แต่ก็ต้องขึ้นกับอาซูแล้วล่ะว่าจะยอมหรือเปล่า
เอ็นดูเอ้อเป่า นึกว่าจะอยากให้พี่ชายตัวเองได้เรียนสูง กลับคิดว่าจะเจอพี่อวี๋จือหรือเปล่า พี่ชายแท้ๆ ร้องไห้แล้วนะ
ไหหม่า(海馬)