ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 189 คนแปลกหน้าที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
บทที่ 189 คนแปลกหน้าที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด
หลินเหราสัมผัสได้ว่าหัวใจที่ไม่เคยรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของมันมาก่อนในทรวงอกเริ่มเต้นรัวอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาพลันเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ
เหยาซูรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวเพราะถูกสายตาที่เร่าร้อนของเขาจับจ้อง จึงทำได้เพียงแค่ยกจอกสุราขึ้นมาอีกครั้ง “เอาล่ะ ๆ จะมองคนอื่นทำไมนักหนา?”
จอกสุราที่อยู่ในมือหลินเหราชนกับของนางอย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาก็กระดกลงคอรวดเดียวหมด
ความหอมหวานจากสุราดอกกุ้ยฮวาได้ไหลผ่านลำคอลงไป แต่ปลายจมูกและปากนั้นเต็มไปด้วยรสสัมผัสของสุราและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ ทำให้หลินเหราอดนึกถึงความหอมหวานรัญจวนใจจาง ๆ จากตัวของเหยาซูไม่ได้
กระทั่งได้ยินหญิงสาวถามขึ้นว่า “อร่อยใช่หรือไม่?”
หลินเหราพยักหน้า
เหยาซูคลี่ยิ้มกว้าง บนรูปปากมีร่องรอยความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ส่วนดวงตาดุจดอกท้อคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความจริงใจ “ในเมื่อดื่มสุราของข้าแล้ว ยังไม่ยอมบอกข้าอีกว่าเหตุใดวันนี้ท่านถึงได้ว้าวุ่นใจนัก?”
ปลายนิ้วของชายหนุ่มลูบไล้ไปบนจอกกระเบื้องเคลือบนั้น พร้อมกับเม้มปาก
เขาคิดในใจว่า ‘ครั้นมีเรื่องมีราวเหตุใดถึงไม่อยากบอกนางกันเล่า เพียงแต่ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้มันยากที่จะเข้าใจ ตัวเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเริ่มเอ่ยจากตรงไหน’
เหยาซูเฝ้ารออย่างอดทน แต่กลับได้ยินเขาพูดแค่เพียงเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตที่เนิ่นนานมากแล้ว
“เมื่อครั้งที่ข้าเพิ่งจำความได้ ข้ารู้ว่าท่านแม่ไม่ชื่นชอบข้านัก นางมักจะอารมณ์ร้าย แต่ในเรื่องเดียวกัน อย่างน้อยน้องรองและน้องสามก็ยังทำให้นางยิ้มได้ ส่วนข้าไม่ว่าจะขยันเพียงใดก็ได้รับแต่คำตำหนิติเตียน”
“ข้าไม่รู้ว่าจะต้องเอาอกเอาใจให้ท่านแม่ชื่นชอบอย่างไร บางครั้งก็ดูเหมือนว่าการมีตัวตนของข้าล้วนแต่ดึงดูดความโกรธเกลียดของนางให้เพิ่มขึ้น ข้าทำได้แค่ไม่พูด ไม่ก็พยายามเจอนางให้น้อยที่สุด”
“นางไม่ชอบใจที่เห็นข้าขวางหูขวางตา ข้าจึงตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ออกไปทำงานในไร่ ครั้นนางดุด่าว่าข้ากินเยอะ ข้าก็พยายามทนหิว ทุกครั้งก็มักจะกินข้าวให้น้อยลง ข้าไม่อยากให้นางโกรธฉุนเฉียวบ่อยนัก แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็เริ่มด่าทอจนข้ารู้สึกอึดอัด แม้แต่คนภายนอกก็ยังรู้ว่านางนั้นไม่ชอบข้า นางมักจะพร่ำบ่นกับผู้อื่นเสมอ หาว่าลูกชายคนโตเกิดมาเพื่อทวงหนี้ ไร้น้ำใจไม่รู้จักบุญคุณ แม้แต่คำพูดไพเราะก็ยังไม่เคยมี”
“ต่อมาข้าจึงได้รู้ ไม่ว่าข้าจะพยายามทำให้นางพอใจอย่างไร ก็ล้วนไม่มีความหมายทั้งสิ้น เพราะในใจของนาง ข้าเกิดมาเป็นส่วนเกิน นางไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากข้า แล้วข้าจะตอบสนองความต้องการของนางได้อย่างไร?”
เขาเอ่ยถึงแม่หวังด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ ราวกับกำลังเล่าเรื่องของผู้อื่น พูดคุยกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องผู้หนึ่ง แต่เหยาซูกลับสามารถสัมผัสได้ถึงความสับสนและความเจ็บปวดจากเบื้องหลังของคำพูดเหล่านี้อย่างชัดเจน
หญิงสาวนึกถึงเมื่อครั้งที่หลินเหรายังเด็ก เขาต้องทำงานลงไร่ในช่วงอายุที่ไล่เลี่ยกับอาจื้อ แค่เพื่อให้มารดาคนหนึ่งยิ้มได้ กล่าวชื่นชมแค่ประโยคเดียว
ทว่าแม้แต่ความอบอุ่นเพียงเศษเสี้ยว แม่หวังก็ไม่เคยมีให้เขา
เขาจึงมักจะวิ่งไปยังหลังเขาอย่างโดดเดี่ยว เพื่อเฝ้าถามสรวงสวรรค์ทั้งน้ำตา เหตุใดมารดาถึงไม่ชอบตน?
หลังจากที่ผิดหวังมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาก็ยังโอบอุ้มความหวังที่แสนเปราะบางนั้นไว้ หวังว่ามารดาคงจะรักตนจริง ๆ
“เดิมทีข้าคิดเสมอว่าในใจของนาง ข้าคงเป็นเพียงคนที่นางไม่ชอบในบรรดาพี่น้องทั้งสามคน… เพราะนางให้ความรักแก่น้องสาม ไม่ว่าจะเป็นของกินอร่อย ๆ หรือเรื่องสนับสนุนให้เขาร่ำเรียน ข้าไม่เคยพูดมากแต่อย่างใด กระทั่งต่อมาเพื่อรวบรวมเงินค่าตอบแทนให้แก่อาจารย์ผู้สอนของน้องสาม ในบ้านแม้แต่เงินค่าแรงงานก็ยังไม่ได้ ข้าจึงจำใจต้องออกรบ ในใจยังคิดว่า ไปเถอะ บุญคุณชีวิตก็ต้องตอบแทนด้วยการเลี้ยงดู วิธีนี้สามารถชดใช้คืนได้ใช่หรือไม่? ”
“แต่ความจริงแล้ววิธีเหล่านี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีเลยแม้แต่น้อย”
เสียงของชายหนุ่มยังคงราบเรียบเช่นนั้น ราวกับไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมมาก่อน ยิ่งหลินเหราเป็นแบบนี้ เหยาซูก็ยิ่งรู้สึกแสบในโพรงจมูกลามไปถึงรอบดวงตา นางพยายามควบคุมลมหายใจอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมา
จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นและมองไปยังเหยาซู นัยน์ตาคู่นั้นได้ทอประกายความรู้สึกที่กำลังสับสน คำพูดก็รุนแรงขึ้น “แต่นางก็ไม่ควรปฏิบัติกับเจ้าและลูก ๆ เช่นนั้น หลังจากที่ข้าจากไปนางไม่ควรทำในสิ่งที่แม้แต่หนทางรอดก็ยังไม่มีเหลือให้พวกเจ้า! เดิมทีข้าคิดว่าสุดท้ายแล้วเราก็คือครอบครัวเดียวกัน โดยที่ไม่รู้ว่าคนที่ข้าเรียกว่าท่านแม่มาตลอดยี่สิบกว่าปีผู้นั้น แม้แต่ภรรยาของข้าก็ยังไม่มีความอดทนอดกลั้น!”
“อาซู ข้าเสียใจ ข้ารู้สึกผิดต่อพวกเจ้า ข้าไม่สามารถดูแลพวกเจ้าได้ดีพอ…”
ใบหน้าที่มุ่งมั่นมาตลอดของหลินเหราได้แสดงออกถึงความเจ็บปวดระคนความเสียใจและความละอายแก่ใจ ทั้งหมดล้วนแสดงออกมาต่อหน้า ให้เหยาซูได้เห็นอย่างไม่ปิดบัง
หญิงสาวเพิ่งพบว่า หลินเหราไม่ใช่คนที่ไร้ความรู้สึก
ความเย็นชาของเขา ความไม่สนใจใยดีของเขา เดิมทีเป็นเพียงแค่การซุกซ่อนตัวตนที่ดูอ่อนแอและเอาใจใส่อย่างมากเท่านั้น
เขาเคยชินกับการใช้หน้ากากแห่งความเย็นชาแสดงออกต่อหน้าผู้อื่น เคยชินกับการเมินเฉยหัวใจของตัวเอง ท้ายที่สุดก็ทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาเป็นคนเย็นชาไร้ความรู้สึกจริง ๆ
เหยาซูยื่นมือออกไปกุมมือของเขาเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องขอโทษหรอก ท่านทำดีมากแล้ว อาเหรา สิ่งที่ท่านทำนั้นดีมากแล้ว”
หญิงสาวหวนนึกถึงวันเวลาในอดีตอีกครั้ง ในตอนที่เขาเพิ่งกลับมาจากการออกรบ ครั้นได้ยินว่าภรรยาและลูกอยู่ในตระกูลหลินไม่ได้ หลังเจอหมู่บ้านตระกูลเหยา แม้ว่าเด็ก ๆ จะมีท่าทีต่อต้าน แต่เหยาซูก็ยังยืนยันที่จะพาลูก ๆ ออกห่างจากเขา
ครั้นนึกถึงเรื่องเหล่านี้ในใจของเหยาซูก็เริ่มสั่นไหวไปชั่วขณะ หยาดน้ำตาพลันไหลอาบแก้มถึงขั้นพูดไม่ออก “ข้าไม่ควร ข้า…”
หากวันนั้นนางไม่กำหนดข้อตกลงเช่นนั้น ความเจ็บปวดทั้งหมดที่หลินเหราได้รับจะลดน้อยลงใช่หรือไม่?
มือข้างหนึ่งของหลินเหราได้ถูกเหยาซูกุมไว้แน่น ส่วนอีกข้างได้ยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสายบนใบหน้าของนาง ก่อนจะพูดด้วยความปวดใจว่า “เพราะรู้ว่าเจ้าต้องร้องไห้ ข้าถึงไม่พูดเรื่องเหล่านี้อย่างไรเล่า”
เหยาซูส่ายหน้ากัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้ส่งเสียงออกมา
นิ้วของหลินเหรานั้นหยาบกระด้าง แตกต่างจากเนื้อแก้มที่อ่อนนุ่มของเหยาซูโดยสิ้นเชิง เขาเช็ดหยาดน้ำตาเหล่านั้นอย่างทะนุถนอม…น้ำตาที่ไหลรินเพราะเขา
เขาเคยชินกับความเย็นชาและการเมินเฉยต่อทุกคน แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะมีคนที่เสียน้ำตาเพื่อเขา เหยาซูร้องไห้โดยไร้เสียงใด ทว่าหยาดน้ำตาอุ่น ๆ ได้ลวกหัวใจของหลินเหราจนแสบร้อน
ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พอแล้ว หน้าของเจ้าดูไม่ได้แล้ว”
เหยาซูสะอึกสะอื้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นแต่ก็ยังไม่วายยื่นมือออกไปทุบเขาเล็กน้อย “ข้ากำลังปวดใจนะ ท่านนี่ เหตุใดถึงไม่เข้าใจ…”
เดิมทีหลินเหราคิดว่าเรื่องราวในอดีตนั้นมันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แต่ครั้นเห็นท่าทางของเหยาซูคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรมยิ่งกว่าจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปดึงเหยาซูมาในอ้อมกอดของตนเอง และฟังเสียงร้องไห้ที่ดังยิ่งกว่าเดิมของนาง
“เหตุใดนางถึงได้ทำเช่นนี้กับท่าน! ท่านแสนดีถึงเพียงนั้น ข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยนางไปแน่!”
ครั้นเห็นผู้เป็นภรรยาเอาแต่ร้องห่มร้องไห้โดยไม่พูดไม่จาเหมือนเด็ก และดูเหมือนว่ากำลังระบายน้ำตาที่เขาไม่เคยหลั่งรินออกมา ความอัดอั้นตันใจที่หลินเหราพยายามข่มมันไว้ข้างในเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ถูกเสียงร้องไห้ของเหยาซูชะล้างจนสะอาด
เขาโอบกอดร่างกายที่แสนอบอุ่นของเหยาซูไว้ จากนั้นก็พูดปลอบใจอยู่ข้างหูของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า “มันผ่านไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว”
รอจนกระทั่งเหยาซูค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ที่รุนแรงนั้นลงได้ หลินเหราจึงได้ปล่อยนาง
ไหล่ของเขานั้นเปียกชุ่มเป็นวงใหญ่ ทั้งยังเย็นมากด้วย เนื่องจากชุดคลุมที่สวมใส่นั้นมีสีเข้มจึงทำให้มองไม่ค่อยออก แต่ความรู้สึกที่มีอยู่กลับทวีความรุนแรงขึ้น
เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งจะร้องไห้สะอึกสะอื้นมา เหยาซูกลับถามหลินเหราว่า “ตอนนี้ท่าน ยังรู้สึกแย่อีกหรือไม่”
สีหน้าของชายหนุ่มดูอ่อนโยนลง เขาใช้นิ้วมือจัดผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากของเหยาซู “ความจริงแล้วข้าไม่ได้รู้สึกแย่นานแล้ว ตอนนี้รู้แค่ว่านางไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของข้า ทั้งหมดล้วนพอเข้าใจได้ ในใจจึงทำได้แค่ต้องปล่อยวาง”
เหยาซูมองหลินเหราแวบหนึ่ง พลางกัดริมฝีปากและเอ่ยถามเสียงเบาว่า “แต่… ท่านก็ไม่ได้จะยอมรับตระกูลเซี่ยไม่ใช่หรือ?”
หลินเหรารินสุราดอกกุ้ยฮวา จากนั้นก็ลูบไล้จอกสุราใบนั้นก่อนจะจิบช้า ๆ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วราวกับกลัดกลุ้มใจก่อนจะพูดกับนางว่า “อาซู ข้าไม่รู้ว่าจะสานสัมพันธ์กับเขาอย่างไร”
เหยาซูตะลึงงัน ครุ่นคิดโดยอย่างเงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน จึงได้เข้าใจความหมายของหลินเหรา
หลินเหราเติบโตอย่างเดียวดายมาตั้งแต่เด็ก บางทีอาจเพราะเขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะมีอาวุโสที่รักเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ
เขารู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองคือผู้อื่น รู้ว่าพวกเขาไม่ได้มีความห่วงใยต่อเขา แต่ต่อให้พูดอย่างไรพวกเขาก็ไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้ว
ส่วนเซี่ยเชียนสำหรับเขาท้ายที่สุดก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดคนหนึ่ง
แล้วเขาจะเผชิญหน้ากับเซี่ยเชียนอย่างไร? ตลอดยี่สิบกว่าปีที่อยู่ในตระกูลหลิน นอกจากความเงียบงันแล้วแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเข้าใจว่าจะต้องเข้าหาอาวุโสอย่างไร
เหยาซูเห็นท่าทางกลัดกลุ้มใจของหลินเหราผู้นี้นับครั้งได้
ในสายตาของนาง หลินเหราเป็นคนที่นิ่งเงียบและเด็ดขาด การแยกจากตระกูลหลินเมื่อครั้งอดีตก็ยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรงไปตรงมา ไม่เคยเยิ่นเย้อแต่อย่างใด
แต่ท่าทางสับสนที่หลินเหราแสดงออกมาในตอนนี้ กลับทำให้ดูน่ารักยิ่งนัก
นางอดหรี่ตาคู่นั้นไม่ได้ก่อนจะคลอเคลียอยู่ข้างกายของเขาอย่างใกล้ชิด จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาว่า “หากไม่รู้ว่าจะสานสัมพันธ์อย่างไร ก็จงปล่อยไปตามธรรมชาติ ท่านดูอย่างอาจื้อและอาซือสิ พวกเขาพูดคุยกับลุงได้อย่างไร? นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยกลัดกลุ้มใจเรื่องเหล่านี้อย่างไรเล่า”
ครั้นอยู่ต่อหน้าลุงทั้งสอง อาจื้อและอาซือล้วนดูสนิมสนมอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยสานสัมพันธ์กันมาก่อน
เมื่อเห็นแก่สายเลือดแล้ว จึงย่อมมีปฏิสัมพันธ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนไม่รักต่อให้ทำดียังไงเขาก็ไม่รัก เจ็บปวดมากเลยที่เด็กคนหนึ่งทำดีสารพัดอย่างให้ได้รับความรักบ้างแต่ก็เหมือนเทน้ำใส่หลุมไร้ก้น เลยกลายเป็นคนเย็นชาเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บปวด อาเหราก็ตัวแค่นี้ /กอด/
ไหหม่า(海馬)