ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 192 ทำไมยิ่งอยู่ยิ่งพูดไร้สาระมากขึ้นเรื่อย ๆ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม
- บทที่ 192 ทำไมยิ่งอยู่ยิ่งพูดไร้สาระมากขึ้นเรื่อย ๆ
บทที่ 192 ทำไมยิ่งอยู่ยิ่งพูดไร้สาระมากขึ้นเรื่อย ๆ
จู่ ๆ มือของเหยาซูที่กำลังเคลื่อนไหวพลันหยุดชะงักลง นางเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างไม่อยากเชื่อว่า “จริงหรือ?”
ครั้นหลินเหราเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของนาง ก็อดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ “ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมกัน?”
เหยาซูไม่เคยคิดจะเข้าเมืองหลวงมาก่อน
ตอนนี้นางอยู่ในเมืองชิงถง กิจการชาดของตนเพิ่งจะก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดกิจการพร้อมกับร้านขายผ้าเหยาจี้จนกลายเป็นการเสริมสร้างกันและกัน
เมื่อหลายวันก่อนนางเพิ่งปรึกษากับเถ้าแก่เนี้ยเซวีย หากนางไม่ปักหลักอยู่ในเมืองชิงถงก็คงจะร่วมมือกับร้านขายผ้า รับซื้อชุดกระโปรงหลากหลายแบบมาจากข้างนอก
ทว่ากิจการนั้นทำได้ทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เรื่องเงินนั้นก็สามารถหาได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเวลาไหน
แต่ถ้าอยากใช้เวลาอยู่กับอาจื้อก่อนที่เขาจะเติบใหญ่ กลับมีแค่สองสามปีนี้เท่านั้นที่จะทำได้
ครั้นหลินเหราเอ่ยว่าจะเข้าเมืองหลวง เหยาซูย่อมเห็นด้วยแน่นอน
กระทั่งได้ยินหลินเหราพูดอีกว่า “ก่อนหน้านั้นท่านแม่ทัพได้ส่งจดหมายมาหาข้า แนะนำข้าให้เข้าร่วมเป็นองครักษ์จินอู๋ [1] แต่ข้าปฏิเสธไป”
เหยาซูตื่นตกใจ “เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินท่านเอ่ยถึงเลยเล่า?”
องครักษ์จินอู๋เป็นขุนนางที่ใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิ แม้ว่าจะรับหน้าที่แค่ปกป้องคุ้มกัน แต่ต้องอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิแทบจะตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงมากทีเดียว
เพียงแต่การคัดเลือกตำแหน่งองครักษ์จินอู๋ค่อนข้างเข้มงวดโหดร้าย ต้องมีความจงรักภักดี ศิลปะการต่อสู้เป็นเลิศ อีกทั้งยังต้องมีความดีความชอบในสนามรบมากพอถึงจะเบียดตัวเองเข้าไปได้ นอกจากนั้นจะต้องมีหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์และงดงาม ถึงอย่างไรก็ต้องใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิ จะมีหน้าตาอัปลักษณ์ไม่ได้เด็ดขาด
หลินเหรายังดูอ่อนเยาว์ หน้าตาก็หล่อเหลา ประกอบกับเป็นผู้ที่ท่านแม่ทัพแนะนำด้วยตัวเอง ย่อมสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การคัดเลือก
กระทั่งได้ยินชายหนุ่มพูดว่า “หากเป็นความดีความชอบในอดีต ตัวข้านั้นไม่ถือว่าสูงที่สุด ทหาร ณ ชายแดนอีกไม่น้อยต่างก็มีประสบการณ์มากกว่าข้า อายุอานามในตอนนี้ก็ไม่น้อยแล้ว มิหนำซ้ำชายแดนก็หนาวเย็นนัก หากต้องเสนอผู้บังคับบัญชาให้มีการบันทึกความดีความชอบ ย่อมต้องเคร่งครัดกับพวกเขาก่อนเสมอ ข้ายังเด็กอีกหลายปีค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”
เขาพูดอย่างจริงจัง เหยาซูจึงต้องจริงจังตอบ
หญิงสาวรู้มาตลอดว่าหลินเหรามีจิตใจที่อ่อนโยน แม้ว่าเขาจะแสดงท่าทางเย็นชาต่อผู้อื่น ปฏิบัติเหมือนกับว่าจะไม่ใกล้ชิดกับผู้ใด แต่ความจริงแล้วกลับนึกถึงผู้อื่นทุกเรื่องเสมอ
ในสมรภูมิรบทหารทุกคนจะต้องสละเลือดเนื้อและชีวิตเข้าร่วมต่อสู้ ความดีความชอบในด้านสงครามของหลินเหราก็ต้องใช้ชีวิตของตนแลกมันมาเช่นกัน นั่นเป็นสิ่งที่เขาควรจะได้รับ
แต่เขายอมยกมันให้กับทหารที่มีอายุมากกว่า หวังให้พวกเขาได้เสพสุขกับคุณงามความดีและเกียรติยศก่อน
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ แต่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่เป็นพิเศษ “พวกเขาควรจะเกษียณออกจากสนามรบไปนานแล้ว และเสพสุขกับชีวิตที่สุขสงบ”
นัยน์ตาของเหยาซูเปล่งประกายระยิบระยับ ก่อนจะชื่นชมอย่างจริงใจ “อาเหรา ท่านทำถูกต้องแล้ว”
หลินเหรายิ้ม ร่องรอยแห่งความเย็นชาบนใบหน้าได้อ่อนลงไปพร้อมกับรอยยิ้มละมุนนี้
เขาไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับเหยาซูมาก่อน เพราะไม่อยากให้นำมาซึ่งความขัดแย้ง
ในอดีตเหยาซูมักจะให้ความสำคัญกับสิ่งของมากมาย ความรู้ เงินทอง ลาภยศ สำหรับนางแล้วล้วนสำคัญทั้งสิ้น
หลินเหราคงจะโทษนางไม่ได้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ก็ล้วนมองเช่นนี้
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเหยาซูในตอนนี้ ทำให้ความกังวลที่เกิดขึ้นในใจของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง
เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ ทั้งยังแฝงไปด้วยอารมณ์แห่งความสุข “ไม่พูดกับเจ้าแล้ว เดี๋ยวเจ้าก็โทษข้าอีก หากเป็นเช่นนี้ อีกไม่กี่ปีเจ้าจะกลายเป็นฮูหยินขุนนางชั้นสูงเชียวนะ”
“ฮ่า ๆ” เหยาซูหลุดหัวเราะออกมาจากนั้นก็พูดหยอกล้อ “ใครจะอยากได้ขุนนางชั้นสูงอย่างท่านกัน! บุรุษที่มีความสามารถล้วนมีภรรยาสามนางบำเรอสี่ทั้งนั้น ข้าหวังให้ท่านทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ได้แต่พึ่งเงินที่ข้าตรากตรำหามาเลี้ยงชีวิต…ยิ่งไปกว่านั้น วันข้างหน้าข้าต้องรอที่จะเป็นแม่ของบัณฑิตจอหงวน อาจื้อจะได้สร้างเกียรติยศให้แก่ข้า”
ใบหน้าของนางแต้มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดูท่าในใจของหลินเหราคงจะรุ่มร้อนไม่น้อย
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่นานหลินเหราย้อนกลับมาประเด็นหลัก “ตอนนี้โจรบนภูเขาเฮยหู่ก็ถูกกำจัดสิ้นซากแล้ว ท่านผู้ตรวจการต้องไปรายงานคุณงามความดีของข้าและพี่รองต่อราชสำนัก คาดว่าอีกสองสามวันก็คงจะมีจดหมายชื่นชมมาส่ง”
เหยาซูพูดด้วยความประหลาดใจ “มีจดหมายชื่นชมอะไรเช่นนั้นด้วยหรือ?”
หลินเหราส่ายหน้า “คงไม่มีอะไรมากนอกจากยกตำแหน่งขุนนางกึ่งทางการให้ พร้อมกับเงินส่วนหนึ่งเท่านั้น”
เหยาซูตอบ “อ่อ” คำเดียว แต่ในใจกลับคิดว่าองค์จักรพรรดิช่างฉลาดยิ่งนัก
ตำแหน่งขุนนางที่องค์จักรพรรดิมอบให้ ล้วนเป็นสิ่งที่เขาพระราชทานเอง เงินที่ปูนบำเหน็จก็เป็นของกลางที่หลินเหราและคนอื่นยึดมาได้จากโจรภูเขา
เช่นนี้เท่ากับว่าราชสำนักไม่ได้ออกเงินเลยสักเหรียญเดียว ทั้งยังยกความดีความชอบในด้านสงครามเป็นรางวัลตอบแทน เหลือเงินทองจำนวนไม่น้อย ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมน่าชมเชย
ครั้นนึกถึงปัญหาในตอนแรกสุด เหยาซูก็ได้เอ่ยขึ้นด้วยความฉงน “ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่มีทางเข้าเมืองหลวงได้นะสิ”
หลินเหราเอ่ยตอบ “เรื่องนี้ไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ตอนนี้โจรภูเขาเฮยหู่เพิ่งจะถูกกำจัดไปยังต้องจัดการกับปัญหาที่ตามมาทีหลังอีก ประกอบกับที่จวนผู้ตรวจการจะต้องฝึกฝนทหารม้าในช่วงสองสามวันนี้ คงจะเจียดกำลังพลออกมาไม่ได้ชั่วคราว รอให้ถึงเวลาข้าจะส่งจดหมายไปให้ท่านแม่ทัพเอง”
เหยาซูพยักหน้าเห็นด้วย “เช่นนี้ก็ดี”
หญิงสาวไม่รู้ถึงความลำบากในการเข้าเมืองหลวง แค่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย
นางจะไม่แทรกแซงปัญหาเหล่านี้ ตราบใดที่ในใจของหลินเหราได้ไตร่ตรองไว้ดีแล้ว
อีกอย่างตอนนี้อาจื้อก็ยังเด็ก จำเป็นจะต้องตามเซี่ยเชียนไปร่ำเรียนอยู่ในเมืองหลวงสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยเข้าสำนักกว๋อจื่อเจี้ยนน่าจะได้ประโยชน์กว่า รอให้นางจัดการธุรกิจร้านขายชาดของตัวเองให้ดีเสียก่อน ไม่ต้องเฝ้าดูแลมากนัก ถึงตอนนั้นก็คงจะเข้าเมืองหลวงได้อย่างสบายใจ
เหยาซูกำลังครุ่นคิดเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งยังนึกถึงเจียงหนิงที่คอยคิดเผื่อหลินเหราทุกเรื่อง จากนั้นก็พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ท่านแม่ทัพปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีเชียว”
เจียงหนิงชื่นชมหลินเหรา ด้วยการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญในทุก ๆ ด้าน
ความจริงแล้วในตอนแรกเจียงหนิงอยากให้หลินเหราเข้าเมืองด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาไม่ยอมเอง คิดว่าจะจัดการเรื่องราวในบ้านให้เรียบร้อยก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ครั้นเห็นหลินเหรามีความคิดของตัวเอง เจียงหนิงจึงมายังเมืองชิงถงด้วยตัวเอง หลังจากกล่าวทักทายท่านผู้ตรวจการแล้ว ก็ให้เขารับตำแหน่งอยู่ในหน่วยนี้
ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้สง่าผาเผยแห่งเมืองต้าเยี่ยน แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็ให้ความเคารพเขาในฐานะ ‘ท่านแม่ทัพ’ เมื่อเขายอมทำเช่นนี้เพื่อหลินเหราก็คงไม่มีสิ่งใดจะต้องเอื้อนเอ่ย
หลินเหราพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ทัพเจียงหนิงมีพระคุณต่อข้า”
ทหารของซีเป่ยต่างรู้ว่าท่านแม่ทัพนั้นอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจลูกน้อง และมักจะเห็นเหล่าทหารเปรียบเสมือนพี่น้องของตนเองเสมอ ไม่ยอมให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายโดยง่าย แรกเริ่มที่หลินเหราเข้ามาเป็นทหารนั้น เขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้มีกลิ่นอายของทหารที่พึงมี
เพียงแต่นิสัยที่เด็ดเดี่ยวและอดทนต่อความยากลำบาก ทำให้เขาค่อย ๆ โดดเด่นกว่าผู้อื่นในค่ายทหาร
ท่านแม่ทัพจึงให้ความสนใจ ให้ความสนับสนุนหลินเหรา ทั้งยังมีความรู้สำนึกในบุญคุณต่อเขา
เหยาซูเห็นท่าทางจริงจังของหลินเหราจึงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องคุณธรรมระหว่างบุรุษอย่างพวกท่านนักหรอก นักรบยอมตายได้เพื่อสหายที่รู้ใจมันเป็นเช่นนี้หรือ?”
หลินเหราพยักหน้าเล็กน้อย และถามหญิงสาวกลับว่า “ขนาดสตรียังยอมแต่งหน้าเพื่อคนรัก มีปัญหาอย่างนั้นหรือ?”
นักรบยอมตายเพื่อสหายรู้ใจ สตรียอมแต่งหน้าเพื่อคนรัก
ทั้งสองวรรคนี้เดิมทีเป็นการประโยคที่ต่อกัน วรรคแรกที่เหยาซูเอ่ยนั้นถามออกมาอย่างจริงใจ ส่วนวรรคหลังที่หลินเหราตอบออกมานั้นมีเจตนาหยอกเย้านาง
ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำเล็กน้อยก่อนจะตะโกนอย่างขุ่นเคือง “เหตุใดคำพูดไร้สาระของท่านถึงได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้!”
วันนี้หลินเหราไปยังค่ายของจวนตรวจการเพื่ออบรมฝึกฝนทหารหนึ่งวัน ด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดซึมออกมาตามร่างกายและกลิ่นของดินโคลน ทำให้เขาย่อมไม่อยากกอดเหยาซูในสภาพเช่นนี้
ทว่าแก้มทั้งสองข้างของนางที่แดงระเรื่อ อีกทั้งท่าทางเหมือนจะขุ่นเคืองนั้นทำให้คนหวั่นไหวจนยากจะห้ามใจ
หลินเหราคล้อยตามหัวใจของตัวเองด้วยการยื่นหน้าตรงหน้าหญิงสาว จากนั้นก็พรมจูบลงบนใบหน้าของภรรยาอย่างแผ่วเบา “คืนนี้จะอาบน้ำหรือไม่?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหยาซูเกิดเข้าใจว่าคือการอาบน้ำร่วมกันเสียอย่างนั้น จู่ ๆ ใบหน้าของนางก็พลันแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม ก่อนพูดตะกุกตะกักว่า “อ่าง อ่างอาบน้ำใหญ่ที่ไหนกัน…”
หลินเหราตื่นตกใจไปชั่วครู่จนเข้าใจความหมายของเหยาซูในที่สุด จากนั้นกลับกลายเป็นเขาที่ตะลึงงันเสียเอง กระทั่งแสดงปฏิกิริยาตอบสนองกล่าวว่านางช่างน่าขบขัน
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มกว้างออกมา ทำให้เหยาซูที่เดิมทีเขินอายอยู่แล้วยิ่งรู้สึกโกรธเคืองเข้าไปใหญ่ “ข้าไม่อาบ ท่านอยากอาบก็ไปอาบสิ! ตัวเหม็นเพียงนี้ อาบไม่สะอาดไม่ต้องขึ้นเตียง!”
หลินเหราหัวเราะร่าทันใด น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำคล้ายกับเครื่องดนตรีดังเข้ามาในโสตประสาทของเหยาซูเป็นระลอก ๆ ทำให้แก้มของนางร้อนผ่าวอย่างต่อเนื่อง
เหยาซูถลึงตาใส่ชายหนุ่ม นัยน์ตาดุจลูกท้อที่เปล่งประกายคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่ารักน่าชัง “ท่านรีบไปสิ!”
หลินเหราเดินออกไปอย่างว่าง่าย ก่อนตรงไปต้มน้ำอาบในห้องครัว
แต่ยังไม่ทันที่เข็มและด้ายในมือของเหยาซูจะปักเย็บได้มากกว่าเดิม ชายหนุ่มก็พาร่างกายอันเปียกโชกกลับเข้ามาในห้อง
ความร้อนผ่าวบนใบหน้าของนางเพิ่งจะจางหายไปไม่นาน นางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจทันใดว่า “เหตุใดเร็วเพียงนี้?”
แม้ว่าหลินเหราจะอาบน้ำเร็วมาก แต่ก็ยังรวดเร็วไม่เท่าที่เหยาซูคาดคิดไว้
เพียงแต่เมื่อครู่ในใจของนางมัวแต่นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างพวกเขา จึงรู้สึกว่าหลินเหราไปแค่เพียงเวลาสั้น ๆ
ชายหนุ่มไม่ได้โต้เถียงแต่พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “อยากจัดการให้เสร็จไว ๆ”
เขาปรายตามองเหยาซูแวบหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมายังใบหน้าของนาง
เหยาซูเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้ใจเช่นนี้กับหลินเหราตั้งแต่เมื่อใด แต่ก็เข้าใจความหมายของหลินเหราในชั่วพริบตาเดียว ความร้อนรุ่มที่จางหายไปเมื่อครู่ก็ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง
หญิงสาวมองไปทางเด็กทั้งสามคนที่หลับสบายอยู่บนเตียงโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งได้ยินหลินเหราพูดเสียงต่ำว่า “ห้องครัวยังมีน้ำร้อน ข้าต้มไว้มากเกินไป อีกเดี๋ยวเจ้าก็ใช้เสีย….”
เหยาซูกัดริมฝีปากล่างอีกครั้ง เวลานี้นางไม่ได้รู้สึกลำบากใจ หากแต่รู้สึกเขินอายแทน
ชายหนุ่มเดินขยับเข้ามาใกล้ ตามร่างกายของเขายังเต็มไปด้วยไอน้ำ จากนั้นก็ยื่นแขนที่แข็งแรงทั้งสองข้างเข้าไปโอบเอวของเธอ ก่อนจะเปล่งเสียงพูดเบา ๆ คล้ายกับพึมพำ “อย่ากัดริมฝีปาก…”
หลินเหราพยายามข่มความร้อนรุ่มนั้นไว้ในใจ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเป่าตะเกียงน้ำมันจนดับมอดไป…
[1] *องครักษ์จินอู๋ มาจากคำว่า จื๋อจินอู๋ (执金吾) เป็นกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยประตูชั้นใน ในเขตเมืองหลวง ลาดตะเวนจับโจรผู้ร้าย ลาดตะเวนดูแลความสงบเรียบร้อยในเส้นทางที่ฮ่องเต้เสด็จ
สารจากผู้แปล
พี่เหราไปอัพสกิลอะไรมาคะเนี่ย ทำไมดูแพรวพราวกับอาซูขึ้น จะกลายเป็นเติงถูจื่อแล้วเหรอคะ
ไหหม่า(海馬)