ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 196 ก็บอกว่าห้าวันไม่ใช่หรือ
บทที่ 196 ก็บอกว่าห้าวันไม่ใช่หรือ
หลังจากที่ส่งฮูหยินเจี่ยงกลับไปแล้ว เหยาซูก็นั่งอยู่ในร้านอีกครู่หนึ่ง มอบหมายงานให้เด็กในร้านนำสินค้าตัวใหม่ที่เปิดตัวตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาออกไปแนะนำ จากนั้นค่อยพาซานเป่ากลับบ้าน
อาหารมื้อค่ำวันนี้ค่อนข้างเรียบง่าย หลังจากที่พวกเด็ก ๆ กินเสร็จแล้วก็รีบเข้านอน
เหยาซูนั่งอยู่ใต้แสงไฟ ในมือขีด ๆ วาด ๆ เริ่มออกแบบสินค้าประเภทชาดที่จำเป็นต้องทำตัวต่อไป
อากาศค่อนข้างร้อนระอุทุกวัน ประสิทธิภาพหลักของไขทามือคือป้องกันไม่ให้มือแตกระแหง อย่างมากสุดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นหลีกเลี่ยงความแห้งเหี่ยว
เดิมทีนางตั้งใจว่าจะเติมน้ำผึ้งลงไปในส่วนประกอบอีกเล็กน้อยจะได้มีกลิ่นหอมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับชาดและแป้งน้ำนั้นจะเน้นในเรื่องความเบาบาง นอกจากนี้ยังมีแป้งฝุ่นอีกหลากหลายรูปแบบ ที่ค่อย ๆ ผลิตออกมา…
หญิงสาวก้มหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง จึงไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูจากในลานบ้าน
ผ่านไปไม่นาน หลินเหราก็ได้เปิดประตูบ้านเข้ามา
เหยาซูเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาเขาพอดี
“ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
หญิงสาวชะงักงัน จากนั้นก็คลี่ยิ้มบาง ๆ สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาอบอุ่น อีกทั้งยังอ่อนโยนยิ่งกว่าสายลมวสันตฤดูในยามราตรีเสียอีก
เหยาซูเห็นเขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนจึงเอียงคอถามว่า “มัวยืนอึ้งทำไมกัน? วันนี้เหนื่อยมากไหม?”
ร่างกายที่อยู่ภายใต้แสงไฟของนางได้สะท้อนกลิ่นอายแห่งความสงบสุขบางอย่างออกมา ส่งผลให้ความรู้สึกหนึ่งได้ทะลักออกมาก้นบึ้งหัวใจของหลินเหรา ดูเหมือนว่าต่อให้เขาจะยุ่งมากจนดึกดื่นแค่ไหน เหยาซูจะอยู่ที่บ้านและรอเขากลับมาเสมอ…
เขาเดินเข้าไปใกล้และพูดอย่างอบอุ่นว่า “ไม่เหนื่อยเลย”
เมื่อชายหนุ่มนั่งลงเหยาซูก็ได้กลิ่นหอมของดอกไม้จาง ๆ จากตัวของเขา จึงอดตื่นเต้นไม่ได้ จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านตัวหอมมากทีเดียว”
หลินเหรายกแขนขึ้นมาดมอย่างสงสัย
เหยาซูพูดเสียงเบาว่า “กลิ่นหอมของดอกพุดซ้อน ท่านว่าสองสามวันนี้ข้าทำแป้งฝุ่นกลิ่นดอกพุดซ้อนดีหรือไม่? เพราะกลิ่นดอกไม้ชนิดนี้ติดทนนานไม่จางง่าย ทั้งยังหอมเป็นเอกลักษณ์ด้วย”
หลินเหราไม่เคยคัดค้านคำพูดของนาง “หากเจ้าชอบ ข้าจะไปหามาให้”
พูดจบในใจของเขาก็เต้นรัวจากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เจ้าชอบกลิ่นดอกกุ้ยฮวาที่สุดไม่ใช่หรือ? ไฉนถึงไม่ทำแป้งฝุ่นกลิ่นดอกกุ้ยฮวาเล่า”
เหยาซูมองไปทางเขาแวบหนึ่ง “กุ้ยฮวา? ตอนนี้ท่านหาต้นดอกกุ้ยฮวาให้ข้าได้สักต้นไหมเล่า?”
หลินเหราเพิ่งนึกได้ ดอกกุ้ยฮวาจะผลิบานในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
เขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ทำเพียงแค่พูดว่า “รออีกสักสองสามเดือนแล้วกัน…”
เหยาซูไม่ค่อยเห็นท่าทางของหลินเหราที่ถูกหักหน้าเช่นนี้เท่าไร จึงยิ้มและพยักหน้า “เช่นนั้นจงจำไว้ให้ขึ้นใจ! ดอกกุ้ยฮวาจะบานก่อนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ถึงตอนนั้นท่านจะต้องไปเสาะหาดอกกุ้ยฮวาจำนวนมาก…มาทำแป้งฝุ่น ชาด สีผึ้งทาปาก และสบู่ทำความสะอาดตลอดทั้งปีเพื่อข้าให้ได้นะ!”
หลินเหรามองไปทางเหยาซู มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย สีหน้านั้นดูอ่อนลงคล้ายกับน้ำแข็งหิมะที่กำลังละลาย
ไม่ว่าแต่ละฤดูจะผ่านพ้นไป จะเป็นดอกท้อยามวสันต์ ดอกบัวยามคิมหันต์ ดอกจินกุ้ย[1]ยามสารท หรือดอกเหมยยามเหมันต์ก็ดี…
ขอแค่นางบอก เขาจะไปเสาะหามาให้
เขามองรอยยิ้มอันสดใสของนาง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “แน่นอน”
ทั้งสองคนพูดคุยด้วยความสบายใจอีกครู่หนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้าน ไม่ก็เรื่องที่หลินเหราทำในวันนี้มีอะไรบ้าง
โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเหยาซูที่พูด ส่วนหลินเหราจะตั้งใจฟัง
และทุกครั้งที่นางพูดเรื่องที่ตัวเองทำสักเรื่องจบลง ก็มักจะถามหลินเหราต่อเสมอว่าเขาคิดเห็นอย่างไร
หลินเหรานั่งอยู่ข้างกายของนาง เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เหยาซูเล่านั้นคือชีวิตประจำวันที่ธรรมดามากวันหนึ่ง แต่เขากลับนั่งฟังด้วยความสนอกสนใจเต็มเปี่ยม
หลังจากที่พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตประจำวันจบลง นัยน์ตาของหลินเหราก็ค่อย ๆ ร้อนผ่าวขึ้น เขามองเหยาซูตาไม่กะพริบเหมือนกับว่ารอปฏิกิริยาตอบสนองของนาง
เหยาซูได้สติกลับมาทันใดก่อนจะหน้าแดงก่ำ “วันนี้ข้าไปร้านยามาหนึ่งรอบ ไปขอยาตัวหนึ่งจากท่านหมอสวี…”
เหยาซูยังลังเลไม่รู้ว่าจะพูดกับหลินเหราอย่างไร แต่เมื่อเห็นหลินเหราขมวดคิ้ว มือใหญ่ที่ร้อนผ่าวยิ่งกว่าน้ำร้อนกลับกุมมือของนางไว้และถามว่า “ทำไมหรือ? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
น้ำเสียงอันนิ่งสงบของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความเป็นห่วงที่ยากจะสังเกตเห็นได้ แม้แต่ความเร็วในการพูดนั้นก็มากกว่าปกติ
เขารู้ว่าเหยาซูมีร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอดนับตั้งแต่ที่ให้กำเนิดซานเป่าในคราวนั้น ประกอบกับการขาดสมดุลที่เกินไปก่อนหน้านั้น จึงต้องค่อย ๆ บำรุงฟื้นฟูจนดีขึ้น
หรือว่าความเย็นจะเข้าแทรกในช่วงวสันตฤดู ทำให้นางไม่สบายอีกครั้ง?
เหยาซูรู้ว่าหลินเหรากำลังเข้าใจผิดจึงรีบพูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ได้ป่วยเสียหน่อย ท่านอย่าเพิ่งใจร้อนสิ”
คิ้วของชายหนุ่มยังคงขมวดเข้าหากัน “ไม่ได้ป่วย แล้วไปเอายาจากร้านยามาทำอะไร?”
ตอนนี้เหยาซูไม่มีท่าทีจะอ้อมค้อมอีกแล้ว แค่พูดตรง ๆ ว่า “ยาที่ข้าเอามาไม่ใช่ยารักษาโรค…อื้อ มันคือยาคุมกำเนิด”
หลินเหราตะลึงงัน ไม่เข้าใจในความหมายของเหยาซู
มือขวาของหญิงสาวยังถูกกุมไว้ในฝ่ามือของเขา ฝ่ามือที่หยาบกระด้างของชายหนุ่มนั้นร้อนผ่าวยิ่งกว่าน้ำร้อน ห่อหุ้มมือของนางไว้แน่นจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างนิ้ว ไอร้อนจึงได้สัมผัสกับผิวหนังภายนอกของทั้งสองคนโดยตรงและมันค่อย ๆ ไล่ขึ้นมาบนฝ่ามือและแขนของนาง
หลินเหรามองนางตาไม่กะพริบ กระทั่งทำให้ใบหน้าของหญิงสาวดูแดงระเรื่อ จากนั้นจึงได้เอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ยาคุมกำเนิด?”
ต่อให้เหยาซูจะรู้สึกลำบากใจอย่างไรเวลานี้ก็ทำได้แค่ฝืนพูดต่อว่า “ใช่….ซานเป่ายังเด็ก ข้าคิดว่าเราค่อยคุยเรื่องมีลูกเพิ่มดีกว่า”
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอยู่เนิ่นนาน
เหยาซูเองก็ไม่เปล่งเสียงออกมา จนเวลาผ่านไปชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงเขาทอดถอนใจเบา ๆ จากนั้นก็พูดอย่างอบอุ่นว่า “ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ร่างกายของเจ้ายังไม่แข็งแรงพอ เวลานี้ถ้าจะมีลูกเพิ่มอีกเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของเจ้าแน่”
เหยาซูก้มหน้าลงและตอบ “อื้อ” หนึ่งครั้ง
หลินเหรากุมมือของเหยาซูไว้จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย กระทั่งได้ยินเขาถามว่า “อาซู หากเจ้าไม่อยากมีลูก ปฏิเสธข้าก็ได้…”
เขาหยุดชะงักทันใด จากนั้นก็พูดต่อว่า “ยาคุมกำเนิดเป็นอันตรายต่อร่างกายไม่มากก็น้อย กินเข้าไปย่อมไม่เป็นผลดี”
หลินเหรายอมรับจากใจจริงว่าเขาชอบที่ได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเหยาซูโดยไร้ขีดจำกัด กระทั่งไม่อาจต้านทานช่วงเวลาต้องมนต์เหล่านั้นได้
เพียงแต่ถ้าเรื่องนั้นทำให้เหยาซูตั้งครรภ์อีกครั้ง และทำให้ร่างกายของนางทรุดลงอีก เขาก็ยอมที่จะอดทนข่มกลั้นไว้
เหยาซูเงยหน้าขึ้นมองเขาและพูดเสียงเบาว่า “ท่านหมอสวีบอกกับข้าไว้ ยานั้นไม่ใช่ยาที่สตรีต้องกิน แต่เป็นยาให้ท่านกิน…และมันไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย”
หลินเหราตะลึงงัน จากนั้นก็เข้าใจท่าทางลำบากใจเมื่อครู่ของเหยาซูทันที เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย และพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้ากลัวข้าจะไม่ยอมกินเหรอ? หือ?”
คำว่า ‘หือ’ ที่เอ่ยออกมาเป็นคำสุดท้าย แฝงไปด้วยความฉงน
เหยาซูไม่พูดสิ่งใด นัยน์ตากลับพิสูจน์ความสงสัยของชายหนุ่มได้
หลินเหรามองไปทางใบหน้าด้านข้างที่ขึ้นสีแดงระเรื่อสะท้อนอยู่ภายใต้แสงไฟสีส้มเรืองรอง แล้วใช้มืออีกข้างแตะเรือนผมของผู้เป็นภรรยาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพูดจริงจังว่า “อาซู ขอแค่ดีกับเจ้า ต่อให้เป็นยาพิษข้าก็ยอมกิน”
นับตั้งแต่ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหลินเหรามา เขาไม่เคยพูดโกหกเลยสักครั้ง ตอนนี้คำสัญญาที่เปล่งออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เหยาซูรู้สึกว่าความลังเล ความเอียงอายของตนก่อนหน้านั้น แม้แต่ความไม่สบายใจจากการกังวลว่าเขาจะปฏิเสธ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไม่มีความหมาย
เหยาซูเผยรอยยิ้มและพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เหตุใดข้าจะต้องเอายาพิษให้ท่านกินด้วย? ก็บอกแล้วว่ายานั้นไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่มีทางสร้างผลกระทบอะไรกับท่าน …แต่หลังจากที่กินเข้าไปโอกาสการตั้งครรภ์อาจจะลดน้อยลง”
หลินเหรามองซ้ายแลขวาหาบางอย่าง แต่ไม่เห็นยานั้นจึงลุกขึ้นและถามนางว่า “ยาเล่า? ข้าจะเอาไปต้มก่อน”
เหยาซูไม่ค่อยเห็นท่าทางแบบนี้ของหลินเหราเท่าไรนัก จึงอดพูดไม่ได้ว่า “อยู่ในครัว ท่านจะรีบไปทำไม!”
ชายหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเตือนอย่างคลุมเครือ “จะได้พักผ่อนอย่างไรเล่า”
ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนี้ทำให้เหยาซูอดนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นเมื่อหลายคืนก่อนในสมองขึ้นมาไม่ได้ อุณหภูมิร้อนที่เดิมทีจางหายไปแล้วก็ไต่ไล่ขึ้นมาบนแขนของนางอีกครั้ง
เหยาซูพูดอย่างขุ่นเคือง “ท่านหมอกล่าวไว้ว่ายานั้นต้องรอห้าวันขึ้นไปจึงจะได้ผล! ”
หลินเหราหยุดก้าวเดินไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่น้อยครั้งจะแสดงออกมา “ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าการดื่มยาหนึ่งถ้วย จะต้องรอห้าวันถึงจะเห็นผล เจ้าโกหกแล้ว”
เหยาซูกลั้นไม่ไหวจนหลุดหัวเราะออกมา
แต่ต่อให้หลินเหราไม่ยอมอย่างไร ก็ทำได้แค่ยอมรับผลลัพธ์นั้น เขารู้สึกจนปัญญาได้แต่พูดอย่างอึดอัดใจว่า “ข้าไปต้มยาก่อนนะ”
เหยาซูกลับเรียกเขาไว้ ใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้มที่ไม่จางหายไปนั้น “วันนี้ดื่มไปก็ไม่มีประโยชน์ ท่านจะรีบต้มมันไปทำไม?”
ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด แต่เหยาซูกลับรู้สึกว่าแม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ยังแผ่กระจายความไม่พอใจออกมา “ก็บอกว่าห้าวันไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่ต้มวันนี้ จำนวนวันมันก็เพิ่มขึ้นน่ะสิ”
พูดจบเขาก็เดินหายเข้าไปในครัว
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ท่านพ่อดูรีบนะเจ้าคะ อยากกอดอาซูเร็ว ๆ ล่ะสิ
ไหหม่า(海馬)
[1] ดอกจินกุ้ย หรือ ดอกกุ้ยฮวา