ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 198 เราจะไปเล่นแก้ปมด้วยกัน
บทที่ 198 เราจะไปเล่นแก้ปมด้วยกัน
อาซือกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะซ้ำคำถามเมื่อครู่อีกรอบ “ข้ากำลังถามพี่ว่าภาพเสมือนที่พี่วาดนั้นมันคือเถาวัลย์จริง ๆ หรือ”
เถิงเอ๋อมองไปยังภาพสีดำสนิทบนกระดาษที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “มันเป็นเสน่ห์ของเถาวัลย์เชียวนะ….”
เด็กทั้งสามคนเรียนการวาดภาพด้วยถ่านไม้กับเหยาซูมาตั้งแต่เช้า หลังจากที่กินข้าวมื้อเที่ยงเสร็จพวกเขาก็เล่นกันอยู่ในลานบ้านอีกพักใหญ่ และหลังจากนอนกลางวันแล้วอาซือก็ได้เอ่ยเรื่องการวาดภาพอีกครั้ง
ครั้งนี้นางเสนอให้อาจื้อวาดเถาวัลย์ เพียงแต่อาจื้อไม่ค่อยสนใจการวาดภาพพืชพรรณเช่นนี้เท่าไร ประกอบกับที่ถ่านไม้ค่อนข้างควบคุมแรงมือได้ยาก จึงวาดออกมาได้แย่เกินจะพรรณนาได้
หลังจากที่เถิงเอ๋อเห็นภาพนั้น ความรู้สึกทางสีหน้าก็บ่งบอกทุกอย่างได้ชัดเจน
อาจื้อทิ้งถ่านไม้ในมือและพูดอย่างกลุ้มใจว่า “ก็บอกแล้วว่าให้วาดอะไรที่มันง่าย ๆ ลูกหมูที่ท่านแม่วาดมันไม่ดีตรงไหน? จริง ๆ เลย ให้มาวาดเถาวัลย์อะไรก็ไม่รู้…”
อาซือทำปากมุ่ย “ท่านแม่บอกแล้ว ต่อไปพี่เถิงจะเติบโตเหมือนเถาวัลย์ เราวาดให้เขาสักภาพ ไม่ดีหรือ?”
เรื่องใหญ่ ๆ อาจื้อมักจะอ่อนข้อให้น้องสาวเสมอ แต่ยังคงชอบที่จะทะเลาะเบาะแว้งกับอาซือเป็นประจำ ชอบเห็นนางลนลานและกระวนกระวายใจ
“ก็เจ้าอยากวาด ไม่ใช่ข้า เหตุใดสุดท้ายถึงโบ้ยมาให้ข้าวาดด้วยเล่า?”
อาซือพูดอย่างหนักแน่น “ข้าวาดไม่เป็น!”
อาจื้อไม่ยอมอ่อนข้อให้ “ไม่เป็นก็อย่ามาไม่ชอบภาพที่ข้าวาดสิ!”
ครั้นเห็นพวกเขาสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกครั้ง เถิงเอ๋อกลับรู้สึกสนุกเสียอย่างนั้น
เขาไม่มีพี่น้อง พวกญาติผู้พี่ในตระกูลเจี่ยงก็ล้วนถึงวัยที่ต้องศึกษาเล่าเรียนแล้วทั้งนั้น ไม่มีใครจะเล่นกับเขาเช่นนี้ได้
ดูเหมือนว่าารอบตัวเขาจะมีแต่ความเงียบสงัด เสียงเดียวที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้นคือเสียงกำชับให้ใส่เสื้อคลุมดี ๆ อากาศหนาวจะทำให้ความเย็นเข้าแทรกได้ หยุดวิ่ง หากเหงื่อออกและต้องลมจะทำให้ไม่สบาย…
เถิงเอ๋อจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้
จากนั้นก็เห็นอาซือพูดอย่างกลุ้มใจว่า “ที่ท่านพี่วาดไม่เหมือนนั้นเพราะไม่รู้ว่าเถาวัลย์มีลักษณะอย่างไรจริง ๆ งั้นเราไปดูของจริงกันเลยสิ?”
อาจื้อเบะปาก “เถาวัลย์ที่ไหนก็มี ใครเล่าจะไม่เคยเห็น!”
แม้ว่าปากของเขาจะพูดจาเช่นนี้ แต่ความจริงกลับเห็นด้วยอยู่ในใจ
จะบอกว่าเคยเห็นมันก็เคยเห็น แต่เถาวัลย์โดยทั่วไปมันสะดุดตาที่ไหนกัน เขาเองก็ไม่ได้สังเกตด้วยแล้วจะวาดออกมาได้อย่างไร
อาซือรู้สึกไม่พอใจ “พี่จะไปหรือไม่ไป!”
อาจื้อนั้นหมดหนทางเหมือนกับว่าไม่รู้จะทำอย่างไรกับน้องสาวดี จึงได้แต่พูดย้ำ ๆ ว่า “ไปสิ ๆ ก็ไปแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ?”
เดิมทีเด็กหญิงตัวน้อยก็มีสีหน้าบึ้งตึงอยู่แล้ว แต่จู่ ๆ ก็ดูดีใจขึ้นทันใด “ท่านพี่ใจดีที่สุด! ท่านพี่เป็นพี่ชายที่ดีที่สุดในใต้หล้าเลย!”
อาจื้อพึงพอใจมากจึงใช้โอกาสนี้ให้อาซือสัญญาเรื่องที่นางไม่ยอมปล่อยก่อนหน้านั้นมากมาย
ครั้นเถิงเอ๋อเห็นภาพนั้นก็ได้แต่เม้มปากยิ้มโดยไม่พูดสิ่งใด
เด็กทั้งสามคนปรึกษาหารือถึงเรื่องที่จะไปดูเถาวัลย์ หลังจากกลับบ้านมาก็วาดภาพของแต่ละคน ให้เอามาเปรียบเทียบกันว่าของผู้ใดเหมือนกว่ากัน
แต่ทันทีที่ออกจากบ้าน เถิงเอ๋อกลับถอยหลัง
“ข้า….ข้าไม่รู้ว่าข้าจะออกไปได้หรือไม่” เขาพูดเสียงเบา
อาซือเอียงคอเล็กน้อยและพูดอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดจะออกไปไม่ได้? ที่แห่งนั้นไม่ไกลเลยนะ เราออกจากบ้านและเลี้ยวตรงหัวมุม จะเจอกับพื้นที่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งท้ายซอย”
เถิงเอ๋อเบิกตากว้างเล็กน้อย
เขาพูดไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดถึงออกจากบ้านไม่ได้ บางทีอาจเพราะเมื่อครั้งยังเด็ก สาวใช้ได้พาเขาออกไปเล่นนอกบ้าน จนเขาโดนลมกลับถึงบ้านก็เป็นไข้สูงสามวันสามคืน…
หลังจากไข้ลด ในตอนที่ฟื้นกลับมา สาวใช้คนนั้นก็ถูกเฆี่ยนตีและถูกนำตัวออกไปขายเสียแล้ว
ต่อมาเถิงเอ๋อก็ได้ยินว่า หลังจากที่สาวใช้คนนั้นออกไปไม่นานก็ตาย
นับแต่นั้นมา เขาจึงไม่ออกจากบ้านง่าย ๆ อีก
“พี่เถิงไม่อยากไปเล่นกับพวกเราอย่างนั้นหรือ?” อาซือถาม
เมื่อเผชิญหน้ากับความผิดหวังและไม่เข้าใจของอาซือ เถิงเอ๋อจึงไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของอาซืออย่างไร สุดท้ายก็เป็นอาจื้อที่เข้าใจ “เถิงเอ๋อกลัวป่วยใช่หรือไม่?”
เด็กผู้ชายจึงพยักหน้าอย่างลังเลและส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่ากลัวป่วย ข้ามักจะป่วยอยู่เสมอ…”
เขาพยายามอธิบายให้ชัดเจน ตัวเองยอมป่วยเพี่อจะได้เล่นกับพวกเขา
เถิงเอ๋อครุ่นคิดอยู่นานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไปได้ แต่ถ้าข้าป่วยขึ้นมา ท่านแม่อาจจะไม่ให้ข้ามาที่นี่อีก…”
เขาในวัยนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นวัยที่ควรจะได้วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานกับเหล่าสหาย ในใจจึงครุ่นคิดเรื่องที่ตามมาหลังจากที่ออกจากที่นี่
อาจื้ออยู่ในวัยที่รู้ความมากที่สุด เขาสามารถเข้าใจความกังวลของเถิงเอ๋อได้แต่อาซือกลับทำไม่ได้
เด็กหญิงตัวน้อยจึงพูดด้วยความงุนงง “เราดูแลพี่เถิงได้อยู่แล้ว เขาไม่มีทางป่วยแน่นอน”
เด็กทั้งสามคนยืนถกเถียงกันอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ ไม่นานก็เห็นเหยาซูเดินออกมาจากในห้องและเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? พวกเจ้ากำลังวาดภาพกันอยู่ไม่ใช่หรือ?”
อาซือวิ่งกระโดดโลดเต้นมาหยุดตรงหน้าของเหยาซูก่อนจะเงยหน้าพูดว่า “เรากำลังปรึกษากันว่าจะออกไปดูเถาวัลย์ข้างนอกดีหรือไม่”
เด็กหญิงตัวน้อยเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้อย่างว่องไว ‘ปรึกษา’ สองพยางค์นี้เป็นสิ่งที่นางได้เรียนรู้จากปากของเถิงเอ๋อในวันนี้
เหยาซูมองไปยังเถิงเอ๋อ ก็มองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กชายคนนั้นอย่างชัดเจน
เขาดูกระปรี้กระเปร่ามาตลอด ไม่เพียงแต่จะไม่เหนื่อยล้าอย่างชัดเจนแล้ว ยังดูท่าจะมีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนที่ฮูหยินเจี่ยงมาส่งเขาในตอนเช้าตรู่เสียอีก
นางเดินขึ้นหน้าสองสามก้าวและถามว่า “เถิงเอ๋อเหนื่อยหรือไม่?”
เถิงเอ๋อส่ายหน้าดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับ “ไม่เหนื่อยขอรับ”
เหยาซูแตะมือของเถิงเอ๋อ ก็ยังรู้สึกอุ่น ๆ
หญิงสาวคุกเข่าลงและพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ออกไปเล่นข้างนอกเถอะ ไม่เป็นไร หากรู้สึกไม่สบายตรงไหนก็ให้พูดออกมา”
เมื่อได้รับคำยืนยันของเหยาซู ความกังวลของเถิงเอ๋อก็หายไปเจ็ดถึงแปดส่วน อาซือเห็นว่าเขาพยักหน้าเห็นด้วย จึงส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ จากนั้นก็ดึงมือของเขาพลางพูดว่า “พี่เถิงเอ๋อ เรารีบไปกันเถอะ! ประเดี๋ยวนอกจากจะได้เห็นเถาวัลย์แล้ว เราอาจจะได้เห็นต้นหยู (ต้นเอล์มจีน) ที่อยู่ข้าง ๆ ด้วย! ถ้าเก็บผลของต้นหยูได้ละก็ กลางคืนท่านแม่จะได้นำมาใช้ทำขนมเปี๊ยะนึ่ง”
เด็กน้อยพูดอย่างเจี้อยแจ้ว เหมือนกับนกกางเขนตัวน้อยที่ขานร้องอย่างเบิกบานใจ พาให้เถิงเอ๋อดคาดหวังขึ้นมาไม่ได้
หลังจากนั้นเด็กทั้งสามคนเดินออกจากบ้านไป
อาจื้อและอาซือเติบโตอยู่ในชนบทมาตั้งแต่เด็ก ขึ้นเขาลุยน้ำ ยิงนกจับปลา เคยทำมาแล้วสารพัด
ครั้นได้ยินเถิงเอ๋อบอกว่าตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ตรากตรำเรียนหนังสือ ไม่เคยออกไปเล่นที่อื่น จึงเกิดความรู้สึกสงสาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาซือ ไม่เกินครึ่งวันนางก็ชอบเล่นกับพี่ชายคนนี้มากเสียแล้ว จนอยากจะให้เขามาที่นี่ทุกวันเพื่อมาเล่นกับพวกเขา
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินนั้น อาซือหันมาถามว่า “พี่เถิงเอ๋อ พรุ่งนี้ท่านป้าเจี่ยงจะพาพี่มาเล่นอีกหรือไม่?”
เถิงเอ๋อโตกว่าอาซือเพียงเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้สูงกว่านางเท่าไรนัก
ทั้งสามคนเดินไม่ช้านัก อีกทั้งเถิงเอ๋อเองก็ใส่ชุดหนาเตอะ ไม่นานฝ่ามือของเขาก็มีเหงื่อผุดซึมออกมา
เขาพยักหน้าและตอบกลับว่า “ให้แน่นอน”
อาซือดีใจอีกครั้ง “วันนี้พี่รองข้าไม่อยู่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็มา เราทั้งสี่คนก็จะได้เล่นเป็นหุ่นไม้กันพอดี!”
หุ่นไม้คือการละเล่นประเภทหนึ่งที่เหยาซูสอนพวกเด็ก ๆ เล่น ก็คือการละเล่น ‘สาม สอง หนึ่ง หุ่นไม้’ ที่เด็กในสมัยนี้ชอบเล่นกัน อาซือชื่นชอบมันมากเป็นพิเศษ
เพียงแต่อาจื้อและเหยาเอ้อหลางรู้สึกว่ามันเด็กเกินไป จึงมักใช้ข้ออ้างว่าคนน้อย ไม่ยอมเล่นกับนาง
เถิงเอ๋อเอ่ยด้วยความสนใจ “หุ่นไม้? คือเอาคนมาเป็นหุ่นไม้หรือ?”
อาจื้อที่อยู่ด้านข้างได้อธิบายว่า “ไม่ใช่…เป็นชื่อของการละเล่นประเภทหนึ่ง ทุกครั้งที่เริ่มเล่นจะต้องมีคนปิดตา ส่วนปากจะพูดว่า ‘หนึ่ง สอง สาม หุ่นไม้’ แต่ในตอนที่เขาตะโกนว่า ‘หนึ่ง สอง สาม’ นั้น ทุกคนจะต้องเคลื่อนไหวไปอีกทิศทางหนึ่ง รอให้เขาพูดว่า ‘หุ่นไม้’ ทุกคนจะต้องเปลี่ยนเป็นหุ่นไม้ รักษาท่าเดิมไว้ ห้ามขยับ ห้ามยิ้ม หากมีคนขยับแม้แต่นิดเดียว ก็ต้องกลับไปจุดเริ่มต้นอีกครั้ง”
อาซือพยักหน้า “แล้วคนที่ไปถึงหน้าสุดก่อนเป็นฝ่ายชนะ!”
เถิงเอ๋อครุ่นคิดแล้วอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าคำสั่ง ‘หุ่นไม้’ คำนั้น น่าสนใจดี
“งั้นก็แสดงว่าใครที่วิ่งไวกว่าคนนั้นก็ชนะงั้นสิ?” เขาถาม
อาซือตอบกลับ “ไม่ใช่แน่นอน!”
อาจื้อรับหน้าที่อธิบายกฎกติกาตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อให้เถิงเอ๋อเข้าใจมากที่สุด “เพราะทุกคนจะต้องวิ่งเปลี่ยนทิศทาง คนที่วิ่งได้เร็วที่สุดย่อมเคลื่อนไหวมากที่สุด ถ้าคนสั่งนับหนึ่ง สอง สามช้า ๆ แล้วจู่ ๆ ก็ตะโกนหุ่นไม้ฉับพลัน…”
ในหัวสมองของเถิงเอ๋อได้ผุดภาพหนึ่งขึ้นมา จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
จู่ ๆ ก็ได้รับคำสั่งให้หยุดกะทันหัน อย่าว่าแต่สมองจะตอบสนองได้ทันหรือไม่เลย ร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ก็คงจะไม่มีทางหยุดกะทันหันได้เช่นกัน
ถ้าหยุดในท่าวิ่งพอดี เกรงว่าการทำท่า ‘หุ่นไม้’ ก็คงจะออกมาได้ไม่ดีนัก
เดิมทีเขาคิดว่าตัวเองนั้นวิ่งไม่เร็ว แต่ครั้นคิดได้เช่นนี้ การเป็นคนที่ออกคำสั่งผู้นั้น ก็น่าสนใจไม่น้อย
“พี่อาจื้อ พรุ่งนี้เราเล่นกันเถอะ?” เถิงเอ๋อมองไปทางอาจื้อ ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายออกมาจนหมดหนทางจะปฏิเสธ
อาจื้อเล่นการละเล่นหุ่นไม้มานานมากแล้ว แต่ครั้นคิดได้ว่าเถิงเอ๋อยังไม่เคยเล่น ซึ่งยากมากที่เขาจะสนใจขนาดนี้ จึงได้ตอบตกลงไป
“พรุ่งนี้เจ้าก็มากินข้าวเช้าที่นี่เลยสิ! ถึงตอนนั้นข้าจะไปตามญาติผู้พี่ เราจะเล่นกันในซอยนอกลานบ้าน…”
ในขณะที่พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันนั้น ไม่นานก็มาถึงกำแพงล้อมที่มีเถาวัลย์เลื้อยพันอย่างที่พูดไว้ก่อนหน้านั้น
เถาวัลย์เหล่านี้สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปในหมู่บ้าน แต่ในเมืองจะเจออยู่แค่ข้างกำแพงเท่านั้น
กำแพงล้อมแห่งนี้เป็นกำแพงอิฐกองหนึ่ง เพราะใต้กำแพงเป็นดินที่ค่อนข้างร่วน จึงทำให้เกิดพุ่มไม้ขึ้นจำนวนมาก บนกำแพงก็ยังเต็มไปด้วยเถาวัลย์กลุ่มหนึ่ง
หลายวันมานี้เกิดฝนตกระลอกหนึ่ง ทำให้พืชพรรณเจริญงอกงาม แม้แต่ไม้เลื้อยบนกำแพงก็ยังเขียวชอุ่ม ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากทีเดียว
อาจื้อและอาซือพากันเดินขึ้นมาข้างหน้า พร้อมกับพูดคุยกันเจื้อยแจ้ว
“ท่านพี่ ท่านเคยเห็นหรือไม่เถาวัลย์เส้นนี้มีทั้งส่วนที่หยาบ และทั้งส่วนที่เรียบ…แต่ภาพที่ท่านวาดออกมามีแต่ความหยาบ ดังนั้นภาพจึงออกมาไม่เสมือนจริง”
“การใช้ถ่านไม้มันยากมากเลยนะ ถ้าข้าไม่ออกแรงในการวาดเท่ากัน เถาวัลย์ที่วาดออกมาก็คงจะหยาบกว่าแขนของเจ้า”
“ไอหยา! ท่านพี่ฟังข้าก่อน วาดแบบนี้…”
สิ่งที่ได้ยินข้างหูนั้นคือเสียงที่ดูเหมือนจะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของอาจื้อและอาซือ เถิงเอ๋อสังเกตเห็นว่าพืชพรรณสีเขียวชอุ่มที่เลื้อยพันอยู่บนกำแพงอย่างมีชีวิตชีวานั้น บางกิ่งก้านสาขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งบารมีของกำแพงเสียด้วยซ้ำ มันหยั่งรากลงไปในดินเอง และเติบโตกลายเป็นพุ่มไม้
เถิงเอ๋อตื่นเต้นในใจพร้อมกับครุ่นคิดเงียบ ๆ ‘ท่านแม่ตั้งชื่อข้าว่าเถิงเอ๋อ หวังจะให้ข้าเป็นเฉกเช่นเดียวกับเถาวัลย์ชนิดนี้ ปล่อยให้เติบโตอย่างอิสระและตามใจตัวเอง’
แต่สาเหตุหลักที่จะทำให้เถาวัลย์เจริญงอกงามได้นั้นคือมันได้เจริญเติบโตในพื้นที่กว้างโล่ง ต้องลมผ่านฝน กิ่งก้านสาขาเหล่านั้นถึงจะแข็งแรง
เขาเคยเห็นดอกกล้วยไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างดีในบ้าน มันทั้งงดงามและเปราะบางจำเป็นต้องปกป้องฟูมฟักและเลี้ยงดูอย่างดีถึงจะเบ่งบาน
เขาจะต้องเติบโตเป็นเถาวัลย์ ไม่ใช่ดอกกล้วยไม้
หลังจากที่เด็กทั้งสามคนสังเกตลักษณะของเถาวัลย์เรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาดูว่าจะใช้ถ่านไม้วาดลงบนกระดาษได้อย่างไร ทุกคนต่างมีภาพเค้าโครงคร่าว ๆ อยู่ในใจแล้ว
อาจื้อเคยชินกับการใช้พู่กัน ซึ่งความจริงแล้วเขาควบคุมแรงของการใช้ถ่านไม้ไม่ค่อยดีเท่าไร บางครั้งถึงขั้นกังวลว่าจะต้องใช้ปลายที่แข็งทื่อของถ่านไม้นั้นวาดเถาวัลย์ออกมาให้ดูอ่อนได้อย่างไร ส่วนอาซือนั้นระยะเวลาในการใช้พู่กันถือว่าไม่นานนัก ครั้งแรกที่แตะถ่านไม้กลับรู้สึกถนัดมือมากกว่า
วันนี้เถิงเอ๋อได้ลองใช้ถ่านไม้ตามเหยาซู ก็รู้สึกว่ายากเช่นกัน
เขาพูดอย่างจริงจังว่า “วันนี้กลับบ้านไปข้าจะให้ท่านแม่เตรียมถ่านไม้บางส่วนไว้ เราคงวาดให้สวยในวันสองวันไม่ได้หรอก ต้องฝึกฝนทุกวัน ถึงจะวาดออกมาได้สวยงาม”
อาซือพยักหน้าและตอบรับ “ท่านแม่ยังบอกอีกว่าถ่านไม้ยังใช้วาดคน เขียนหนังสือและอีกหลากหลายสารพัดประโยชน์! ถ้าเราฝึกฝนจนชำนาญแล้วจะต้องเป็นจิตรกรที่ยอดเยี่ยมได้แน่ แล้วต่อไปก็วาดภาพหารายได้!”
ครั้นอาจื้อได้ยินก็หัวเราะเยาะยกใหญ่ แต่เถิงเอ๋อกลับคิดว่าที่อาซือพูดก็มีเหตุผล
เขาหันไปพูดกับอาซือว่า “อาซือน้องมีความคิดที่ดี ข้าจะฝึกฝนเป็นเพื่อนเจ้าเอง!”
เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้า “ข้ายังมีเก้าห่วงปริศนาอีกหลายอัน สนุกอย่างบอกใครเชียวละ! ถ้าพี่เถิงเอ๋อสนใจ เราจะไปเล่นแก้ปมด้วยกัน”
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เห็นเด็ก ๆ เล่นกันดูแลกันแล้วก็วางใจเถิงเอ๋อ น้องมีเพื่อนแล้ว
น้องคงสะเทือนใจและผูกพันกับสาวใช้คนนั้นมากสินะ เลยไม่กล้าออกไปเล่นกับใครเพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน
ไหหม่า(海馬)