ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 2 หลินต้าหลางพบจุดจบในสนามรบ
บทที่ 2 หลินต้าหลางพบจุดจบในสนามรบ
เหยาซูกำลังยกมือขึ้นลูบหัวลูกชายคนโตของตน แต่นางกลับเอื้อมไปได้แค่ครึ่งเดียว
ทันใดนั้นท้องของหลินจื้อก็ส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้ง
ในตอนนี้แก้มเล็ก ๆ ของหลินจื้อขึ้นสีแดงจาง ๆ มือและเท้าไขว้ไปมาราวกับทำอะไรไม่ถูก “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้า…”
เหยาซูรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นางตบไหล่เล็ก ๆ ของเด็กน้อยเบา ๆ พลางเอ่ยหยอกล้อ “เสียงท้องของเจ้าดังราวกับกลเมืองร้าง*แบบนี้ ยังจะบอกไม่หิวอีกหรือ?”
*空城计 มาจากเรื่องสามก๊ก ตอนขงเบ้งใช้กลยุทธ์เปิดประตูเมืองโล่ง 4 ทิศโดยที่ตัวเองขึ้นไปนั่งเล่นฉินบนกำแพงเมือง หลอกทหารสุมาอี้ให้ตายใจว่าเมืองนี้ไร้การป้องกัน ทำให้ศัตรูล่าถอยไปเอง
นางพูดขึ้นพลางหยิบโวโวโถวแข็งโป๊กหักเป็น 2 ส่วน และเก็บเอาส่วนที่เล็กกว่าไว้กับตัวเอง
หลินจื้อกลืนน้ำลายด้วยสีหน้าลังเล
เขาเอื้อมมือไปรับมาและถามอย่างรู้ความ “ท่านแม่ หากท่านไม่กิน แล้วน้องของข้าจะกินได้อย่างไร?”
เหยาซูนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงหลินจื้อพูดอย่างขลาดเขลาต่อว่า “อาสะใภ้ให้กำเนิดน้องชายคนรองยังไปขโมยไข่ไก่ในครัวเลย ข้าแอบได้ยินนางบอกว่า หากนางได้กินลูกของนางก็จะได้กินเช่นกัน อาจื้อไร้ประโยชน์ หาได้แค่โวโวโถวมาให้ท่านแม่ ดังนั้นท่านแม่ได้โปรดกินมันเถิด น้องของข้าจะได้กินด้วย”
เหยาซูนิ่งอึ้ง เมื่อถูกเด็กน้อยกล่าวเตือนจึงนึกขึ้นได้ว่าตนยังต้องแบกรับภาระเรื่องการป้อนนมลูกอยู่
นางก้มศีรษะลงมองร่างกายอันผ่ายผอมร่างนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน… รูปร่างที่ผอมแห้งของนางนี้ไม่เหมือนจะมีน้ำนมให้ลูกน้อยสักเท่าไรเลย
นางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “แม่จะคิดหาวิธีให้น้องชายได้กินเอง ไม่ปล่อยให้เขาทนหิวหรอก เด็กดี เจ้ารีบกินเถอะ”
หลินจื้อยังคงเล็ก เมื่อได้ยินแม่เอ่ยอย่างอ่อนโยนเช่นนี้เขาก็เชื่อฟังอย่างไม่ขัดขืน เมื่อรับโวโวโถวมาส่วนหนึ่ง เขาก็ยังคงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนอีกครั้ง แล้วพึมพำว่า “น้องสาวข้าก็ยังไม่ได้กินเลย”
พอพูดจบ เขาก็ซ่อนโวโวโถวไว้ในกระเป๋าก่อนจะกินส่วนที่เหลืออย่างหิวโหย
เมื่อเหยาซูได้ยินว่าเด็กน้อยคิดถึงน้องสาวของเขา จู่ ๆ นางก็รู้สึกปวดใจเมื่อเห็นท่าทางตะกละตะกลามราวกับอดอยากของลูกน้อย
นางกำลังจะบอกให้เขาค่อย ๆ กิน แต่แล้วก็มีเสียงแหลมดังมาจากนอกประตู “พี่สะใภ้! ตะวันจะตกดินอยู่แล้ว ท่านพ่อกับเอ้อร์หลางกำลังจะกลับมาจากทุ่งนา เหตุใดยังไม่ไปทำอาหารอีก?!”
เหยาซูขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ นางยังไม่ทันได้ขยับตัวก็เห็นหลินจื้อเงยหน้าขึ้น แล้วพูดออกไปว่า “อาสะใภ้มาหาเรื่องอีกแล้ว ท่านแม่นอนลงเถอะ ข้าจะไปไล่นางเอง”
เขากินโวโวโถวคำสุดท้ายอย่างเร่งรีบแล้ววิ่งออกไปด้านนอก
ไม่นานก็ได้ยินเสียงหลินจื้อพูดปกป้องมารดาของตน “ท่านอาสะใภ้ ท่านแม่ของข้าเพิ่งจะคลอดน้องชาย ร่างกายท่านแม่ยังไม่ดีขึ้นเลยไปทำกับข้าวไม่ได้ขอรับ”
แม่โจวผู้เป็นสะใภ้รองมักจะใจร้ายกับพี่สะใภ้ใหญ่เสมอ นางชอบตามติดแม่สามีเพื่อมากดขี่ข่มเหงสะใภ้ใหญ่เป็นที่สุด
นางกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “ฮึ่ม เจ้าคิดว่าแม่เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางหรือ? คลอดลูกแล้วอย่างไร คนอื่นเขาก็ยังไปทำงานได้ในวันรุ่งขึ้น แค่นี้ก็สำออยลุกขึ้นไปทำอาหารไม่ได้? มัวแต่ห่วงสวยอยู่หรือกระไร!”
“ท่านแม่ของข้าไม่ได้เสแสร้ง ตอนที่อาสะใภ้ให้กำเนิดน้องชายก็นอนอยู่บนเตียงอยู่เกือบครึ่งค่อนเดือน ไม่ใช่ว่าไม่ได้ออกไปทำงานเช่นกันหรือขอรับ?”
แม่โจวเห็นว่าหลินจื้ออายุยังน้อยแต่กล้าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับนางเช่นนี้ จึงมีสีหน้าโกรธจัดด้วยความอับอาย ตะเบ็งพูดเสียงดังมากยิ่งขึ้น “ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ามีปัญญามาสั่งสอนข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
จากนั้นก็มีคำสบถที่ชั่วร้ายตามมาเรื่อย ๆ เป็นต้นว่า ‘ตัวซวย’ ‘หยาบช้า’ ‘ลูกไม่มีพ่อ’ …
คำด่าทอเหล่านั้นทำให้เหยาซูที่อยู่ในห้องฟังแล้วต้องขมวดคิ้วแน่น ในใจเกิดโทสะขึ้นมา นางฝืนทนต่อความเจ็บปวดเอาไว้ขณะก้าวลงจากเตียงเตา
ต่อให้บุตรชายของนางไม่มีพ่อก็มิอาจปล่อยให้ถูกด่าทอเช่นนี้ได้!
ที่ด้านนอกประตู
หลินจื้อถูกอาสะใภ้ด่าทอและพูดจาดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับไม่เคยตอบโต้จนกระทั่งนางเริ่มด่าเหยาซู
แม่โจวใช้มือเท้าสะเอว อีกมือหนึ่งจับมวยผมยกขึ้นเตรียมมัดให้เรียบร้อย “อีกอย่าง ดูแม่เจ้าสิ! มีใบหน้าเป็นอาถรรพ์ เป็นตัวซวย บุคลิกท่าทางรึก็เหมือนนังจิ้งจอก แต่งเข้าบ้านใครบ้านนั้นก็ต้องเกิดเรื่องฉิบหายวายวอด!”
เรื่องนี้ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด เมื่อก่อนเหยาซูเป็นคนอารมณ์ร้อน หยิ่งยโส ทว่ารูปลักษณ์ของนางนั้นดูดีมาก ดวงตาหรือก็เป็นประกายสุกใสราวกับดวงดาวแสนเย้ายวนใจ
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินจื้อก็กระโจนเข้าไปหาหมายจะทำร้ายนาง “อย่าต่อว่าท่านแม่ข้าเช่นนั้น!”
“แล้วจะทำไม เหตุใดข้าถึงจะพูดไม่ได้? เจ้าลองไปถามคนอื่น ๆ ดูสิ ใคร ๆ ต่างก็พากันบอกว่านางเป็นตัวซวย หากไม่ใช่เพราะนาง พ่อของเจ้าจะถูกเรียกตัวไปเป็นทหารหรือ? อีกทั้งยังต้องตายในสนามรบอีก!”
เวลานั้นเหยาซูถูกนายอำเภอหมายตาด้วยความเสน่หา แต่หลินต้าหลาง สามีของนางยอมตายเสียดีกว่าที่จะต้องหย่ากับภรรยา สุดท้ายก็ถูกเรียกไปประจำการ
ขณะนั้นบังเอิญเกิดสงครามขึ้น ส่งผลให้เขาต้องตายภายในสนามรบ
แล้วแบบนี้จะไม่ให้เรียกเหยาซูว่าตัวซวยได้อย่างไร?
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ความสวยเป็นภัยจริง ๆ แต่ขอโทษนะ เหยาซูคนนี้ไม่ใช่เหยื่อของแกอีกต่อไป
ไหหม่า(海馬)