ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 204 แค่เป็นห่วงร่างกายของเจ้า
บทที่ 204 แค่เป็นห่วงร่างกายของเจ้า
เกวียนวัวเดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลหลินอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่ได้จอดในหมู่บ้าน กลับมุ่งตรงไปยังภูเขาด้านหลังแทน
คนหมู่บ้านตระกูลหลินโดยส่วนใหญ่จะใช้แซ่หลิน แม้จะบอกว่ามีสายสัมพันธ์เป็นแค่ญาติห่าง ๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นวงศ์ตระกูลที่ใหญ่มากนัก ต่างแยกกันไปมีสุสานกราบไหว้บรรพบุรุษของตนเอง
ครอบครัวชาวนามักจะมีสุสานอยู่บนภูเขา หลินเหราจึงบังคับเกวียนวัวไปอย่างชำนาญทาง ขึ้นเนินที่ไม่ชันมากนัก
เพราะวันที่พวกเขาออกเดินทางไม่ได้ตรงกับเทศกาลชิงหมิง การกราบไหว้บรรพบุรุษในหมู่บ้านจึงยังไม่เริ่มต้นเป็นวงกว้างนัก ระหว่างทางยังมีชาวนาปรับหน้าดินก่อนหว่านเมล็ดในฤดูใบไม้ผลิเป็นจำนวนมาก
สายลมวสันต์พัดผ่านต้นกล้าสาลีเขียวอชุ่มจนโบกพลิ้วไสว หากจ้องมองดี ๆ จะเห็นว่ามีหลายต้นแตกรวงแล้ว
อาจื้อและอาซือกำลังพูดถึงต้นข้าวสาลีกลุ่มนี้ดีกว่ากลุ่มนั้นอย่างกระตือรือร้น ในคันนาผืนนี้ได้มีการทดน้ำไว้ไม่มากนัก…
แม้ว่าเหยาซูจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมาเนิ่นนาน กลับไม่ค่อยคุ้นชินกับพืชไร่เหล่านี้เลย ได้แต่ฟังเด็กทั้งสองคนประเมินที่แห่งนี้ด้วยรอยยิ้ม พลางพยักหน้าเออออไปกับพวกเขา
หลินเหรายังนั่งอยู่หน้าเกวียน หันกลับมามองนางเป็นครั้งคราว บางครั้งก็เอ่ยถามว่า “แดดส่องหรือไม่? กระหายไหม?”
วันนี้นางแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวที่บางสบาย หลีกเลี่ยงสีสันฉูดฉาด หากแต่ดูมีเสน่ห์และเรียบง่าย
แต่ในตอนที่ออกเดินทาง หลินเหราได้หยิบหมวกฟางที่ไม่รู้ไปหามาจากที่ใดใบหนึ่งออกมา ทั้งยังบังคับให้นางใส่ไว้บนศีรษะด้วย
เขาเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปดวงตาของเหยาซูอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะพูดว่า “พี่สะใภ้รองบอกว่าเจ้าไม่ชอบตากแดด”
เหยาซูจึงหมดหนทางปฏิเสธทันใด
ตอนนี้ได้แต่นั่งอยู่บนเกวียนวัวอย่างเงียบ ๆ เขาก็ยังเป็นห่วงเป็นใยไม่หยุดหย่อน จนเหยาซูอดขบขันไม่ได้ “ทำไมท่านไม่ถามลูก ๆ บ้างเล่าว่ากระหายไหม แดดส่องบ้างหรือไม่?”
ในที่สุดหลินเหราจึงชำเลืองตามองไปยังใบหน้าของอาจื้อและอาซือ หยุดชะงักที่ซานเป่าครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว “เจ้าเห็นพวกเขาเหมือนกระหายไหมเล่า?”
น้อยนักที่พวกเด็ก ๆ จะได้มีโอกาสนั่งเกวียนออกจากบ้านเช่นนี้ จึงตื่นเต้นเป็นชั่วครั้งชั่วคราว พูดคุยกันเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน แม้แต่ซานเป่าเองก็ยังส่งเสียงอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ร่วมวงสนทนาด้วยความกระปรี้กระเปร่า
หลินเหราจึงได้พูดขึ้นอีกครั้ง “ผ่านเนินตรงหน้าไปก็ถึงแล้ว”
เหยาซูยืดตัวขึ้น จัดการตระเตรียมธูปหอม กระดาษเงินที่จำเป็นต้องใช้ ไม่นานเกวียนวัวก็หยุดลงในที่สุด
หญิงสาวอุ้มซานเป่าลงจากเกวียน ส่วนเด็กทั้งสองก็พากันกระโดดลงมา
เหยาซูเติบโตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เด็ก จึงไม่เคยมีโอกาสกราบไหว้บรรพบุรุษเลยสักครั้ง
ด้วยคำชี้แนะจากฮูหยินเจี่ยง นางจึงได้ตระเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการกราบไหว้บรรพบุรุษได้อย่างครบถ้วน
เพียงแต่เมื่อถึงที่แห่งนี้ เหยาซูก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
สุดลูกหูลูกตาไปจนถึงเนินเขาล้วนเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มไปทุกหนแห่ง ตระกูลหลินจะต้องกราบไหว้บรรพบุรุษท่ามกลางความเขียวชอุ่มแห่งนี้
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหยาซูก็คือ เท่าที่มองจากที่ไกล ๆ หลุมศพทุกที่ล้วนเป็นเพียงแค่เนินดินขนาดเล็ก กระจัดกระจายอยู่ตามหน้าดิน ดูแล้วไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเอาเสียเลย
หลุมแต่ละแห่งนั้น แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มี
หลินเหราหยิบกระดาษเงิน อุปกรณ์การเซ่นไหว้จากบนเกวียน พาภรรยาและลูกเดินไปอย่างชำนิชำนาญทางมาถึงหน้าเนินดินที่ดูแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
เขาวางสิ่งของที่อยู่ในมือลงและพูดกับเหยาซูว่า “ท่านปู่และท่านย่าถูกฝังอยู่ที่แห่งนี้”
สองสามีภรรยาคู่หนึ่งได้ถูกฝังอยู่ใต้ดินในหลุมศพแห่งหนึ่ง ถูกห้อมล้อมไปด้วยลูกหลานของพวกเขา
เท่าที่เห็นในตอนนี้พื้นที่ที่ใช้สำหรับฝังศพของผู้เป็นปู่และย่าของหลินเหรานั้นเต็มไปด้วยหญ้าที่เจริญงอกงามจนเขียวชอุ่ม
เหยาซูตื่นตกใจกับการฝังศพคนตายอย่างลวก ๆ ของชาวนา แต่กลับเห็นท่าทางที่เคยชินจนกลายเป็นเรื่องปกติของหลินเหรา จึงพยักหน้าโดยไม่พูดสิ่งใดมากนัก
หลินเหราดึงหญ้าที่ขึ้นตรงหน้าหลุมศพออกจนสะอาด จากนั้นก็โน้มตัวลงหยิบสิ่งของเซ่นไหว้ที่เหยาซูนำมาวางเรียงรายอยู่หน้าหลุมศพ
ใบหน้าของเขายังคงแสดงสีหน้านิ่งเฉยไม่แตกต่างจากวันปกติ คือความเงียบสงบโดยธรรมชาติและผ่อนคลายที่สุด
“ท่านปู่ ท่านย่า เรามาแล้วขอรับ”
ดวงตาคู่นั้นของเขาได้จับจ้องไปยังหลุมศพ กระทั่งพูดด้วยเสียงเบาว่า “ตั้งแต่ที่หลานกลับมาก็ยังไม่เคยมาเยี่ยมเยือนพวกท่านสักครั้ง วันนี้เป็นวันชิงหมิงจึงถือโอกาสพาซานเป่ามาด้วย มาให้พวกท่านเชยชมขอรับ”
เหยาซูอุ้มซานเป่าเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าวและเลียนแบบท่าทางของหลินเหรา ก่อนจะพูดด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ท่านปู่ ท่านย่า นี่คือลูกคนที่สามของเรา มีนามว่าหลินเซินเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาของเด็กทารกตัวน้อยเต็มไปด้วยสายตางุนงง ไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่มองเขาด้วยเหตุใด
สำหรับเขาแล้ว เนินดินที่ไม่ได้ดูแปลกตาแห่งนี้ไม่ได้งดงามเท่าทิวทัศน์ที่มีชีวิตชีวารอบตัวเลยแม้แต่น้อย จึงได้เมินหน้าออกไปอีกครั้ง
จากนั้นหลินเหราก็จุดธูป แบ่งให้เหยาซูและพวกเด็ก ๆ
อาจื้อและอาซือรับธูปไปถือไว้ในมือ จากนั้นก็คุกเข่าลงหน้าหลุมศพตามหลินเหรา แล้วโขกคำนับศีรษะกับพื้นให้แก่ผู้ล่วงลับ ส่วนปากก็พึมพำขอพรจากบรรพบุรุษอยู่เงียบ ๆ
เหยาซูอุ้มซานเป่าและเคลื่อนไหวตามหลินเหรา จากนั้นก็พึมพำคำพูดตามที่นางคิด ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการนี้
“ท่านปู่กับท่านย่า….ขอให้พวกท่านช่วยกันปกปักรักษาอาเหราและเด็ก ๆ ให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง”
หลินเหราวางเตาอั้งโล่ไว้ด้านข้าง แล้วใช้ธูปที่กำลังเผาไหม้จุดกระดาษทอง เริ่มใส่กระดาษทองลงในเตาอั้งโล่นั้นช้า ๆ
สายลมอ่อน ๆ ได้โชยพัดผ่านต้นหญ้าบนเนินเขาจนพลิ้วไสว ส่งผลให้เกิดเสียงกรอบแกรบจากการเผาไหม้ เปลวไฟสีแดงถูกพัดโชยออกมาข้างเตา แล้วกระจายตัวเป็นเถ้าถ่านสีดำก่อนจะค่อย ๆ หายไป
บรรยากาศที่อึมครึมนี้ได้ปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดที่พาให้รู้สึกสะเทือนใจบางอย่าง ในการตระหนักรับรู้เดิมของเหยาซู คนตายก็เสมือนไฟที่มอดดับ ไม่เหลือสิ่งใดอีก
แต่จากประสบการณ์ที่ข้ามห้วงเวลามาได้อย่างน่าประหลาดนี้ ทั้งยังเกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว…นางจึงอดคิดไม่ได้ว่ามนุษย์เราจะมีดวงวิญญาณอยู่จริงหรือไม่ การกราบไหว้บรรพบุรุษที่สืบทอดมานานนับพันปีนี้ มันมีความหมายเดิมในตัวมันเองจริงหรือ
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดสับสนนี้ ก็เห็เสี้ยวหน้าด้านข้างที่ดูอ่อนเยาว์ของอาจื้อและอาซือ เหยาซูจึงเกิดความคิดในใจ
หากวันข้างหน้าตนและหลินเหราแก่ชราลง ท้ายที่สุดก็คงถูกฝังอยู่ในหุบเขาเหมือนกับบรรพบุรุษตระกูลหลิน พวกเด็ก ๆ ก็คงจะรำลึกถึงพวกเขาเฉกเช่นเดิมทุกปีกระมัง
เมื่อพิธีการเสร็จสิ้น อาซือก็เงยหน้าถามเหยาซู “ท่านแม่ ท่านปู่ทวดและท่านย่าทวดจะได้รับกระดาษเงินที่เราเผาให้จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”
เหยาซูมองไปยังเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่จากการเผ่ากระดาษเงินกระดาษทองในเตาอั้งโล่ และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ขอแค่เอ้อเป่าจริงใจ ท่านปู่ทวดและท่านย่าทวดจะได้รับแน่นอน”
ระยะเวลากราบไหว้ไม่นานนัก ก่อนออกเดินทางหลินเหราได้ล้วงหยิบสุราขวดเล็กขวดหนึ่งออกมาจากอ้อมอก จากนั้นก็ราดหน้าหลุมศพ
อาซูมองอย่างนิ่งงัน พลันได้ยินเขาพูดว่า “ตอนที่ท่านปู่มีชีวิตอยู่มักชอบดื่มสุรา แต่เพราะร่างกายไม่แข็งแรง จึงดื่มเยอะไม่ได้ วันนี้ข้านำมาให้เขาเล็กน้อย ให้เขาได้คลายความกระหายบ้าง”
เหยาซูยิ้ม โดยไม่เอ่ยสิ่งใด
ระหว่างทางกลับเด็ก ๆ ได้กลับมาตื่นเต้นร่าเริงเป็นปกติอีกครั้ง แต่เหยาซูกลับมีเรื่องในใจ ทว่าก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร
อาจื้อสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นมารดา จึงเอ่ยถามนางว่า “ท่านแม่ ท่านไม่สบายหรือขอรับ?”
หลินเหราที่บังคับเกวียนอยู่ด้านหน้าได้ยินประโยคนี้ จึงหันกลับมองเหยาซูแวบหนึ่งทันที ก่อนจะพูดกับเด็กผู้ชายว่า “อาจื้อ เอาหมวกฟางให้ท่านแม่”
เหยาซูเห็นเขาจับจ้องมาที่ตัวเองตลอดจึงรีบพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร ท่านบังคับเกวียนไปเถิด”
แสดงอาทิตย์ค่อย ๆ สว่างเจิดจ้าขึ้น ช่างร้อนแรงยิ่งนัก
หลังจากเลี้ยวผ่านหัวมุมหนึ่งแล้ว หลินเหราจึงถามนางว่าต้องการพักใต้ร่มไม้หรือไม่
เหยาซูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกว่าหลินเหรากำลังปฏิบัติราวกับตนเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอย่างไรอย่างนั้น ช่างเกินไปจริง ๆ
แต่ครั้นเห็นเขาหันกลับมามองอยู่บ่อยครั้งด้วยท่าทางที่ไม่วางใจอย่างเห็นได้ชัด นางจึงได้แค่เอ่ยว่า “งั้นก็พักสักหน่อยเถอะ ท่านคงจะกระหายน้ำแล้ว”
เกวียนวัวจึงได้หยุดพักอยู่ใต้ต้นพุทราที่สูงใหญ่ต้นหนึ่ง กิ่งก้านและใบแตกหน่อออกมาจากลำต้นกันอย่างแน่นขนัด จึงพอจะบดบังแสงแดดฤดูใบไม้ผลิที่เริ่มร้อนระอุนั้นได้
เหยาซูหยิบไหที่เติมน้ำจนเต็มจากบนเกวียน รินน้ำออกมาแบ่งให้เด็ก ๆ ได้ดื่มกัน
จากนั้นนางก็รินอีกถ้วย ยื่นให้หลินเหราพร้อมกับเอ่ยถามว่า “เหนื่อยหรือไม่?”
ชายหนุ่มถูกแดดสาดส่องอยู่หน้ารถไปตลอดทาง หน้าผากกลับไม่มีแม้แต่เหงื่อสักเม็ด กลับดูสดชื่นเสียด้วยซ้ำ
เขามองไปทางเหยาซูแวบหนึ่ง “เจ้าดื่มก่อนเถอะ”
เหยาซูเองก็จนปัญญาจริง ๆ ครั้นเห็นเขายืนยัน จึงทำได้แค่ดื่มหนึ่งอึกแล้วยื่นให้หลินเหรา
ความจริงแล้วหลินเหราเองกระหายไม่น้อย เงยหน้ากระดกดื่มน้ำในถ้วยจนหมดเกลี้ยงทำให้รู้สึกชุ่มคอไม่น้อย
เหยาซูพูดอย่างขุ่นเคือง “รู้สึกกระหายทำไมไม่บอกเล่า ต้องรอให้ผู้อื่นถามก่อนถึงจะกระหายหรืออย่างไร? หากไม่ใช่เพราะข้าให้ท่านดื่ม คงจะกระหายไปตลอดทางเป็นแน่”
ชายหนุ่มเคยชินกับการอดทน ไม่ได้รู้สึกว่ามันหนักหนาอะไร
ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วง คือเรื่องที่สำคัญนอกเหนือจากนี้
แต่ในตอนที่สายตาของหลินเหรามาตกที่เหยาซูอีกครั้ง นางทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงพูดขึ้นด้วยความสงสัย “หลินเหรา ท่านจ้องมองข้านับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เช้าแล้ว กลับมาจากเผากระดาษก็ยังมองข้าราวเจ็ดแปดครั้ง มีเรื่องอะไรจงว่ามาเถิด?”
เด็กทั้งสองคนนั้นหูไวจึงหยุดคุยกันนานแล้ว ตั้งใจยืนห่างจากพวกผู้ใหญ่ให้ใกล้ที่สุด เพื่อแอบฟังบทสนทนาของท่านพ่อและท่านแม่
หลินเหราสังเกตเห็นพวกเขาจึงส่งสายตาห้ามปรามแก่อาจื้อ แต่เขากลับแกล้งทำเป็นไม่เห็น จากนั้นก็เมินหน้าไปทางอื่น
ชายหนุ่มจนปัญญา ทำได้แค่ขยับเข้าไปใกล้เหยาซูและพูดกับนางเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไร แค่เป็นห่วงร่างกายของเจ้าเท่านั้น”
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ห่วงลูกหน่อยอาเหรา ห่วงแต่อาซูคนเดียวเลยนะ
ไหหม่า(海馬)