ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 205 ไม่มีใครอยู่เฝ้าเจ้าเลยหรือ
บทที่ 205 ไม่มีใครอยู่เฝ้าเจ้าเลยหรือ?
เหยาซูมองไปทางเขาด้วยความไม่เข้าใจแวบหนึ่ง “มีอะไรต้องเป็นห่วงเล่า? ช่วงนี้ข้าก็ดีขึ้นไม่ใช่หรือ?”
ครั้นเห็นหลินเหราไม่พูดสิ่งใดอีก เหยาซูจึงรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มีนิสัยใจร้อนแต่ท่านกลับทำให้ข้าทำตัวไม่ถูก! มีเรื่องอะไรกลุ้มใจมักไม่พูด กระหายก็ไม่บอก บาดเจ็บก็ไม่ร้อง ตอนนี้ถามอะไรท่านกลับรู้สึกเหมือนไร้ประโยชน์ คล้ายกับมีน้ำเต้าอุดปากให้พูดน้อยเสียอย่างนั้น! หากยังไม่พูดอีก ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว!”
หลินเหรามองเหยาซูด้วยความร้อนใจก่อนจะดึงมือของผู้เป็นภรรยาไว้ และพูดอธิบายรวบรัดตัดตอนยิ่งกว่าปกติ “ไม่ใช่ไม่อยากพูด ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าอาจจะต้องได้รับการดูแลมากขึ้น…”
เหยาซูตีมือของหลินเหราจนเกิดเสียงดัง ‘เพียะ’ แล้วหมุนตัวเตรียมจากไป
นิสัยของนางมักจะอ่อนโยนอยู่เสมอ ยามทะเลาะกับเขาก็ไม่เคยเผยสีหน้าที่เย็นชาเช่นนี้
แต่สองสามวันมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางมักจะอารมณ์ร้ายฉุนเฉียว
หลินเหรารีบดึงข้อมือของเหยาซู “ก็ได้ ข้าพูดแล้วก็ได้? อาซู ข้าแค่คิดว่า เจ้าอาจตั้งครรภ์…”
เหยาซูตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดตะกุกตะกักว่า “ตั้ง… ตั้งครรภ์หรือ?”
นางมองไปทางอาจื้อและอาซืออย่างรวดเร็ว กระทั่งเห็นเด็กทั้งสองคนไม่ได้ยินจึงได้วางใจ
“เราไม่ใช่ ท่าน….ที่ข้าบอกท่าน ท่านกินยานั้นทุกวันไม่ใช่หรือ?”
เหยาซูพยายามลดเสียงให้เบาลง และเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
หลินเหราส่งเสียงกระแอมหนึ่งครั้ง “หลัง ๆ มาก็กินยานั้น แต่เมื่อสองสามวันก่อน…เจ้ายังไม่ได้ไปเอายานั้นเลยมิใช่หรือ?”
เหยาซูคิดตาม มันก็ใช่
แม้ว่าจะมีอัตราความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่น่าจะบังเอิญเช่นนี้กระมัง?!
หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น “เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าตั้งครรภ์เล่า? ข้ายังไม่รู้สึกเลยนะ”
หลินเหรามองเหยาซูอย่างไม่ละสายตา นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววตาที่แทบจะดูไร้เดียงสา “ข้าแค่รู้สึกว่าสองสามวันมานี้เจ้าเอะอะก็โกรธฉุนเฉียว ซึ่งไม่ต่างจากตอนที่ตั้งครรภ์เมื่อครั้งก่อน”
เหยาซูเกิดความรู้สึกกระวนกระวายที่ไม่อาจจะพรรณนาออกมาได้ในใจ แต่ก็รู้ดีว่าเรื่องนี้คงโทษหลินเหราไม่ได้
นางครุ่นคิดอย่างละเอียดและเงียบสงบลงก่อนจะพูดว่า “สองสามวันนี้ข้าและพี่เจี่ยงมักจะอยู่ด้วยกันบ่อยครั้ง ที่อารมณ์ไม่ดีก็เพราะได้ฟังเรื่องที่นางเล่าให้ฟังก่อนหน้ามากเกินไปเลยโมโหก็เท่านั้น อย่านับสิ”
หลินเหราปรายตามอง “อื้อ….รอบเดือนของเจ้าก็ไม่มามากกว่าหนึ่งเดือน”
ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย…
แต่ต่อมาครั้นนึกถึงวันที่ร่วมห้องกับนาง จึงเริ่มนับระยะเวลารอบเดือนของเหยาซู
เหยาซูกุมขมับอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นการพูดเรื่องรอบเดือนสตรีกับเขาครั้งแรก จึงรู้สึกเก้อเขินในความเป็นสามีและภรรยา ก่อนจะพูดว่า “เรื่องนี้ใช่ว่าทุกคนจะแม่นยำ ใช่ว่าจะแม่นยำในทุกเดือน เหตุใดท่านถึงได้เชื่อคนง่ายได้ยินเสียงลมก็หาว่าฝนตกได้เล่า? นับวันยิ่งพูดก็ยิ่งถอยหลังลงคลองเรื่อย ๆ แล้วนะ?”
ระยะเวลาที่ทั้งสองคนได้อยู่ร่วมกันมันยาวนานมากขึ้น นับวันก็ยิ่งเข้าใจกันลึกซึ้งมากขึ้น เหยาซูพบว่านิสัยแท้จริงภายใต้ความเย็นชาที่แสดงออกมาภายนอกของหลินเหรานั้น ไม่ว่ากี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และมันค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน
ตอนนี้นางรู้สึกว่าความสุขุมเป็นครั้งคราวของเขามันช่างน่ารักยิ่งนัก
ครั้นเห็นเด็กสองคนกำลังกระซิบกระซาบโดยที่ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน ทั้งยังแอบมองทิศทางของผู้ใหญ่เป็นครั้งคราว เหยาซูจึงคิดจะจบหัวข้อสนทสนานี้ “เอาล่ะ ๆ จะตั้งครรภ์หรือไม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะคาดเดามั่วซั่วเช่นนี้ได้อย่างแม่นยำเสียหน่อย ไว้กลับไป ก็ค่อยให้หมอตรวจดูก็ได้มิใช่หรือ?”
หลินเหราพยักหน้า
เขาจ้องมองดวงตาที่เปล่งประกายของเหยาซูเบิกตากว้างคล้ายกับผลพลัม นางพลันเอ่ยเตือนเพิ่มเติม “บอกไว้ก่อน ท่านจะทำเหมือนวันนี้ไม่ได้อีกแล้ว! ทำเหมือนกับข้าเป็นคนป่วยเสียอย่างนั้น เดี๋ยวก็มอง เดี๋ยวก็ถามอยู่นั่น…”
ครั้งนี้หลินเหราได้เกิดความลังเลขึ้นมาชั่วครู่ แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าภายใต้สายตาที่ไร้ความหวาดกลัวใด ๆ ของภรรยา
ระหว่างทางกลับหลินเหราไม่ได้ทำอย่างนั้นอีกแล้วจริง ๆ แต่เปลี่ยนจากการมองด้วยความเป็นกังวลซึ่ง ๆ หน้าเป็นการชำเลืองมองเหยาซูยามที่นางไม่ได้สังเกตเห็นแทน
เหยาซูรู้สึกขบขันในใจ แต่กลับไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่ทำเป็นไม่รู้ก็เท่านั้น
ทั้งสองคนพาเด็ก ๆ ไปส่งที่บ้านตระกูลเหยาก่อน ไหว้วอนให้แม่เฒ่าเหยาดูแล
ก่อนออกเดินทาง หลินเหรายังคิดจะบังคับรถไป แต่กลับถูกเหยาซูห้ามไว้ “ไปธุระที่หมู่บ้านตระกูลหลินรอบเดียวเองมิใช่หรือ? ไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว นั่งรถเกวียนวัวไปคงไม่สะดวก”
หลินเหราจึงทำได้แค่ต้องปล่อยวาง
ทั้งสองคนจึงเดินเคียงคู่ข้างกันคล้ายกับเดินเล่น ไม่นานก็ถึงหมู่บ้านตระกูลหลิน
เดิมทีเหยาซูจำทางไม่ค่อยได้จึงเดินข้างกายหลินเหรา กระทั่งเห็นกำแพงที่ล่อนหลุดเป็นแผ่น ๆ ในลานบ้านของบ้านตระกูลหลินและประตูบ้านที่มีสีหลุดลอก ความทรงจำจึงค่อย ๆ กลับมา
ครั้นนางตระหนักได้ก็ขมวดคิ้วทันใด และเริ่มกำจัดความคิดเหล่านั้น
สองสามวันหลังจากมาเยือนโลกใบนี้ นางต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
ระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ออกจากบ้านตระกูลหลินไป หญิงสาวค่อย ๆ ลืมส่วนที่แปลกตาเมื่อครั้งข้ามมิติมาใหม่ ๆ ตอนที่ไร้ซึ่งการช่วยเหลือ ไม่ว่าตระกูลหลินจะเป็นอย่างไรนางก็ไม่เคยเข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติอันโหดร้ายที่มีต่อนางเลย
ตอนนั้น ความเจ็บปวดรวดร้าวของร่างกายที่เพิ่งคลอดลูกไม่เคยหยุดพักเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ซานเป่าเพิ่งลืมตาดูโลก ไม่มีแม้แต่น้ำนมให้กิน แม้แต่เสียงร้องไห้เพราะความหิวก็ยังเล็กแหลม อาจื้อและอาซือ เด็กทั้งสองคนที่นอกจากจะขดตัวเพราะความเหน็บหนาวแล้ว ร่างกายที่ใช้งานอย่างหนักเป็นเวลานานก็ยังไร้ความรู้สึกด้วย
ส่วน ‘ญาติ’ ที่เรียกกันเหล่านั้น ก็บีบให้พวกเขาแม่ลูกตกเข้าสู่สภาวะอับจนหนทาง
สำหรับเหยาซูแล้วการหลุดพ้นจากการกรงขังของตระกูลหลินได้ นับว่าเป็นความโชคดีแล้ว แต่เจ้าของร่างเดิมที่ถูกทรมานจนสิ้นใจ มีใครสงสารบ้างหรือไม่?
ในขณะที่ครุ่นคิดทั้งสองคนก็มาถึงประตูบ้านตระกูลหลินแล้ว
หลินเหราหันไปพูดบางอย่างกับเหยาซู กระทั่งเห็นความรู้สึกที่แสดงออกมาทางสีหน้าของผู้เป็นภรรยา จึงอดพูดด้วยความกังวลไม่ได้ “อาซู เจ้าเป็นอะไร?”
สีหน้าของนางซีดเผือด ไม่ได้มีสีแดงเลือดฝาดเหมือนกับตอนที่กลับจากหลังเขาเมื่อครู่ แม้แต่ริมฝีปากที่ดูสุขภาพดีก็ซีดเซียวทันใด
ส่วนมุมปากที่มักจะกระตุกขึ้นเล็กน้อยจนเป็นนิสัย ตอนนี้กลับเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดูราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจก็มิปาน
เขาหยุดก้าวเดิน ไม่ได้รุดขึ้นหน้าแต่มองนางไม่ละสายตา
สีหน้าของเหยาซูดูเย็นยะเยือกลง แม้ว่าจะเผชิญหน้าอยู่กับหลินเหราแต่ก็ไม่ได้ดูอ่อนโยนลงแต่อย่างใด “ก็แค่นึกถึงเรื่องที่ไม่ดีบางอย่างเท่านั้น จะมาถามข้อมูลจากพวกเขามิใช่หรือ? เข้าไปเถอะ”
หลินเหราขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธ กลับเห็นเหยาซูยกเท้าย่างก้าวเข้าไปในลานบ้านแล้ว เขาจึงทำได้แค่เดินตามเข้าไป
ลานบ้านของตระกูลหลินไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนก่อนที่พวกเขาออกไป รอบ ๆ ผนังภายในที่ผุพังทรุดโทรมมีพุ่มไม้ที่ไม่ได้จัดการตกแต่งในช่วงฤดูหนาวพุ่มหนึ่ง เดิมทีลานบ้านนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เพราะถูกวางด้วยสิ่งของมากมายหลากชนิดจึงถูกให้ดูแคบลงอย่างชัดเจน ทำให้เดินยากขึ้น
หลินเหรายืนอยู่ตรงกลางลานบ้าน และเอ่ยถามเสียงเคร่งขรึมว่า “มีใครอยู่บ้านไหม?”
เขาถามราวสองครั้งจึงได้ยินเสียงลั่นเอี๊ยดของประตูที่ถูกเปิดออก เสียแหบแห้งของใครคนหนึ่งดังออกมาจากหลังประตู “ใครกัน? ไม่มีคนอยู่บ้านหรอก!”
เหยาซูขมวดคิ้ว เพราะจำไม่ได้ว่าคนที่พูดนั้นคือใครไปชั่วขณะ
หลินเหรารู้สึกประหลาดใจ จึงตะโกนออกไป “น้องสะใภ้?”
แม่โจวในความทรงจำของเหยาซูทั้งสูงทั้งแข็งแรง ใบหน้าดูโหดร้าย ภายใต้คำสั่งของแม่สามีนางล้วนแต่ต้องทำงานโดยไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่แวบเดียว แต่หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเกือบหนึ่งปีเต็ม นางกลับจำไม่อีกฝ่ายไม่ได้
แม่โจวแต่งกายด้วยเสื้อนวมที่บุด้วยผ้าฝ้ายหลวมโพรก บางทีอาจเพราะใส่มานานแล้ว ใยฝ้ายที่ยัดอยู่ภายในจึงเผยออกมา เพราะช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศค่อนข้างอบอุ่นจึงไม่ได้สนใจ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านางไม่มีเนื้อส่วนเกินเลย มีแค่ท้องที่นูนป่องออกมา ครั้นเห็นก็รู้สึกหวาดหวั่นอย่างมาก
อีกฝ่ายดูเหมือนจะเดินเหินไม่ค่อยสะดวก แต่ในบ้านกลับไม่มีใครสักคน
หากคลอดลูกขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าแม้แต่แหกปากร้องจนสุดชีวิตก็ล้วนไม่มีใครสนใจนาง
เหยาซูอดเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าวไม่ได้ ก่อนจะขมวดคิ้วและถามว่า “กี่เดือนแล้วหรือ? เหตุใดท้องถึงได้ใหญ่ขนาดนี้? ในบ้านไม่มีคนอยู่เฝ้าเจ้าเลยหรือ?”
ใบหน้าของแม่โจวแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึก ทั้งยังจับจ้องมายังเหยาซูอยู่นานถึงจะจำนางได้ “พี่สะใภ้ใหญ่?”
เหยาซูเมื่อครั้งอดีตถูกแม่สามีกดขี่ใช้ทำงานบ้านงก ๆ จึงดูผอมลงและอ่อนแอลงทุกปี ส่วนแม่โจวก็แข็งแรงและแสบสุดขั้ว มักจะพาเพื่อนของตัวเองมารังแกพี่สะใภ้ใหญ่อยู่เสมอ
ตอนนี้ทั้งสองคนกลับเหมือนสลับชะตากรรม ท่าทางของเหยาซูในตอนนี้ ทำให้แม่โจวถึงกับจำไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?
หลินเหราเองก็ขมวดคิ้ว “น้องสะใภ้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”
………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีที่อาซูหลุดพ้นนรกบ้านหลินแล้ว สภาพบ้านนี้เวลาผ่านไปเป็นอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ไหหม่า(海馬)