ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 206 เจ้ามันลูกอกตัญญู
บทที่ 206 เจ้ามันลูกอกตัญญู
แม่โจวไม่ใช่คนโง่ ความเป็นห่วงเป็นใยจากสองสามีภรรยาหลินเหราใช่ว่านางจะไม่รับรู้ แต่ถึงแม้ว่าจะรับรู้ นางก็ไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด นอกจาพูดเสียงแหบแห้งว่า “หลายเดือนแล้ว พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่เพิ่งมาหาท่านพ่อและท่านแม่หรือ? ในบ้านพากันไปลงกล้า วันนี้นอกจากข้าแล้ว ทุกคนต่างลงนากันหมด”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้เหยาซูได้แค่ถามว่า “หลินหงก็ลงนาด้วยหรือ?”
เจ้าสามตระกูลหลินสืบทอดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์มาจากผู้เป็นแม่โดยสมบูรณ์ ในบ้านมีแค่พี่สะใภ้ของพี่ชายคนเดียว เขาก็ยังไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้ามาช่วย
ในวันที่เหยาซูอยู่บ้านตระกูลหลิน นางมักจะเห็นน้องชายคนที่สามปิดประตูขังตัวเองอยู่ในห้องทุกวัน แต่เรียกให้ดูดีว่ากำลังอ่านตำราสอบขุนนาง มีครั้งไหนบ้างที่หลินหงจะไม่หวังกินของดีแต่ทำงานน้อย ๆ?
เอาคนแบบนี้ลงนาได้ ต่อให้ต้องตายเหยาซูก็ไม่เชื่อ
ครั้นแม่โจวได้ยินคำถามนั้นจึงใช้สายตากวาดมองอย่างช้า ๆ “น้องสามไม่อยู่ น้องสามเข้าเมือง รีบไปสอบ”
แม้จะพูดว่าเคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมานานหลายปี แต่หลินเหรากลับไม่ได้มีความประทับใด ๆ ใจในตัวแม่โจวเลย
ต่อให้แม่โจวก้าวร้าวเพียงใด แต่ยามหลินเหราอยู่บ้านก็ทำได้แค่รังแกเหยาซูลับหลังเขาเท่านั้น ไฉนเลยจะกล้าทำซึ่ง ๆ หน้าพี่ใหญ่? ยิ่งไปกว่านั้นหลินเหราก็ไม่ชอบพูดมากด้วย ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาพวกเขาจึงไม่เคยสนทนาอะไรกันเลย
ในสายตาของหลินเหรา แม่โจวเป็นเพียงสะใภ้ตระกูลหลินเท่านั้น
แต่นัยน์ตาของเหยาซูกลับฉายแววกังวลจาง ๆ ออกมา ก่อนจะหยุดชะงักและพูดประโยคหนึ่งออกมา “ตอนนี้ร่างกายของน้องสะใภ้ก็หนักหน่วงมากแล้ว ไปหาหมอแล้วใช่หรือไม่? จะคลอดเมื่อใด?”
แม่โจวส่ายหน้า “จะเอาเงินที่ไหนไปหาหมอเล่า?”
เหยาซูขมวดคิ้ว จากนั้นก็สบตากับหลินเหราแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามนางว่า “อาเหราส่งเงินมาให้ตระกูลหลินเป็นจำนวนสิบตำลึงทุกเดือนมิใช่หรือ? เหตุใดแม้แต่จะไปหาหมอก็ยังไม่มีเงินเล่า?”
ครั้นเอ่ยถึงเงินตำลึง ในที่สุดใบหน้าของแม่โจวก็แสดงสีหน้าโกรธเคือง คิ้วอันดกดำที่เลิกสูงขึ้น ตอนนี้กลับเผยให้เห็นถึงความรู้สึกดุดันบางอย่าง ส่วนน้ำเสียงนั้นก็ดังมากขึ้นเช่นกัน “เงินตำลึง? ในบ้านมีหลุมดำหนึ่งหลุม ไม่ว่าเงินจำนวนเท่าไรก็ไม่เคยเติมหลุมใหญ่นั้นให้เต็มได้! ในครอบครัวไม่มีเงินสักเหรียญเดียว ไฉนเลยจะมีเงินตำลึงให้ข้าไปหาหมอ?!”
ครั้นสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงที่แหลมปรี๊ดดังมาจากข้างนอก เมื่อเปรียบเทียบกับเสียงของแม่โจวแล้วดูโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด “นังตัวกาลกิณี! นังผู้หญิงชั้นต่ำปากไม่มีหูรูด! พูดจาเหลวไหลอีกแล้วนะ?! ไม่มีเงินไปหาหมออะไรกัน จะตรวจใคร? ตรวจให้สัตว์เดรัจฉานที่ฝังอยู่ในท้องของเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”
คำด่าที่เจ็บแสบนี้ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล แต่จี้ใจดำของผู้ฟังโดยตรง
เหยาซูเพิ่งสังเกตเห็นหลังจากแม่โจวได้ยินเสียงนั้นก็มีสีหน้าที่ซีดเผือดลงทันที ร่างกายสั่นสะท้านจนเกือบล้มลง จนกระทั่งออกแรงคว้าบานประตูไว้จึงทรงตัวได้อยู่
เหยาซูขมวดคิ้วแน่น จู่ ๆ ก็นึกถึงดวงกินสามีที่แม่โจวมักด่าตนเมื่อครั้งอดีต ซึ่งมันเป็นคำที่ยากจะฟังได้
หากเป็นวันปกติแม่เฒ่าหวังก็คงจะสั่งสอนสะใภ้คนนี้ไปแล้ว แม้แต่เหยาซูก็คงจะแทรกมือเข้าไปช่วยไม่ได้
เพียงแต่ตอนนี้แม่โจวกำลังตั้งครรภ์ ครั้นเห็นท่าทางเหนื่อยและลำบากนี้ นางก็อดรู้สึกสงสารสตรีท้องแก่ไม่ได้
หญิงสาวหันหน้าไปและพูดกับแม่เฒ่าหวังอย่างไม่พอใจว่า “มีอะไรก็ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันไม่ได้หรืออย่างไร? เหตุใดจะต้องพูดถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้ด้วย! ลูกในท้องของนางก็หลานของท่าน! ถ้าเด็กคลอดออกมาเป็นสัตว์เดรัจฉานขึ้นมา แล้วครอบครัวนี้เป็นตัวอะไรล่ะ?”
ทั้งสองคนเดินตามกันเข้ามาในลานบ้าน เหยาซูเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหลังของแม่เฒ่าหวังมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งเดินตามมาด้วย
คนผู้นั้นเดินไปยังมุมกำแพงวางอุปกรณ์ทำนาที่แบกอยู่บนไหล่ลง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ที่แท้ก็เป็นลูกชายคนที่สองของตระกูลหลิน
แม่เฒ่าหวังชำเลืองตามองเหยาซูแวบหนึ่ง แล้วค่อยมองหลินเหราอีกแวบหนึ่ง นางจ้องมองสองสามีภรรยาอย่างพวกเขาที่แต่งกายสะอาดสะอ้าน ไม่เหมือนกับพวกชาวนาแม้แต่น้อย ดูมีสง่าราศี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปิ่นเงินที่ปักอยู่บนผมของเหยาซู
ไฟแห่งโทสะสุมอยู่ในทรวงอกโดยไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ได้ระเบิดแผดเผาไปทั่วทั้งศีรษะในชั่วพริบตาเดียว
หญิงชราแค่นหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาได้สะท้อนความชั่วร้ายออกมา “ข้าด่าสะใภ้ของข้าเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?! นังชาติชั่วไร้ยางอายคนนี้! ลูกสัตว์นรกที่อยู่ในท้องจะไม่มีวันได้ออกมา! ถ้าออกมาข้าจะเป็นคนบีบคอนังเด็กชั่วนี้ให้ตายคามือเอง”
เหยาซูทนฟังไม่ได้อีกต่อไป ครั้นเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างกายแม่เฒ่าหวังจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หลินเอ้อหลาง เจ้าปล่อยให้คนอื่นมาสาปแช่งภรรยาและลูกของตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร ยืนทนฟังเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
หลินเอ้อหลางเงยหน้าขึ้นมองเหยาซูแวบหนึ่งก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง
แม่เฒ่าหวังเหมือนจะได้รับการกระตุ้นบางอย่างก็มิปาน จู่ ๆ ก็มีหัวเราะเสียงแหลมออกมาสองครั้ง ทั้งยังมองไปยังเหยาซูด้วยความโหดร้าย ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างไม่อายใคร
บางทีอาจเพราะความเคยชิน หลินเหราจึงไม่ได้ตอบสนองต่อเรื่องขบขันนี้แต่อย่างใด
แต่ในตอนที่แม่เฒ่าหวังจ้องเขม็งเหยาซูนั้น เขาได้ขมวดคิ้วพร้อมกับรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าวปกป้องเหยาซูไว้ด้านหลังของตัวเอง
ชายหนุ่มมองไปทางแม่เฒ่าหวังและพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ที่ข้าและอาซูมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญอยากถามอาสะใภ้รอง”
คำว่า ‘อาสะใภ้รอง’ คำนี้ พาให้ทุกคน ณ ที่นี่ตะลึงงัน
สองสามีภรรยาหลินเอ้อหลางไม่เข้าใจ แต่แม่เฒ่าหวังกลับรู้ความหมายที่แฝงอยู่ในคำว่า ‘อาสะใภ้รอง’ ของหลินเหราเป็นอย่างดี
นางเหมือนจะตกใจก็มิปาน กระทั่งถอยหลังไปหนึ่งก้าว เมื่อตั้งสติได้จึงด่ากราดกลับไป “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร? สมองตายแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ครั้นเห็นหลินเหรายังคงจับจ้องด้วยดวงตาสีดำทมิฬคู่นั้นโดยไม่พูดสิ่งใด ในใจของแม่เฒ่าหวังเริ่มหวาดผวา แต่กลับยังใจดีสู้เสือพูดว่า “แยกออกไปมีครอบครัวแล้ว แม้แต่แม่แท้ ๆ ก็จำกันไม่ได้สินะ?! เลี้ยงลูกเนรคุณเสียข้าวสุกจริง ๆ ครอบครัวก็ไร้มโนธรรมสำนึก รู้เช่นนี้น่าจะขับไล่ไปเสียให้หมด!”
หลินเหราไตร่ตรองคำพูดที่แสนหยาบคายในวาจาของนางด้วยตนเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่ใช่ลูกของท่าน เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใด ๆ ต่อกัน นี่เป็นสาเหตุที่ท่านปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ตลอดยี่สิบกว่าปี ใช่หรือไม่?”
แม่เฒ่าหวังตื่นตระหนกต่อคำพูดนี้โดยแท้จริง
หลินเอ้อหลางได้สติกลับมาว่าหลินเหรากำลังพูดเรื่องอะไร ใบหน้าที่เดิมทีแข็งทื่อไร้ความรู้สึกก็แสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “พี่ใหญ่! ท่านพูดอะไร? มาพูดจามั่วซั่วเช่นนี้ไม่ได้นะ!”
หลินเอ้อหลางมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อพี่น้องของตัวเองเสมอ
ตั้งแต่เด็กเขามักจะชื่นชมหลินเหรามาตลอด คิดว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแรงและสูงใหญ่ ทั้งยังมีความสามารถและเฉลียวฉลาดมากกว่าตน หลินเอ้อหลางให้เกียรติพี่น้องจากก้นบึ้งของหัวใจเสมอมา
แต่ครั้นได้ยินคำพูดที่ไร้จิตสำนึก แม้แต่มารดาแท้ ๆ ของตัวเองก็จำไม่ได้ออกมาจากปากของหลินเหรา เขาเองก็ตกตะลึงไม่น้อย
ยิ่งคำพูดที่ว่าไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน หลินเอ้อหลางยิ่งไม่มีทางเชื่อ
พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แม้ว่าพี่ใหญ่จะมีหน้าตาไม่ละม้ายคล้ายคลึงกับท่านพ่อและท่านแม่ แต่อย่างไรก็เป็นถือว่าเป็นลูกหลานของตระกูลหลิน
หลินเอ้อหลางคิดแค่ว่าคำพูดของหลินเหรา เป็นเพียงคำพูดที่ต้องการตัดขาดไม่อยากพัวพันกับแม่เฒ่าหวังอีกจึงได้โพล่งออกมา
เมื่อหลินเหราเห็นหลินเอ้อหลางค่อนข้างร้อนใจ เหมือนกับต้องการจะปกป้องแม่เฒ่าหวังก็มิปาน จึงปรายตามองเขาครู่หนึ่ง “น้องรอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
สายตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้น แฝงไปด้วยการห้ามปรามเหมือนกับกำลังมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้หลินเอ้อหลางตัวสั่นสะท้านไม่น้อย
หลินเอ้อหลางนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใดไปชั่วขณะ
เขาคิดว่าพี่ใหญ่นั้นแตกต่างไปจากเดิมจริง ๆ
ใบหน้าของแม่เฒ่าหวังยังคงไม่สู้ดีนัก ทั้งยังจับจ้องหลินเหราด้วยสายตาเคร่งขรึมแล้วค่อยมองเหยาซู
ทันใดนั้น นางก็พูดกับหลินเหราด้วยเสียงที่โหดร้ายและดุดัน “ตรากตรำเลี้ยงเจ้ามาตลอดยี่สิบปี อยู่ดี ๆ เจ้าก็ไม่ใช่ลูกชายของข้าเสียอย่างนั้น หากไม่ใช่แล้วจะเป็นใคร? อ่อ ข้าเข้าใจแล้ว ภรรยาของเจ้ายุยงให้เจ้ามาหาเรื่องข้าถึงที่นี่ใช่หรือไม่?! ข้ารู้มานานแล้วว่านางไม่ชอบข้า ไม่ชอบตระกูลนี้ แม้แต่เด็กเหลือขอตัวน้อยของเจ้าเหล่านั้นก็…”
“พอได้แล้ว!” หลินเหราตวาดเสียงดัง เขาที่เงียบสนิทมาตลอดบัดนี้มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก กำหมัดทั้งสองข้างแน่น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอาซู!”
แต่ไหนแต่ไรมาหลินเหรากตัญญูรู้คุณมาโดยตลอด
เมื่อครั้งวัยเยาว์ไม่ว่าแม่เฒ่าหวังจะดุด่าว่าตีเขาอย่างไร หลินเหราน้อยก็ทำได้แค่ยอมรับอย่างเงียบ ๆ คนข้างกายถาม เขาก็ตอบแค่ว่า ‘คนที่รักที่สุดก็คือท่านแม่’ เสมอ จนนับวันเขาก็ค่อย ๆ สูงกว่าแม่เฒ่าหวัง ให้หญิงชรามาเฆี่ยนตีก็คงไม่มีความหมาย นางจึงไม่เคยพูดดี ๆ กับเขาเลยสักครั้ง
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ หลินเหราก็ยังแสดงความกตัญญูต่อนาง
เขาไม่เคยโต้เถียงกับแม่เฒ่าหวังเลยสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการตวาดใส่นางเฉกเช่นวันนี้
แม่เฒ่าหวังแข็งทื่อดั่งหุ่นไก่ พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “หลินเหรา ข้าคือแม่แท้ ๆ ของเจ้า! เจ้า เจ้ามันอกตัญญู! เพื่อสตรีคนเดียว แม้แต่แม่ก็ยังลืมกันได้ลงคอ!”
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หยุดแสแสร้งเถอะนางเฒ่า อาเหราเขารู้ความจริงหมดแล้ว
ไหหม่า(海馬)