ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 207 แววตาเคร่งขรึมลงมาก
บทที่ 207 แววตาเคร่งขรึมลงมาก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความไร้เหตุผลของแม่เฒ่าหวัง หลินเหราก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย คล้ายกับว่าเขาต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของนางตลอดไป แม้ว่าจะแยกออกไปมีครอบครัวของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นได้จากความรู้สึกนี้ได้
แม้ว่าเหยาซูจะไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลินเหรามาก่อน แต่เส้นเลือดที่ปูดโปนอยู่บนมือที่กำหมัดแน่นข้างลำตัวนั้น แสดงถึงความกระวนกระวายในใจของชายหนุ่มอย่างชัดเจน
หญิงสาวรุดขึ้นหน้าเพียงครึ่งก้าวอย่างเงียบ ๆ และกุมมือของเขาไว้อย่างแผ่วเบา
หลินเหราหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก
เขามองไปทางแม่เฒ่าหวังและพูดว่า “หลายปีมานี้ท่านไม่เคยเห็นข้าเป็นลูกของตัวเอง ไม่เคยเห็นเหยาซูและลูกของข้าเป็นคนในครอบครัว เหตุใดวันนี้ถึงใช้คำว่าครอบครัวมาร่ายเรียงเป็นบทความได้กัน? ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่ท่านแม่ของข้า ท่านแม่ของข้ามีแซ่ว่าเซี่ย หรือพูดได้ว่า นางเคยมีแซ่ว่าเฉียน”
รูม่านตาของแม่เฒ่าหวังหดลงทันใด นิ้วที่แห้งเหี่ยวและหมองคล้ำได้เริ่มสั่นระริกอย่างรุนแรง
ประโยคสุดท้ายของหลินเหราทำลายความโชคดีในก้นบึ้งหัวใจของนางไปจนหมดสิ้น
แต่แม้ว่าจะมาถึงจุดนี้แล้ว แม่เฒ่าหวังก็ยังคงปฏิเสธ “เจ้า เจ้า ใครพูดจาเหลวไหลเช่นนี้กับเจ้า?”
หลินเหราปล่อยวางซึ่งความรู้สึกที่ล้นทะลักเหล่านั้น เมื่อพบความผิดปกติของแม่เฒ่าหวังอย่างรวดเร็ว เขาพลันขมวดคิ้วและพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ท่านกำลังกลัว”
แม่เฒ่าหวังยังพยายามใจดีสู้เสือ “ใครกลัวกัน?”
ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังแม่เฒ่าหวังด้วยสายตาคมกริบคล้ายกับนกอีนทรี ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “ตั้งแต่ที่ข้าเรียกท่านว่าอาสะใภ้รอง ท่านก็ดูแปลกไป… ท่านกำลังกลัวอะไรอย่างนั้นหรือ? ท่านมีความลับอะไรไม่อยากให้ข้ารู้ใช่หรือไม่? หากไม่เคยทำเรื่องที่ละอายแก่ใจ เหตุใดต้องกลัวเล่า หรือกลัวข้าจะรู้ว่าท่านทำอะไร?”
แม่เฒ่าหวังไม่เคยเห็นหลินเหราเป็นเช่นนี้มาก่อน
ในความทรงจำของนาง หลินเหราเป็นเด็กที่นิ่งสงบมากมาโดยตลอด แม้จะเห็นว่าฉลาดกว่าเจ้ารอง แต่ก็ควบคุมได้ง่าย
ตราบใดที่ตนยกสถานะของการเป็น ‘แม่’ มากดขี่ สุดท้ายหลินเหราก็ยอมประนีประนอมเสมอ
แต่ตอนนี้ ในที่สุดนางก็ได้เห็นดวงตาที่ดุร้ายและเย็นเยือกของลูกแกะที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ภายใต้ผิวหนังที่ปกคลุมด้วยขนที่อ่อนนุ่มมาโดยตลอด
ดวงตาสีดำทมิฬคล้ายหมึกดำคู่นั้นดุดันราวกับปีศาจที่ยื่นกรงเล็บแหลมออกมาจากขุมนรก พร้อมจะเขมือบนางลงท้องได้ทุกเมื่อ
สายตาของเขา ใบหน้าของเขา ท่าทางการพูดของเขา ทำให้นางรู้สึกเหมือนเห็นท่าทางก่อนสิ้นใจของสตรีเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนคนนั้นไม่มีผิด
ทันใดนั้นแม่เฒ่าหวังก็กรีดร้องเสียงแหลมออกมา เสียงของนางแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งยังตะโกนโหวกเหวกด้วยเสียงแหลมว่า “ไม่ใช่ข้า! ไม่ใช่ข้า! เจ้าไม่ต้องมาหาข้า! ข้าเลี้ยงดูลูกชายของเจ้าจนเติบใหญ่แล้ว ข้ามีพระคุณต่อเจ้า เจ้าจะมาหาข้าไม่ได้!”
ครั้นได้ยินคำพร่ำเพ้อที่จับใจความไม่ได้เช่นนี้ หลินเหราก็ตระหนักได้ในทันทีว่าการตายของท่านแม่จะต้องมีเงื่อนงำ มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ หน้าอกเริ่มกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
นัยน์ตาของชายหนุ่มหมองหม่นลง และจ้องเขม็งไปยังแม่เฒ่าหวังอย่างไม่ละสายตา จากนั้นก็ตะโกนถามเสียงดังว่า “ไม่ใช่ท่าน งั้นเป็นผู้ใด?”
ท่าทางของแม่เฒ่าหวังเหมือนตกอยู่ในสภาวะอีกรูปแบบหนึ่ง นางมองเห็นหลินเหราอย่างแจ่มชัด แต่มันกลับไม่ใช่เขา
จู่ ๆ หญิงชั่วช้าไร้จิตสำนึกก็ปล่อยให้น้ำตาพรั่งพรูออกมา นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดผวาและหวาดกลัว แต่กลับไม่เห็นถึงความเสียใจเลยแม้แต่น้อย ได้แต่พูดซ้ำ ๆ วนไปวนมาอย่างต่อเนื่องว่า “อย่าเข้ามานะ! ไม่ใช่ข้าจริง ๆ เจ้ามาหาผิดคนแล้ว มาหาผิดคนแล้ว!”
หลินเหราจึงเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว หลังจากจับไหล่ของแม่เฒ่าหวังได้ไม่นานกลับถูกหลินเอ้อหลางขวางไว้
สีหน้าของเขาซีดเผือด มองหลินเหราด้วยสายตาที่เหมือนกับจะกินคนก็มิปาน จากนั้นก็ฝืนพูดว่า “พี่ พี่ใหญ่….ตอนนี้สติของท่านแม่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มีเรื่องอะไร รอ…รอให้นางสงบลงก่อนแล้วค่อยถามดีกว่า”
หลินเหรามองไปทางแม่เฒ่าหวังแวบหนึ่ง ครั้นเห็นหญิงชรายังอยู่ในท่าทางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้น ในปากก็เอาแต่พร่ำพูดซ้ำไปก็ซ้ำมาว่า ‘ไม่ใช่ข้า อย่าเข้ามานะ’ คำพูดเหล่านี้ รู้ว่าถึงถามวันนี้ก็ไม่ได้อะไรกลับไป
เหยาซูเดินไปหาชายหนุ่ม จากนั้นก็นำมือของเขาวางลงบนฝ่ามือของตนเองอีกครั้งคล้ายกับกำลังปลอบใจ ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “อาเหรา ใจเย็น ๆ ก่อน เราตรวจสอบเรื่องให้ชัดเจนก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยนะ หืม?”
คำพูดของนางเหมือนกับลมเย็นที่พัดผ่านหัวแร้งเหล็กที่กำลังร้อนระอุ แม้ว่าจะไม่สามารถปลอบประโลมความร้อนระอุทั้งหมดได้ แต่กลับทำให้รู้สึกได้ถึงความเย็นสบายท่ามกลางความร้อนที่รุนแรงนั้น
มือที่กำหมัดแน่นของหลินเหราคลายออกอย่างช้า ๆ ร่างกายที่หดเกร็งก็ผ่อนกำลังลง ไม่เหมือนกับเสือดาวที่พร้อมจะจู่โจมเข้าไปงับเหยื่อได้ทุกเมื่ออีกแต่อย่างใด
เขาหันกลับไป ครั้นสบสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของเหยาซูคู่นั้น ในใจก็รู้สึกผิดต่อความรู้สึกที่แปรปรวนเมื่อครู่ทันที
เหยาซูรู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่ดูเหมือนจะนิ่งสงบของหลินเหรานั้นกำลังเกิดความปั่นป่วนขึ้นในใจ แต่เมื่อต้องยืนอยู่ในลานบ้านที่บีบให้ดูแคบลงของตระกูลหลิน กลับทำให้ดูเหมือนว่าแม้แต่แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยชั้นสีเทา
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า “อาเหรา เรากลับกันก่อนเถิด พี่สะใภ้รองทำอาหารเที่ยงแล้ว นางรอให้เรากลับไปกินอยู่”
เมื่อเห็นท่าทางของแม่เฒ่าหวัง หลินเหราก็รู้ทันทีว่าป่วยการที่จะซักไซ้ต่อ และเขาไม่อยากให้เหยาซูต้องเป็นกังวลอีก จึงพยักหน้าตอบตกลงไป
หลินเอ้อหลางตรวจร่างกายของแม่เฒ่าหวังด้วยความเป็นกังวล ปล่อยให้ทั้งสองคนเดินตรงออกมาจากลานเล็กของบ้านตระกูลหลิน
เหยาซูรู้สึกว่าในตอนที่ออกจากพวกเขา สายตาของแม่โจวที่ยืนอยู่ข้างประตูกำลังจับจ้องมาที่นางตลอดเวลา คล้ายกับกำลังรอสายตาของนาง
แต่สุดท้ายนางก็ไม่สนใจ กลับเดินตามหลินเหรา และจากไปโดยไม่หันกลับไปมองอีก
ระหว่างทางที่ทั้งสองคนเดินออกมาจากบ้านตระกูลหลินนั้น ได้ถูกสายลมอันอบอุ่นพัดผ่านร่างไป ส่งผลให้ความรู้สึกที่อึดอัดใจและเย็นยะเยือกเมื่อครู่นั้นค่อย ๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ
สีหน้าของหลินเหราไม่ได้ดูแย่เหมือนกับเมื่อครู่อีกแล้ว แต่หัวคิ้วยังคงขมวดเข้าหากันไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
ผ่านไปเนิ่นนาน น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำก็ได้พูดกับเหยาซูว่า “อาซู เจ้าว่า … การตายของท่านแม่ มีเงื่อนงำบางอย่างใช่หรือไม่?”
เหยาซูไม่ได้สนใจสิ่งแวดล้อมภายนอก นางจูงมือของหลินเหราตลอดเวลา เดินเคียงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ ครั้นเห็นเขาเอ่ยปากถาม จึงได้ครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นก็ตอบอย่างอ่อนโยนว่า “แทนที่เราจะมาเดาสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่ตรงนี้ จนสุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่มีหลักฐาน สู้ไปถามเหล่าผู้อาวุโสในหมู่บ้านตระกูลหลินในวันรุ่งขึ้นดีกว่า พวกเขาผ่านประสบการณ์ชีวิตมาโชกโชน มีความรู้รอบตัวมากมาย….จะต้องมีข้อมูลแน่นอน”
หลินเหราพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เสียงของเขาแหบแห้งลงเล็กน้อย แววตาดุดันแข็งแกร่งไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ คู่นั้นฉายความเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย ทำให้เหยาซูเห็นแล้วปวดใจมากยิ่งขึ้น
กระทั่งได้ยินนางพูดว่า “อาเหรา ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง”
หลินเหราเงยหน้ามองนาง ยามที่สบเข้ากับสายตาอันอ่อนโยนของเหยาซู เขาก็พลันสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุของแสงอาทิตย์ ความเย็นสบายของสายลม และต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นกันแน่นขนัดอยู่ข้างถนนขนาดเล็กสายนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ทั้งหมดนี้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้สัมผัสเลยแม้แต่น้อย
ความโกรธ ความไม่เข้าใจ ความกระวนกระวายใจของเขาในตอนนี้ เหมือนได้รับการปลอบประโลมที่ดีจากสัตว์เลี้ยงตัวน้อยก็มิปาน และมันก็ค่อย ๆ สงบลงในที่สุด
เหยาซูยิ้ม ดวงตาสีอ่อนที่สามารถมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งเปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า “ถึงอย่างไรมันก็ผ่านมานานเพียงนี้แล้ว หากคิดจะสืบหาความจริง ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้น อาเหราไม่ค่อยได้หยุดพัก สู้เดินเล่นในหมู่บ้านดีกว่า ปล่อยวางสักหน่อยสภาพจิตใจจะได้ดีขึ้น เรื่องที่เคยเจอ คนที่เคยอยู่ จะต้องหาร่องรอยได้แน่นอน ไม่ต้องรีบหรอก และไม่ต้องเป็นกังวลด้วย”
กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ตลบอบอวลอยู่ในอากาศ ครั้นสูดดมเข้าสู่ร่างกาย ได้นำพาความสุขในการดมดอมปะปนมาด้วย ร่างกายและจิตใจของหลินเหราผ่อนคลายลงโดยสิ้นเชิง กระทั่งมีความคิดในการแยกแยะว่าท่ามกลางกลิ่นหอมของดอกไม้นี้มีดอกไม้ชนิดไหนบ้าง
เขาพลิกมือมากุมมือของเหยาซูเอาไว้ และกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับนางเสียงเบาว่า “อาซู ขอบใจเจ้ามาก”
เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำและไพเราะเหมือนอย่างเคย วันนี้กลับเพิ่มความหมายที่ชวนเบิกบานใจเข้ามาด้วย ครั้นเหยาซูได้ยินก็พลันรู้สึกจั๊กจี้ไม่น้อย ปลายหูจึงเริ่มแดงเรื่อ ๆ
หญิงสาวขยับมือขวา เปลี่ยนจากอากัปกิริยาเดิมมาเป็นผสานมือกับอีกฝ่าย ก่อนจะพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ว่า “เราเป็นสามีภรรยากัน เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมจะต้องเผชิญหน้าด้วยกัน”
ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย
แววตาของหลินเหราเคร่งขรึมลงมากทีเดียว…
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หรือว่าแม่เฒ่านี่จะมีส่วนยุยงทำให้แม่ของอาเหราต้องตายกันนะ รอเค้นความจริงเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)