ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 210 เรียนรู้วิธีการเย็บปักถักร้อย
บทที่ 210 เรียนรู้วิธีการเย็บปักถักร้อย
แม่เฒ่าเหยารู้สึกเสียใจที่ลูกเขยจะต้องมานั่งฟังเรื่องเหล่านี้อยู่ข้าง ๆ แต่ในเมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว จึงทำได้แค่ต้องพูดต่อไป “แล้วมันก็บังเอิญอีก ที่ก่อนหน้านั้นครอบครัวของแม่หวังมีงานศพมิใช่หรือ? หลินเอ้อหลางต้องลงใต้ไปงานศพแทนแม่ของเขาและอยู่จัดการเรื่องงานศพที่นั้นเป็นเวลาสองเดือน…เท่าที่นับดู กลับบ้านมาก็เพิ่งแปดเดือน แต่ท้องของสะใภ้เขาดูราวกับใกล้คลอดเสียอย่างนั้น”
เหยาซูคำนวณวัน มันไม่ต่างกันจริง ๆ
แต่นางยังขมวดคิ้ว “ตามจริงก็น่าจะไม่กี่เดือน เช่นนั้นเชิญท่านหมอมาตรวจนางให้รู้ไปเลยไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ? ท่านหมอต้องวินิจฉัยได้แน่ว่าท้องถึงเก้าเดือนแล้วหรือไม่?”
แม่เฒ่าเหยาส่ายหน้า “เรื่องนี้ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิดหรอก ใครจะกล้าเชิญท่านหมอเล่า!”
ในหมู่บ้าน หากพูดถึงหญิงที่ตั้งครรภ์ลูกของผู้อื่นออกไปคงกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่พาให้หัวเราะจนฟันร่วงแน่ ถ้าให้คนในหมู่บ้านรู้เข้าเกรงว่าตระกูลหลินคงไม่กล้าเชิดหน้าชูตาอยู่ในหมู่บ้านอีกต่อไป
เหยาซูรู้สึกโมโหกับความไม่ประสีประสาของคนที่นี่ และรู้สึกเศร้าหมองในเวลาเดียว “หรือว่าชีวิตคนผู้หนึ่ง ก็ยังสำคัญสู้ชื่อเสียงไม่ได้!”
แม่เฒ่าเหยาทอดถอนใจ “ก็ไม่เชิง ตอนนี้ยังไม่เชิญหมอ นางเองก็ยังไม่คลอด ข่าวเหล่านั้นก็เป็นแค่การคาดเดา…แต่ถ้าเชิญหมอมา และได้รับการยืนยันไม่ตรงวัน ถึงตอนนั้นแม่หวังคงได้มีใจอยากสังหารสะใภ้ของนางเป็นแน่!”
เพราะเหตุนี้เหยาซูจึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดแม่โจวถึงได้ตกอยู่ในสภาวะโดดเดี่ยวเช่นนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำด่าที่หยาบคายอย่าง ‘นางโลมนังลูกนอกคอก’ แต่ละคำจากแม่สามี แม้แต่สามีของตัวเองก็ไม่เคยพูดปกป้องตนเองเลยสักครั้งเดียว
เหยาซูรู้สึกรับไม่ได้ หญิงสาวครุ่นคิด ก่อนจะขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าสตรีนั้นตั้งครรภ์ลูกแฝดได้ จะมีเด็กสองคนในท้องเดียวกัน ดูไปแล้วท้องนั้นก็น่าจะใหญ่กว่าของผู้อื่น… ตอนนี้ก็น่าจะมีอายุครรภ์ราว ๆ เจ็ดแปดเดือน จึงไม่ต่างกับคนที่ใกล้คลอดเท่าไร ไม่แน่ว่าสะใภ้รองอาจจะตั้งครรภ์ลูกแฝดอยู่ก็ได้นะเจ้าคะ?”
แม่เฒ่าเหยาเห็นเหยาซูไม่ได้มีท่าทางเหมือนยอมแพ้ จึงเอ่ยเตือนว่า “ตั้งครรภ์ลูกแฝด ก็เป็นเรื่องครอบครัวของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ขนาดคนเป็นสามียังไม่เชิญหมอมาตรวจให้กับภรรยาของตัวเองเลย เจ้าเป็นคนนอก ห้ามเข้าไปยุ่งเด็ดขาด! ได้ยินหรือไม่?”
เหยาซูพยักหน้า เฮ้อ นางแค่รู้สึกว่าเด็กยังไร้เดียงสา เหตุใดท่านแม่ต้องจำฝังใจด้วย
แม่เฒ่าเหยาอยู่พูดคุยกับทั้งสองคนครู่หนึ่ง กำชับเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญในวสันตฤดูอีกเล็กน้อย จู่ ๆ เหยาซูก็ถูกเด็ก ๆ เรียกออกไป
แม่เฒ่าเหยายังพูดไม่จบจึงทำได้แค่กำชับหลินเหราต่อ “ในตอนที่อาซูยังเป็นเด็ก มักจะเกิดปัญหาในหน้าวสันต์เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่สูดละอองเกสรดอกไม้เข้าไปจำนวนมาก ใบหน้าและตามตัวของนางจะขึ้นผื่นแดงได้ง่าย นางมักไม่สนใจ ถ้าเจ้าไม่ยุ่งนัก ก็ช่วยเตือนนางแทนข้าด้วย”
หลินเหราพยักหน้ารับคำ
แต่จู่ ๆ ก็ไม่รู้ว่านึกถึงอะไร หัวใจของเขาถึงได้เต้นรัวก่อนจะถามขึ้นว่า “หากสูดละอองเกสรดอกไม้มากเกินไป อาซูจะหงุดหงิดและโกรธง่ายใช่หรือไม่ขอรับ?”
แม่เฒ่าเหยามองไปทางเขาด้วยความแปลกใจครู่หนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดและพูดว่า “ถ้าเกิดอาการแพ้จะทำให้ไม่สบาย ย่อมหงุดหงิดง่ายเป็นธรรมดา ว่าแต่ช่วงนี้นางไม่ได้ดูแปลกไปใช่หรือไม่?”
จู่ ๆ หลินเหราก็ไม่อยากพูดเสียอย่างนั้น
สองสามวันนี้เขาเห็นว่าปฏิกิริยาของเหยาซูเหมือนกับอาการคนตั้งครรภ์ ก็เลยดีอกดีใจไปพักหนึ่ง
แม้หมอจะบอกว่าร่างกายของเหยาซูต้องได้รับการบำรุง แต่ในเมื่อเด็กมาแล้วมันก็ควรเป็นเรื่องที่ต้องมีความสุข
ครั้นตอนนี้เห็นว่าอาการที่เกิดกับนางไม่ใช่การตั้งครรภ์ แต่เป็นการแพ้หรอกหรือ?
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาห่วงใยของแม่เฒ่าเหยา หลินเหราจึงพูดได้แค่ว่า “แม่ยายวางใจเถิดขอรับ ข้าจะดูแลอาซูอย่างดี”
แม่เฒ่าเหยาไว้วางใจหลินเหราเสมอ ครั้นเห็นลูกเขยพูดเช่นนี้ในใจจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย
เพราะเป็นวันหยุดของหลินเหรา จึงมีเวลาแค่หนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นจะต้องไปจวนตรวจการแล้ว หลังจากที่เขาและเหยาซูกินอาหารเสร็จก็พาซานเป่ากลับเข้าเมืองก่อน และทิ้งอาจื้อและอาซือไว้ที่บ้านผู้เป็นยาย อยู่เล่นเป็นเพื่อนเหยาต้าหลางหนึ่งวัน
ระหว่างที่ทั้งสองคนกลับมาถึงในเมือง หลินเหราอดหันกลับไปไม่ได้ เขาถามเหยาซูประโยคหนึ่งว่า “อาซู ตอนนี้ท้องฟ้าก็ยังสว่างอยู่ สู้ไปหาหมอจีนดีหรือไม่?”
เหยาซูแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ “ไปหาทำไม? ท่านไม่สบายหรือ?”
หลินเหราส่ายหน้า ไม่ได้พูดสิ่งใด มองแค่ลำคอของนาง
เหยาซูได้สติทันใด ก่อนจะรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และพูดว่า “ไม่ต้องหรอกกระมัง? ข้าไม่ได้รู้สึกว่าข้าตั้งครรภ์…”
ความจริงแล้วในใจของเหยาซูก็คิดว่าตัวเองนั้นคิดมากไป แต่มันก็มีความเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ?
เขาเอ่ยปากโน้มน้าว “ก็ใช่ว่าจะไม่เคยตั้งครรภ์ ไปให้ท่านหมอตรวจหาสาเหตุของรอบเดือนว่าเหตุใดถึงไม่มาน่าจะดีกว่า”
เขายังยืนยันเช่นนั้น เหยาซูจึงต้องตอบรับอย่างจนปัญญา
ทั้งสองคนจึงพากันไปหาหมอจีนที่เหยาซูรับยาไปเมื่อคราวที่แล้ว แต่คงจะเคอะเขินถ้าบอกให้หมอตรวจชีพจรว่าท้องหรือไม่โดยตรง จึงทำได้แค่บอกว่าช่วงนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยมาให้หมอตรวจ
หมอจีนผู้นี้เป็นคนจริงจัง มีชื่อเสียงมากในกลุ่มของการรักษาสตรีในเมืองชิงถง ทันทีที่เห็นสองสามีภรรยาวัยละอ่อนเดินเข้ามายิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กที่หลินเหราอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ในใจพลันเข้าใจชัดเจนยิ่งกว่ากระจกเงาเสียอีก
เขายังไม่ตรวจชีพจรให้เหยาซูก็เอ่ยถามขึ้นมาก่อน “รอบเดือนมาช้าอย่างนั้นหรือ?”
หญิงสาวพยักหน้า
หมอจีนดูสีหน้าของเหยาซูแล้วให้นางยื่นข้อมือออกมา หลังจากที่นิ้วมือวางบนข้อมือครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “เปลี่ยนผันเข้าสู่ฤดูวสันต์ บางทีอาจเกิดอาการแพ้เพราะสูดดมละอองฝุ่นและเกสรดอกไม้เข้าไป ดูหน้าเจ้าสิแดงเถือกไปหมด”
คำพูดของหมอคล้ายกับคำกำชับของแม่เฒ่าเหยาไม่มีผิดเพี้ยน หลินเหราจึงได้ยอมแพ้
กระทั่งเห็นหมอตรวจดวงตาของเหยาซูอย่างละเอียดก่อนพูดว่า “ไม่ร้ายแรง ไม่ต้องรับยา งดออกไปยังพื้นที่ที่มีเกสรดอกไม้จำนวนมาก นอกจากนี้ให้ดื่มน้ำมาก ๆ อีกสองสามวันก็ดีขึ้น”
เหยาซูขอบคุณหมอจีน จากนั้นก็ลากหลินเหราออกไป
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว นางจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็บ่นด้วยเสียงเบาว่า “เห็น ๆ อยู่ว่าไม่เป็นอะไร ก็ยังจะมา…ไม่เห็นสายตาแปลกประหลาดที่ท่านหมอมองเราสองคนบ้างหรืออย่างไร!”
หลินเหราไม่เข้าใจ “แปลกตรงไหน?”
เขาไม่รู้ว่าคราวที่แล้วที่เหยาซูมารับยาคุมกำเนิดไปให้เขาก็เป็นยาของหมอจีนผู้นี้ แม้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่อากัปกิริยาดูเหมือนมาตรวจครรภ์อย่างไรอย่างนั้น
เหยาซูจึงมักรู้สึกว่าท่านหมอมองพิจารณานางด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่นาน เหมือนจะต้องจดจำตนให้จงได้ก็มิปาน
ความรู้สึกอึดอัดในใจของนางยังไม่จางหายไป กระทั่งพูดกับหลินเหราว่า “หลังจากกินยาหมดแล้ว ท่านก็มารับยาเองแล้วกัน! ข้าจะไม่มาที่นี่อีกเป็นอันขาด…”
หลินเหราจึงได้เข้าใจว่าเหยาซูรู้สึกเขินอายเพราะเรื่องนี้นี่เอง
เขาพยักหน้าและพูดปลอบนางด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความขบขัน “เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดสักนิด”
เหยาซูนั่งตากลมอยู่ด้านหลัง กระทั่งเกวียนวัวออกเดินทาง ไอร้อนผ่าวบนใบหน้าจึงทุเลาลงอย่างช้า ๆ
ไม่นานก็มาถึงบ้าน หลินเหราพาเกวียนวัวไปคืนเพื่อนบ้าน ครั้นเข้าห้องมาท้องฟ้าก็ยังสว่างอยู่ ยังพอมีเวลาทำอาหารมื้อค่ำ
ซานเป่าที่เล่นจนเหนื่อยแล้วกำลังหลับอยู่บนเตียง
หลินเหราเห็นหญิงสาวนั่งเย็บผ้าอยู่ด้านล่างของหน้าต่าง จึงเดินเข้ามาและนั่งลงตรงหน้าของนาง
ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังการเคลื่อนไหวของเหยาซูครู่หนึ่ง มองเสียจนนางไม่สบายใจ แต่สายตาของเขาก็ยังไม่ละไปจากตัวนาง
เหยาซูวางเข็มและด้ายในมือลงจากนั้นก็เงยหน้าถามเขา “ตอนนี้ท่านไม่มีเรื่องอื่นต้องไปทำหรือ?”
หลินเหรายกเก้าอี้มานั่งและพูดอย่างจริงจัง “ข้ากำลังมองเจ้าเย็บปักถักร้อยอย่างไรเล่า”
เขาไม่ค่อยมีเวลาว่างอยู่บ้านเท่าไร ทั้งสองคนจึงใช้เวลาส่วนใหญ่พูดคุยกันในตอนค่ำทุกวัน เมื่อถึงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นหลินเหราก็จะออกจากบ้าน
ตอนนี้เมื่อเห็นชายหนุ่มมองตนเองทำงานอย่างจริงจังเช่นนี้ เหยาซูจึงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หญิงสาวคิดว่าเขาคงมองนางอีกครู่หนึ่งแล้วค่อยไปทำอย่างอื่น จึงก้มหน้าลงเย็บผ้าของตัวเองต่อไป
สองสามวันมานี้เหยาซูหลงใหลในการเย็บปักถักร้อยมาก
ในยุคปัจจุบันการเย็บปักถักร้อยที่นางรู้จักมีเพียงการปักครอสสติทช์อย่างเดียว และเคยวาดภาพบนผ้า จากนั้นก็ใช้เข็มและด้ายปักตามเส้นจนออกมาเป็นภาพที่น่ารักมากทีเดียว แต่มันก็เป็นเพียงรูปง่าย ๆ
ตอนนี้นางมาถึงที่นี่ ได้เรียนรู้วิธีการเย็บปักถักร้อยจากแม่เฒ่าเหยาและสะใภ้ทั้งสองคน
เวลาว่างจึงมักจะนั่งเย็บปักถักร้อย มันทำให้จิตใจสงบมากที่สุด ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ
ตอนนี้ภาพที่นางกำลังปักนั้นคือปี่เซียะตัวหนึ่ง เพราะภาพค่อนข้างซับซ้อนจนต้องใจจดใจจ่อ ไม่นานเหยาซูก็ลืมการมีตัวตนของหลินเหราไป เบนความสนใจทั้งหมดมายังการปักรูปบนมือของตัวเอง
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
นึกว่าซื่อเป่าจะมาเสียอีก อาซูแพ้ละอองเกสรดอกไม้หรอกเหรอเนี่ย เสียดายเลย
เชื่อว่าผ้าปักนี่ก็จะกลายเป็นของสมนาคุณของแบรนด์เครื่องสำอางอาซูอีกแน่ ๆ ค่ะ
ไหหม่า(海馬)