ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 227 ท่านย่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ
บทที่ 227 ท่านย่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ?
ในตอนที่หลินเหราพาเซี่ยเชียนกลับบ้านนั้น ก็บังเอิญเจอกับเหยาซูที่ถือตะกร้าเดินออกมาจากบ้านพอดี
ครั้นหลินเหราเห็นนางเตรียมลงกลอนประตู จึงรีบตะโกนด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “อาซู”
“อือ?” เหยาซูหันกลับไป สีหน้าของหญิงสาวแฝงไปด้วยความตื่นตกใจ “เหตุใดวันนี้ถึงกลับเร็วนัก?”
หลินเหราขี่ม้าร่างสูงใหญ่เข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ พร้อมกับชายผู้หนึ่งที่ขี่ม้าคล้ายกันอยู่ข้างกายเขา แม้แต่สีหน้าที่ดูเย็นเยือกนั้นก็แทบไม่ต่างกับหลินเหรา
หลินเหรามีกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง เมื่อใดที่คนภายนอกอยู่ข้ายกาย โดยส่วนใหญ่กลิ่นอายของพวกเขาจะถูกสะกดไว้ เหยาซูเห็นว่า ในยามที่ชายแปลกหน้าผู้นี้อยู่ข้างกายหลินเหรา กลับไม่มีความรู้สึกเหมือนโดนสะกดไว้แต่อย่างใด
ประกอบกับดวงตาเรียวดุจหงส์ที่เย็นยะเยือกเหมือนกับของทั้งสองคน เหยาซูจึงเดาสถานะของผู้มาเยือนได้ในทันที
หลินหราเห็นสีหน้าที่ดูประหลาดใจของภรรยาจึงอธิบายว่า “พาท่านน้ามาเยี่ยมบ้าน”
เหยาซูประหลาดใจกับการแก้ต่างของเขา แต่ไม่ได้แสดงอะไรออกมา นอกจากยิ้มให้กับเซี่ยเชียนและขานเรียกหนึ่งครั้ง “ท่านน้า”
เซี่ยเชียนเพิ่งเคยเจอภรรยาของหลานชายเป็นครั้งแรก ความประทับใจแรกที่มีต่อเหยาซูไม่ได้ดีและไม่ได้แย่ เขาเพียงแต่ยังพยักหน้าเบา ๆ และส่งเสียงตอบรับ “อื้อ”
เหยาซูเคยได้ยินหลินเหราพูดถึงนิสัยของเซี่ยเชียนมานานแล้ว แต่ครั้นได้เห็นวันนี้ ความเฉยชาเพื่อตีตัวออกห่างจากผู้อื่นของเซี่ยเชียน ดูเหมือนว่าจะสูงกว่าระดับที่หลินเหราเคยอธิบายไว้
นางรับรู้ว่าเซี่ยเชียนไม่ชอบพูด จึงข้ามไปขั้นตอนการทักทายเขา ด้วยการพูดอย่างอ่อนโยนว่า “สองสามวันนี้ท่านน้าเดินทางมาจากเมืองหลวง คงจะลำบากมาก เชิญเข้ามาพักผ่อนในบ้านก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปเรียกพวกเด็ก ๆ กลับบ้าน”
เซี่ยเชียนพยักหน้า และปล่อยให้หลินเหราพาเข้าบ้าน
สองสามวันนี้อาจื้อมักบอกว่าอยากกินเกี๊ยวไส้หมู เดิมทีเหยาซูตั้งใจว่าจะไปซื้อเนื้อหมูสักชิ้นในเมืองกลับมา บัดนี้จู่ ๆ หลินเหราก็พาเซี่ยเชียนมาที่บ้าน หากนางออกจากบ้านอีกครั้ง คงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก
เหยาซูถือตะกร้าเดินตรงไปบ้านของเหยาเฉา ก็พบว่าพวกเด็ก ๆ กำลังเล่นกับซานเป่าอยู่พอดี อาจื้อที่เห็นมารดาคนแรกจึงอดถามไม่ได้ว่า “ท่านแม่ต้องออกไปข้างนอกมิใช่หรือขอรับ? เหตุใดถึงมาที่นี่?”
เหยาเอ้อหลางกล่าวเรียก ‘ท่านอา’ อย่างสุภาพ ส่วนอาซือก็วิ่งมาตรงหน้าของเหยาซู และพูดด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “เราทุกคนช่วยกันดูแลน้องอย่างดี ท่านแม่วางใจได้เจ้าค่ะ!”
เหยาซูลูบศีรษะของลูกสาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะเผยรอยยิ้ม “แม่ไม่ได้เป็นห่วงซานเป่าหรอก พ่อเจ้าพาท่านปู่เซี่ยมาที่บ้าน เราจึงต้องไปต้อนรับแขกก่อน”
อาซือนึกหน้าของ ‘ท่านปู่เซี่ย’ ที่เหยาซูพูดถึงไม่ออกชั่วคราว แต่อาจื้อกลับจดจำได้ขึ้นใจ
อาจื้อเงยหน้าขึ้นและถามเหยาซูว่า “ที่ท่านปู่เซี่ยมาครั้งนี้ ก็เพื่อพาข้าไปเรียนในเมืองหลวงใช่หรือไม่ขอรับ?”
เหยาซูส่ายหน้า “ท่านปู่เซี่ยนำพระราชสาส์นมาให้พ่อและลุงของพวกเจ้า”
อาจื้อตะลึงงัน “อ่อ…เช่นนี้ก็ต้องพาท่านพ่อและท่านลุงกลับเมืองหลวงด้วยกันน่ะสิขอรับ”
เหยาซูจึงพูดกับเด็กทั้งสองคน “ตอนนี้ต้องพาซานเป่ากลับบ้านก่อน มีหลายอย่างต้องทำในวันนี้ ไว้ค่อยมาเล่นใหม่วันหน้านะ”
พวกเด็ก ๆ ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด จากนั้นเหยาซูยื่นตะกร้าให้เหยาเอ้อหลางและถามเขาว่า “เอ้อหลางรู้จักที่ตั้งของร้านขายเนื้อในเมืองหรือไม่? อาตั้งใจว่าจะห่อเกี๊ยวสักมื้อ แต่เนื้อหมูไม่เพียงพอ เจ้าช่วยวิ่งไปในเมืองแทนอา แล้วซื้อเนื้อหมูกลับมาได้หรือไม่?”
หากเป็นภารกิจอื่น แค่ผู้ใหญ่เอ่ยปากน้อยนักที่เหยาเอ้อหลางจะปฏิเสธ
แต่ครั้งนี้…ไปเอาเนื้อหมูในร้านขายเนื้อ? แล้วร้านขายเนื้อหมูในเมืองตอนนี้ ก็มีแค่ร้านขายเนื้อของพ่อหวังเทา แล้วพวกเขาก็เพิ่งจะสั่งสอนลูกชายของเถ้าแก่ไปเมื่อวาน!
ถ้าหวังเทากลับบ้านไปฟ้องพ่อของเขาว่าบาดแผลบนแขนของตัวเองได้มาอย่างไร แล้วเขาไปร้านขายเนื้อตอนนี้ จะไม่เป็นการโยนตัวเองเข้าแหหรอกหรือ?
ครั้นเหยาซูเห็นเหยาเอ้อหลางมีสีหน้าที่แปลกไป จึงอดถามเขาไม่ได้ “เป็นอะไรไปหรือ?”
เหยาเอ้อหลางมองไปทางอาจื้อแวบหนึ่งทันที จากนั้นก็ละสายตากลับมา ก่อนจะส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่มีอะไรขอรับ… ท่านอาเอาตะกร้ามาให้ข้าเถอะ”
เหยาซูจึงยื่นตะกร้าให้เหยาเอ้อหลาง จากนั้นก็ให้เงินส่วนหนึ่งกับเขาไปและกำชับเขาว่า “บางครั้งเถ้าแก่ร้านขายเนื้อก็เอาของไม่ดีปะปนกับของดี ถ้าไม่สังเกตให้ดีละก็ เขาจะให้เนื้อไม่สดกับเรา ตอนเอ้อหลางไปถึงต้องจ้องดี ๆ ให้เถ้าแก่เฉือนเนื้อออกมาจากหมูตัวใหม่เท่านั้น”
เหยาเอ้อหลางใช้ใจครึ่งหนึ่งจดจำคำพูดของเหยาซู แล้วใช้อีกครึ่งหนึ่งครุ่นคิด ถ้าหวังเทาเข้ามาหาเรื่องอีกตัวเองจะรับมืออย่างไร
เหยาซูมอบภารกิจซื้อเนื้อให้เหยาเอ้อหลางไปแล้ว จากนั้นก็พาอาจื้อ อาซือและซานเป่ากลับบ้าน เพียงแต่ก่อนออกจากบ้านไปนั้น อาจื้อก็หันกลับมาพูดกับเหยาเอ้อหลางครู่หนึ่ง ซึ่งเหยาซูไม่ได้สังเกตเห็น
เหยาเอ้อหลางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน ในสมองกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของอาจื้อ
เขาบอกว่า “พี่รองวางใจเถอะ หวังเทาไม่กล้ามาหาเรื่องพี่อีกแน่”
จู่ ๆ เหยาเอ้อหลางก็รู้สึกว่าแม้ว่าตัวเองจะไปมาหาสู่กับอาจื้อเป็นเวลานาน แต่กลับไม่เคยเข้าใจเขาโดยแท้จริง
เวลาที่อาจื้ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เขาดูว่าง่ายเชื่อฟัง เรียนหนังสือก็เก่ง จัดการเรื่องราวได้อย่างสุขุม ผู้ใหญ่ล้วนชื่นชอบเขา ในยามที่ได้อยู่กับพี่น้อง อาจื้อก็มักจะให้เกียรติพี่ชาย ดูแลน้องสาว ทุกคนจึงเชื่อใจเขามาก
แต่เมื่อวานสีหน้าอาจื้อที่แสดงออกมา ยามต้องเผชิญหน้ากับหวังเทาและคนอื่นนั้นเป็นสีหน้าที่เหยาเอ้อหลางไม่เคยเห็นมาก่อน
ท่าทางรังเกียจและเฉยชานั้น เหมือนกับกำลังมองตัวเรือดไร ไม่เห็นพวกเขาเป็นคนเลยแม้แต่น้อย
บางทีอาจเพราะสายตาที่โหดร้ายของอาจื้อ จึงทำให้คนเหล่านั้นหวาดกลัวก็ได้
เหยาเอ้อหลางตระหนักรับรู้ด้วยจิตใต้สำนึกว่าอาจื้อเช่นนี้อันตรายนัก แต่บางครั้งมันก็ควบคุมไม่ได้ เขาพึมพำเบา ๆ ว่า “เรื่องนี้จะให้ผู้ใหญ่รู้ดีไหมนะ? ต้าเป่าทำให้รู้สึกไม่วางใจจริง ๆ”
เด็กชายถือตะกร้าตรงไปร้านขายเนื้อ เขาตัดสินใจในใจว่าจะปรึกษากับญาติผู้พี่อีกครั้งหลังจากเขากลับมา
อีกด้านหนึ่ง
เหยาซูพาเด็ก ๆ กลับมาถึงบ้านเรียบร้อย
อาซือที่เดิมทีลืมเซี่ยเชียนคนนี้ไปแล้ว พลันเห็นชายร่างสูงเหมือนกับผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาใกล้ และถามตนด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าคืออาซือใช่หรือไม่?”
อาซือพยักหน้า และเอ่ยทักทายอย่างว่าง่าย “สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านปู่เซี่ย”
ไม่รู้ว่าเซี่ยเชียนนึงถึงสิ่งใด แววตาที่ดูเย็นชาคู่นั้นถึงได้อ่อนโยนลงในชั่วพริบตา ทว่าไม่นานก็กลับคืนสู่ท่าทีเดิม
เขาหันกลับไปพูดกับหลินเหราว่า “ข้าจดจำได้เสมอ เวลาที่แม่ของเจ้าอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสมักจะเชื่อฟังเช่นนี้ เพียงแต่พวกนางมีหน้าตาไม่เหมือนกันเท่านั้น”
หลินเหราไม่ได้คัดค้านเซี่ยเชียนที่เขาพูดถึงแม่ของตนเอง เลยพูดได้แค่ว่า “อาซือนั้นเหมือนแม่ ส่วนอาจื้อนั้นเหมือนตระกูลเซี่ย”
คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องโกหก เซี่ยเชียนพยักหน้า
ครั้นเห็นเด็กทั้งสองคนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจ เหยาซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ท่านปู่เซี่ยเป็นน้าของพ่อพวกเจ้า ตระกูลเซี่ยเป็นครอบครัวฝ่ายแม่ของพ่อพวกเจ้า”
อาจื้อพยักหน้าโดยไม่พูดสิ่งใด ส่วนอาซือไม่เข้าใจ “ท่านย่ามีแซ่หวังไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
ครั้นเด็กชายได้ยินก็ดึงแขนเสื้อของผู้เป็นน้องสาวไว้ทันที จากนั้นก็พูดกับนางเสียงต่ำว่า “ท่านย่าไม่ใช่ย่าจริง ๆ ของพวกเรา เจ้าไม่เห็นหรือว่านางมีหน้าตาไม่เหมือนกับเราเลย”
ในตอนที่อาจื้อได้เจอกับเซี่ยเชียนคราวที่แล้ว ในใจก็พอเดาเรื่องราวได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่แน่ใจ
และการที่เซี่ยเชียนมาถึงบ้านอย่างเป็นทางการในวันนี้ ก็เพื่อต้องการยืนยันความสัมพันธ์
อาซือไม่ได้คิดมากขนาดนั้น นางดีใจที่ย่าแท้ ๆ ของตัวเองกลายเป็นคนอื่น “ท่านย่าไม่ใช่ย่าแท้ ๆ ของเรา! เยี่ยมไปเลย! ท่านพ่อ แล้วท่านย่าแท้ ๆ ของเราล่ะเจ้าคะ? นางสบายดีหรือไม่? แล้วเหตุใดวันนี้ถึงไม่มาด้วย?”
เด็กหญิงยิงคำถามใส่หลินเหราอย่างต่อเนื่องจนเขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เขาลูบศีรษะของอาซือ โดยไม่พูดสิ่งใด
เหยาซูโน้มตัวลงไปอยู่ในระดับสายตาเดียวกับอาซือ และพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ย่าแท้ ๆ ของอาซือและพี่เจ้าไม่อยู่แล้ว เราต่างไม่เคยเจอนาง แต่ท่านปู่เซี่ยและท่านย่าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก อาซือไปถามเขาได้”
เซี่ยเชียนไม่ได้ปฏิเสธเด็กหญิงผู้นี้ เหยาซูและหลินเหราเคยคุยเรื่องที่เกี่ยวกับเซี่ยเชียนไปก่อนหน้านั้นแล้ว พวกเขาต่างก็คิดว่าหากเป็นไปได้ การพาเซี่ยเชียนมาที่บ้านก็เป็นเรื่องดี
อย่างน้อยก็เพิ่มความเป็นที่รักให้เขาบ้าง
เหยาซูสนับสนุนให้อาซือไปพูดคุยกับเซี่ยเชียน ซึ่งมันเหนือกว่าที่คิดไว้
อาซือไม่ได้กลัวสีหน้าเย็นชาของเซี่ยเชียน สำหรับนางแล้ว พ่อของนางก็มักจะเป็นเช่นนี้ มีสีหน้าเย็นชา แต่ในใจกลับเป็นห่วงนางยิ่งกว่าใคร
เด็กสาวยื่นหน้าเข้าไปข้างกายของเซี่ยเชียน ดวงตาที่เปล่งประกายคู่นั้นจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ก่อนจะขานเรียกเสียงเบาว่า “ท่านปู่เซี่ยเจ้าคะ! ท่านย่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ครั้นได้เห็นท่าทางไร้เดียงสาไร้ความกังวลของอาซือ จู่ ๆ ก็ทำให้เซี่ยเชียนนึกถึงพี่สาวตอนเด็กขึ้นมา
………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เจ้าเด็กแซ่หวังนั่นคงไม่กล้าหาเรื่องอีกแล้วแหละ สบายใจเถอะนะเอ้อหลาง
เห็นอาซือแล้วภาพจำพี่สาวตัวเองผุดขึ้นมาสินะคะท่านอาเซี่ย
ไหหม่า(海馬)