ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 230 สักคำไหม อร่อยนะ
บทที่ 230 สักคำไหม? อร่อยนะ
“ยามเหม่า*[1] ไปเจอกันที่ประตูตะวันออก”
ในขณะที่ปากของหลินเหรากำลังพูด สายตาของเขาก็จ้องมองเหยาซูไม่กะพริบตา ทำให้คิดว่าชายหนุ่มอาจจะมีบางอย่างที่ยังไม่ได้กล่าว
คำพูดที่ยังไม่เอื้อนเอ่ยของเขาล้วนซ่อนอยู่ในสายตาคู่นั้น เห็นได้ชัดว่าดวงตาเรียวดุจหงส์ที่ดูเย็นชา เวลานี้ได้ซ่อนแววตาอันเร่าร้อนจนทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงเรื่อหัวใจเต้นแรง เหยาซูเข้าใจในทันที
นางมองไปทางเด็ก ๆ แวบหนึ่ง เด็ก ๆ เหล่านั้นยังคงนั่งเล่นกับซานเป่าอยู่อีกด้าน พูดคุยกันเจื้อยแจ้วไม่หยุด ไม่มีสายตาของใครมองมาทางพวกเขาที่อยู่ฝั่งนี้สักคนเดียว
เหยาซูพยักหน้าแผ่วเบา รางวัลที่ได้รับทำให้หลินเหรายิ้มอย่างพึงพอใจ
หญิงสาวพึมพำว่า “การเดินทางของท่านครานี้จะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว อีกทั้งท่านยังต้องพาลูกไปคนเดียว…”
การบ่นอุบอิบเหมือนจะไม่พอใจของนางทำให้หลินเหราต้องหัวเราะเบา ๆ ไฉนเลยเขาจะไม่รู้จักนิสัยปากอย่างใจอย่างของนาง? ปากพูดอีกเรื่อง แต่ในใจคิดไปอีกเรื่อง
ยังไม่ทันจะแยกจากกัน ก็คิดคะนึงหาถึงกันแล้ว
หลินเหราใช้มืออีกข้างที่ว่างมาลูบเส้นผมของเหยาซู เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ดูอ่อนโยนมากทีเดียว การโดนมือที่มักจะจับดาบดึงเชือกบังเหียนของหลินเหราทำเช่นนี้ ได้เกิดความรู้สึกถึงความมุ่งมั่นปรารถนามากขึ้น
เขาพูดเสียงเบาว่า “ข้าจะกลับมาโดยเร็วที่สุด รอทุกอย่างในเมืองเสร็จสิ้น ข้าจะรีบกลับมาพบเจ้า ตกลงหรือไม่?”
เหยาซูยิ้มอย่างสดใสและคลอเคลียหลินเหราอย่างแผ่วเบา แต่ก็ยังมิวายปากแข็ง “ใครหวังให้ท่านกลับมาเร็วเพียงนั้น? ต้าเป่าอาศัยอยู่ในเมือง ท่านในฐานะผู้เป็นพ่อจะตัดใจปล่อยโดยไม่สนใจเขาได้หรือ?”
ยิ่งหลินเหราเห็นรอยยิ้มของเหยาซู ก็ยิ่งรู้สึกจั๊กจี้ในหัวใจ อยากจะให้ฟ้ามืดลงโดยเร็ว หากแต่ในเวลานี้แม้แต่เวลาอาหารมื้อค่ำก็ยังไม่ถึง
เขาพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ท่านน้าจะวางแผนให้อาจื้ออย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็โตแล้ว ไม่ต้องให้พ่อแม่คอยตามตลอดทุกเรื่องหรอก”
เหยาซูรู้ดี เรื่องการอบรมสั่งสอนเด็กทั้งสามคนจะรักจนตามใจมากเกินไปไม่ได้
แต่ในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลมีการเจริญก้าวหน้า การส่งเด็กที่โตเต็มวัยหรือลูก ๆ ที่กำลังจะโตในอนาคตออกไปร่ำเรียนหนังสือต่างถิ่น ยังมีพ่อแม่อีกเป็นจำนวนมากยอมเดินทางไกลหลายพันลี้เพื่อไปส่งพวกเขา
ตอนนี้อาจื้อยังเป็นแค่เด็กวัยประถมคนหนึ่ง แต่กลับสามารถจากบ้านไปร่ำเรียนหนังสือ เป็นธรรมดาที่นางจะกังวล
ในขณะที่ครุ่นคิด เหยาซูก็หันไปมองหลินเหรา “เราเคยคุยกันแล้วก่อนหน้านั้น ถ้าอาจื้อต้องไปเรียนหนังสือ เราจะต้องย้ายเข้าเมือง…”
หลินเหราพยักหน้า “ถ้าเจ้ายอม ก็ย่อมได้”
เดิมทีเหยาซูคิดเรื่องที่อาจื้อต้องไปเรียนในเมืองหลวงอยู่เสมอ อย่างน้อยก็น่าจะสักหนึ่งปีครึ่งหลังจากนั้น แต่คาดไม่ถึงว่าเซี่ยเชียนจะมาพาตัวเขาไปเร็วขนาดนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางควรจัดการกิจการในเมืองให้เรียบร้อย
ตอนนี้ร้านขายชาดกำลังไปได้สวย ลูกจ้างที่เดิมทีเป็นตัวแทนของเถ้าแก่ได้รับการฝึกฝนมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว สามารถอยู่หน้าร้านเพียงลำพังได้
เหยาซูกำลังคิดว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะให้เขาเลื่อนมาอยู่ในตำแหน่งผู้ดูแลร้าน มีส่วนแบ่งให้เขา เขาจะได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อร้านมากขึ้น
ในขณะที่หลินเหราและเหยาซูกำลังพูดถึงอนาคต เด็กทั้งสามคนที่นั่งอยู่ข้างกายก็กำลังพูดกันเจื้อยแจ้ว พูดในเรื่องที่ผู้ใหญ่ไม่ควรฟัง
ก่อนหน้านั้นที่เหยาเอ้อหลางหิ้วเนื้อหมูหนึ่งชิ้นกลับมาจากตลาด เขาเก็บความสงสัยไว้มากมาย รอจนมีโอกาสจึงได้เอ่ยถามอาจื้ออย่างเงียบ ๆ
“ต้าเป่า วันนี้ตอนที่ข้าไปร้านขายเนื้อ ข้าได้เจอกับหวังเทาด้วย! แขนของเขามีผ้าพันแผลแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นข้ากลับไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว หมุนตัวและเดินไปทันที นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
อาจื้อยิ้มเล็กน้อย แค่ถามกลับว่า “หวังเทาไม่มาหาเรื่องพี่รองแล้ว ไม่ดีหรือ?”
เหยาเอ้อหลางพยักหน้าอย่างสงสัย แต่ก็ยังคิดว่าไม่ชอบมาพากล “ต้าเป่า เจ้าไม่ได้พูดอะไรกับเขาหรอกใช่ไหม? วันนี้ตอนเช้าในตอนที่ข้าออกจากบ้านไป เจ้ายังบอกให้ข้าไม่ต้องกังวล เขาไม่มีทางมาหาเรื่องข้าได้อีก…”
อาซือที่กำลังเล่นม้าโยกตัวจิ๋วกับซานเป่าอยู่อีกด้าน ก็ผึ่งหูรอฟังเช่นกัน
อาจื้อไม่อยากพูดมากความ จึงพูดแค่ว่า “เรื่องในคราวที่แล้ว เขาไม่กล้าบอกผู้ใหญ่หรอก”
เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ “เจ้าขู่เขาหรือ?!”
เหยาเอ้อหลางเป็นเด็กโง่ นิสัยสืบซักถึงต้นตอทำให้เขาและเหยาเฉาไม่เหมือนกับในด้านนี้เลยแม้แต่น้อย
หากเป็นเหยาเฉา นับตั้งแต่ที่อาจื้อเริ่มเกริ่นก็สามารถเดาผลลัพธ์ของเรื่องราวได้ทั้งหมดแล้ว
อาจื้อแค่พูดยอมรับ “หลังจากนั้นก็พูดกับเขาแค่ไม่กี่ประโยค”
สีหน้าของเหยาเอ้อหลางดูแย่ลงจนยากจะพรรณนาออกมาไปชั่วขณะ
เขาลังเลอยู่เป็นเวลานาน สุดท้ายก็อดพูดไม่ได้ว่า “เดิมทีข้าตั้งใจจะปรึกษากับพี่ใหญ่ แต่ต้าเป่าจะต้องเดินทางพรุ่งนี้แล้ว ตอนนี้พี่ใหญ่ก็ยังไม่กลับมา…”
อาจื้อปรายตามองเขา อดทนรอประโยคต่อไปของเหยาเอ้อหลาง
เหยาเอ้อหลางไม่ได้มีนิสัยพูดครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาจึงฝืนพูดต่อว่า “ต้าเป่า ข้า…ข้าก็แค่คิดเท่านั้น ตอนที่เจ้าไปเมืองหลวงแล้ว เก็บมีดสั้นไว้ในบ้านได้หรือไม่?”
อาซือได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงมีด หูทั้งสองข้างจึงผึ่งตั้งในทันที พลางพูดหยอกล้อกับซานเป่าที่กำลังส่งเสียงอ้อแอ้อีกด้านเพื่อปกปิดท่าทีตัวเอง
อาจื้อถามญาติผู้พี่ว่า “เพราะเหตุใด?”
เหยาเอ้อหลางนึกถึงสีหน้าที่ดุร้ายในตอนที่อาจื้อใช้มีดขึ้นมาได้ จึงพูดอ้อมค้อมว่า “เจ้าพกมีดไปเมืองหลวง มันไม่ค่อยปลอดภัยกระมัง?”
อาจื้อไวต่อความรู้สึก เข้าใจคำพูดที่เขายังไม่พูดออกมาในทันที
เขาแค่พูดว่า “พกมีดติดตัวเพื่อป้องกันตัว”
อาจื้อแสดงสีหน้าสับสน “แต่… แต่นี่ นี่มันอาวุธสังหาร…”
อาจื้อเห็นเขาไม่ยอมง่าย ๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ จึงพูดอย่างจริงจังว่า “ที่ข้าใช้มีดในคราวที่แล้ว นั่นเพราะอาซือและเถิงเอ๋ออยู่ที่นั้นด้วย สองคนนั้น คนหนึ่งก็เด็กหญิง อีกคนก็มักป่วยบ่อย ๆ หากไม่ใช้มีดขู่หวังเทาและคนอื่น เราจะหลุดพ้นจากพวกเขาเร็วขนาดนั้นหรือไม่เล่า?”
เหยาเอ้อหลางครุ่นคิดอีกครั้ง รู้สึกว่าที่อาจื้อพูดก็มีเหตุผลจึงได้แต่สับสนจนพูดไม่ออก
อาจื้อยิ้มและพูดว่า “พี่รอง พี่อย่ากังวลเลย ข้ายับยั้งชั่งใจได้”
เดิมทีเหยาเอ้อหลางไม่ใช่ผู้ที่ชอบกังวล เมื่อเขาเห็นอาจื้อพูดเช่นนี้จึงทิ้งเรื่องนี้ไว้ด้านหลังทันที ซึ่งทำให้อาจื้อวางใจอย่างมาก
เขายังหัวเราะคิกคัก “ข้าไม่อยากจะบอกว่าการขู่เช่นนี้ของเจ้าก็มีประโยชน์มากทีเดียวนะ! วันนี้ตอนที่หวังเทาเจอข้า เขาทำท่าทางเหมือนกับเจอผี พ่อของเขาให้เขาช่วยชั่งเนื้อ เจ้านั่นไม่กล้ามองข้าแม้แต่ครั้งเดียว มือที่ถือคันชั่งก็สั่นริก ๆ”
อาจื้อส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางที่ไร้กังวลของเอ้อหลางแล้ว ก็รู้สึกว่าพี่รองปลอบง่ายกว่าน้องสาวของตนเป็นไหน ๆ
เด็ก ๆ ยังพูดคุยกันเจื้อยแจ้วอีกมากมาย อาจื้อรับปากว่าจะส่งของจากในเมืองหลวงมาให้อาซือและเหยาเอ้อหลาง และยังรับปากกับน้องสาวว่าจะเขียนจดหมายมาให้บ่อย ๆ ด้วย ในระหว่างนั้นท้องฟ้าก็มืดลงอย่างช้า ๆ
พลบค่ำเหยาซูเข้าครัวและรอเหยาเฉากลับบ้าน จึงตั้งใจทำอาหารเลี้ยงส่งหนึ่งมื้อให้กับพวกเขาสามคน ทั้งยังทำลายกฎด้วยการหยิบสุราดอกกุ้ยฮวาขนาดเล็กหนึ่งไหที่ฝังอยู่ใต้ต้นดอกท้อในลานบ้านออกมา
เมื่อทุกคนนั่งกันพร้อมหน้ากันแล้ว เหยาซูจึงยิ้มและพูดว่า “สุรานี้เป็นสุราหมักของฤดูหนาวปีที่แล้ว ตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่เดือน น่าจะพอดื่มได้ พี่รอง พี่ชิมสิ?”
ขณะที่พูด นางก็รินใส่จอกใบหนึ่งส่งให้เหยาเฉา
หลังจากที่เหยาเฉากลับมาจากจวนตรวจการ ก็ตรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อน ถึงค่อยมากินข้าวที่บ้านของเหยาซู
เขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาวสีเทาเข้ม ยิ่งขับผิวให้ขาวผ่องดุจหยกมากขึ้นไปอีก
ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม “สุราหมักของอาซู ต้องรสชาติดีแน่นอน”
เหยาซูเม้มปากยิ้ม
ทุกครั้งที่ถูกเหยาเฉาชื่นชม นางมักจะรู้สึกว่าในใจเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เบิกบานใจยิ่งนัก
จากนั้นเหยาซูก็รินให้หลินเหราและพูดกับเขาว่า “ท่านเองก็ไม่เคยดื่ม นี่เป็นสุราหมักที่ข้าใช้ดอกกุ้ยฮวาที่อยู่ในลานบ้านของท่านแม่เชียวนะ ลองชิมดูสิ”
สุดท้ายนางก็รินให้ตัวเองหนึ่งจอก
ทั้งสามคนชูจอกเหล้าขึ้นมา เหยาซูมองไปยังทั้งสองคนก่อนจะยิ้มและพูดว่า “พี่รอง อาเหรา จอกนี้เป็นการอวยพรขอให้พรุ่งนี้พวกท่านเดินทางอย่างราบรื่น ถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย”
เหยาเฉาและหลินเหรากระดกดื่มตรงหน้าอย่างไม่ลังเล พลันรู้สึกถึงความหอมหวานของดอกกุ้ยฮวาที่อบอวลอยู่ในปาก ไม่จางหายไปไหน
ดวงตาของเหยาเฉาเปล่างประกายทันใด “สุราดี!”
อุปนิสัยของเขาแตกต่างจากผู้อื่น ที่มักจะจิบสุราทีละน้อยเพื่อไว้หน้า เมื่อสุราจอกนี้ไหลลงท้องไป ใบหน้าที่ขาวเนียนของเหยาเฉาก็เริ่มแดงระเรื่อทันที
เหยาซูยิ้มก่อนหยิบไหสุราขนาดเล็กออกมา จากนั้นก็รินให้เขาอีกครั้ง “ก็ถ้าชอบ วันนี้พี่รองก็ดื่มเยอะอีกหน่อยสิ ดื่มให้เมาไปเสียเลย”
เด็ก ๆ ที่นั่งอยู่อีกด้าน ได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกกุ้ยฮวา จึงมองไปยังไหสุราในมือของเหยาซูตาไม่กะพริบ รู้สึกกระหายยิ่งนัก
เหยาเฉาเห็นท่าทางตะกละตะกลามเหมือนกับลูกหมาของเหยาเอ้อหลาง จึงหยิบจอกสุราของตัวเองยื่นไปตรงปากของเหยาเอ้อหลาง จากนั้นยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “สักคำไหม? อร่อยเชียวนะ”
ดวงตาของเหยาเอ้อหลางเปล่งประกายในทันใด แต่ปากกลับบุ้ยไปทางด้านหลัง เฝ้ารอคอยคำยืนยันกับเหยาเฉาอย่างคาดหวัง “ได้ ได้หรือไม่? ข้าดื่มสักคำได้หรือไม่ขอรับ?”
…………………………………………………………………………………………………
[1] ยามเหม่า ช่วงเวลาระหว่าง 05:00 น. – 07:00 น.
สารจากผู้แปล
สมกับเป็นตัวร้ายในนิยายต้นฉบับมากค่ะอาจื้อ ท่าทางเรียบเฉยหลังเอามีดแทงแขนคู่อรินี่มันอะไรกัน
พี่เฉากับเอ้อหลางจะเมากันทั้งพ่อทั้งลูกไหมเนี่ย สุราที่อาซูหมักรสแรงอยู่นะ
ไหหม่า(海馬)