ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 234 ได้ข่าวอะไรมาบ้าง
บทที่ 234 ได้ข่าวอะไรมาบ้าง?
บทที่ 234 ได้ข่าวอะไรมาบ้าง?
หลินเหราเอ่ยปฏิเสธ “ข้ามีเรื่องที่ต้องปรึกษากับลุงของเจ้า”
อาจื้อทำได้แค่พยักหน้า
หลินเหราเรียกฝูหย่าให้พาเขาไปยังเรือนของเหยาเฉา อาจื้อจึงถือโอกาสตามฝูลี่ออกไปเดินเล่นในจวนเซี่ย
ระหว่างที่เดินเล่นนั้น เด็กชายก็ได้เอ่ยถามสาวใช้ที่อยู่ข้างกายของตนว่า “พี่ฝูลี่ เหตุใดพี่และพี่ฝูหย่าถึงต้องแต่งตัวเหมือนกันล่ะ? ตอนแรกข้าแยกพวกพี่สองคนไม่ออกเลย”
ฝูลี่มีอายุราว ๆ สิบสองถึงสิบสามปี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาจื้อที่ยังเด็กกว่าตัวเอง จึงต้องใช้ความอดทนอย่างเต็มที่
นางตอบคำถามว่า “คนรับใช้ของจวนเซี่ยล้วนต้องแต่งกายเหมือนกัน พี่ฝูหย่าสูงกว่าข้าเล็กน้อย การพูดการจาก็อ่อนโยน ถ้านายน้อยได้เจอะเจอบ่อยขึ้นก็จะแยกเราสองคนได้เองเจ้าค่ะ”
อาจื้อยิ้มและพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าพี่ฝูลี่ก็อ่อนโยนเช่นกัน น้ำเสียงเหมือนกับนกขมิ้น ช่างไพเราะยิ่งนัก”
ฝูลี่ยังเป็นเด็กสาวแรกรุ่น ไฉนเลยจะไม่ชอบคนพูดจาไพเราะ?
ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้ม เผยให้เห็นลักยิ้มข้างเดียว
อาจื้อถามอีกว่า “ว่าแต่ที่พักของลุงรองไกลจากของเรามากหรือไม่?”
ฝูลี่รู้ว่าที่เขาเอ่ยถึงนั้นคือแขกที่ร่วมเดินทางมาด้วยอีกคน จึงตอบกลับว่า “ไม่ไกลเจ้าค่ะ ทะลุผ่านศาลาเล็กตรงหน้าไป นายน้อยอยากให้ฝูลี่พาไปหรือไม่เจ้าคะ?”
อาจื้อส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าแค่ถามดูน่ะ ท่านพ่อและท่านลุงมีเรื่องต้องคุยกัน ข้าไม่อยากไปรบกวน”
ฝูลี่ยิ้ม “นายน้อยช่างรู้ความยิ่งนัก”
อาจื้อเห็นนางแสดงกิริยานอบน้อมกับตัวเองมาตลอด จึงรู้สึกอัดอัดเล็กน้อย
แต่เพราะเขาเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก คงจะให้ผู้อื่นเปลี่ยนคำเรียกตัวเองเป็นคำอื่นไม่ได้ ทำได้แค่เก็บความไม่สบายใจนั้นไว้ภายใน
เขาถามอีกว่า “ปกติแล้วท่านปู่เซี่ยมักไม่ค่อยอยู่บ้านใช่หรือไม่? จวนเซี่ยใหญ่ถึงเพียงนี้ เราเดินกันตั้งนานแล้ว กลับไม่ค่อยเจอใครสักเท่าไร”
ฝูลี่ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจื้อและผู้เป็นนายของตน แต่ครั้นได้ยินเขาขานเรียกว่า ‘ท่านปู่เซี่ย’ จึงได้เปิดเผยเล็กน้อยว่า “คนรับใช้ในจวนมีไม่มากนัก เพราะนายท่านชอบอยู่อย่างสงบ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็เข้ามาอยู่ในจวนนานถึงเพียงนี้ นายน้อยกลับเป็นแขกกลุ่มแรกที่ได้มาเยือนที่นี่”
อาจื้อตื่นตกใจไปชั่วขณะ ครั้นนึกได้ว่าเซี่ยเชียนมีนิสัยไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ในใจจึงได้คิดว่ามันก็ควรต้องเป็นเช่นนี้
เขาอดทอดถอนใจไม่ได้ “ท่านปู่เซี่ยช่างเหมือนกับฤๅษียิ่งนัก….”
ฝูลี่พาอาจื้อเดินเล่นในลานด้านหลังอยู่เนิ่นนาน แต่ก็ยังเดินชมไม่ทั่วจวนเซี่ย
อาจื้อไม่เคยเห็นจวนที่ใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน ภูเขาปลอมในสระน้ำ ระเบียงที่เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า ภาพลักษณ์อันงดงามวิจิตรและไม่เป็นสองรองใครที่แสดงให้เห็นอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่กลับดูเหมือนสิ่งของประดับบ้านที่งดงามเท่านั้น ไม่ได้ดูมีชีวิตชีวาจริง ๆ สักเท่าใด
เขาเพิ่งได้เข้าใจ ที่บิดาและมารดาของตนเคยบอกว่าท่านปู่เซี่ยชอบปลีกวิเวกออกจากโลกภายนอกหมายความว่าอย่างไร
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเชียนอยู่ในจวนที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ แต่ข้างกายกลับล้อมรอบด้วยคนรับใช้ที่มักจะอยู่อย่างเงียบเชียบ เดินด้วยฝีเท้าที่เบากริบ ทุกคนต่างรู้ว่าเขาชอบความสงบ ไม่มีใครกล้าที่จะรบกวนความเป็นส่วนตัวของเขา
อาจื้อพลันคิดขึ้นว่า ‘ที่ท่านพ่อเห็นด้วยให้ข้าจะอยู่ที่นี่กับท่านปู่เซี่ย เพราะไม่อยากให้เขาโดดเดี่ยวเพียงลำพังใช่หรือไม่?’
เขาเคยได้ยินเซี่ยเชียนเอ่ยถึงเซี่ยเหยา ยามที่เอ่ยถึงพี่สาว ใบหน้าของเซี่ยเชียนดูน่าสงสารอย่างเห็นได้ชัด
อาจื้อคิดว่า บางทีเซี่ยเชียนอาจจะเป็นกังวลต่อโลกใบนี้
อย่างน้อยเขาก็เคยพูดว่าอาซือและท่านย่านั้นเหมือนกันมาก
มีเด็ก ๆ อย่างพวกเขา และมีท่านพ่อผู้เป็นญาติเพียงคนเดียว ท่านปู่เซี่ยคงไม่มีทางโดดเดี่ยวเช่นนั้นอีกแล้ว
จนฝูลี่พาอาจื้อกลับเรือนเล็ก หลินเหราก็ยังไม่กลับมา
อาจื้อพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพี่ฝูลี่ไม่มีธุระอะไร อยู่คุยเป็นเพื่อนข้าอีกหน่อยได้หรือไม่? ท่านพ่อและท่านปู่เซี่ยไม่ชอบพูดเหมือนกัน แต่ข้านั้นชอบพูดคุยมาก”
ฝูลี่ยิ้มบาง “ย่อมได้แน่นอน นายน้อยอยากคุยเรื่องอะไรเจ้าคะ?”
อาจื้อต้องเดินทางอย่างอดทนนานถึงสี่วัน นั่งอยู่บนหลังม้าที่มีลมปะทะอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่เขาจะพูดกับหลินเหรา เป็นต้องตะโกนสุดเสียงทุกที
เพราะเช่นนี้ หลินเหราจึงไม่ค่อยตอบเขา
เด็กชายเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ปฏิเสธ จึงเอ่ยถามว่า “พี่ฝูลี่เข้ามาอยู่ในจวนเซี่ยตั้งแต่เมื่อใดหรือ?”
ฝูลี่เห็นเขามีท่าทางอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็ก จึงตอบอย่างละเอียดว่า “ข้าและพี่ฝูหย่า และพี่สาวอีกสองคนที่นายน้อยเจอยามมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ต่างก็เข้ามาในจวนเซี่ยเมื่อสี่ปีก่อน”
อาจื้อกะพริบตาปริบ ๆ และพูดด้วยความอยากรู้ว่า “อยู่ในจวนเซี่ยมาสี่ปีแล้ว…ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ?”
ฝูลี่ยิ้ม “กินอิ่ม ใส่เสื้อผ้าอุ่น นายท่านเองก็ไม่ได้มีนิสัยดุด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง ยังไม่ทันได้ดีใจ ไฉนเลยจะรู้สึกเบื่อได้เล่าเจ้าคะ?”
ครั้นอาจื้อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็เดาได้ว่าคนรับใช้เหล่านี้คงจะเคยลำบากมาก่อน บางทีอาจเพราะครอบครัวยากจน จึงได้มาเป็นทาส มาเป็นคนรับใช้ในตระกูลเซี่ย
เขาสอบถามเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็เปลี่ยนคำถาม “เหตุใดชื่อของพวกพี่ถึงได้มีคำว่า ‘ฝู’ นำหน้าหรือ?”
ในที่สุดฝูลี่ก็ถูกถามคำถามนี้ นางส่ายหน้า “ชื่อนี้เป็นชื่อที่นายท่านตั้งให้ตั้งแต่วันแรก พวกเราเองก็ไม่ทราบ ถ้ามีเหตุผลอะไร คิดว่าใต้เท้าหมิงน่าจะรู้ชัดเจนที่สุดเจ้าค่ะ”
ครั้นเห็นอาจื้อไม่เข้าใจ ฝูลี่จึงอธิบายเพิ่มว่า “ใต้เท้าหมิงเป็นพ่อบ้านในจวนแห่งนี้ นับตั้งแต่ออกจากวังมา ก็มักจะคอยติดตามนายท่านเซี่ยมาตลอด ดูแลทุกอย่างในจวน ในจวนแห่งนี้ไม่มีนายหญิง ส่วนนายท่านเองก็ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิม พวกเราล้วนเป็นคนที่พ่อบ้านซื้อตัวมาเจ้าค่ะ”
เด็กผู้ชายพยักหน้า แสดงออกว่าตนเข้าใจ
เขาพูดขึ้นว่า “ที่ซักถามชื่อของพวกพี่นั้นเพราะรู้สึกว่าพวกพี่ ๆ ช่างงดงามกันยิ่งนัก งดงามเหมือนกับดอกพุดตาน มิน่าละถึงได้มีคำว่า ‘ฝู’ [1] นำหน้าชื่อ”
ฝูลี่ยิ้มจนเห็นลักยิ้มอีกครั้ง “ในบรรดาพวกเรามีแค่พี่ฝูฉวีเท่านั้นที่เพิ่งมาใหม่ได้ไม่นาน ฝ่าบาทพระราชทานให้มาคอยติดตามปรนนิบัติรับใช้นายท่าน นางต่างหากที่งดงาม!”
อาจื้ออ่านหนังสือทั่วไปมาไม่น้อย ประกอบกับที่น้องสาวชอบอ่านบทละครพื้นบ้าน ในสมองของเขาจึงมักมีความรู้แปลกใหม่อยู่เสมอ
สำหรับเขาแล้ว ‘สาวใช้ข้างกาย’ โดยทั่วไปคือคนที่ครวบครัวใหญ่มักจะรับตัวมาไว้ในบ้าน ทั้งยังสวยไม่น้อยอีกด้วย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่เย็นชาอย่างท่านปู่เซี่ยนั้น จะต้องการสาวใช้ข้างกายด้วยหรือ?
เขาไม่มีทางถามต่อหน้าเด็กหญิงแน่นอน จึงได้แต่ยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าพี่ฝูลี่ก็งดงามมากเช่นกัน”
ครั้นเอ่ยถึงฝูลี่ก็รู้สึกเขินไม่น้อย ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ ก่อนจะพูดว่า “นายน้อยก็ช่างขบขันยิ่งนักเจ้าค่ะ”
แม้ว่าเด็กสาวเหล่านี้จะเป็นทาสรับใช้ แต่อาจื้อก็ไม่ได้เห็นฝูลี่และคนอื่นเป็นคนที่ต้อยต่ำกว่าแต่อย่างใด เขาพูดอย่างจริงจังว่า “พี่ฝูลี่ ข้ามีแซ่ว่า ‘หลิน’ มีนามว่า ‘จื้อ’ อีกสองเดือนจะอายุครบแปดปีแล้ว ถ้าไม่เป็นการทำลายกฎระเบียบละก็ พี่เรียกข้าว่าอาจื้อก็ได้”
ฝูลี่ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยอาจื้อช่างใจดียิ่งนัก”
เด็กชายชอบเรื่องราวที่ดีเสมอ แม้ว่าฝูลี่จะโตกว่าเขาเล็กน้อย แต่นิสัยช่างอ่อนโยนมาก ทำให้อาจื้อคิดถึงน้องสาว
อาซือน่ารักน่าชังแบบนี้เช่นกัน ทั้งยังพูดจาอ่อนหวาน
เขาพูดกับฝูลี่ด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามีน้องสาวอยู่หนึ่งคน เด็กกว่าข้าสามปี วันข้างหน้าถ้านางมาเมืองหลวง ข้าจะแนะนำให้พวกพี่สองคนได้รู้จัก พี่ฝูลี่ชอบนกหรือไม่? ข้าอยากซื้อมาเลี้ยงสักตัว เก็บไว้ให้นางในวันข้างหน้า”
ฝูลี่เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นชอบหรือไม่ นางเองก็ไม่เคยเลี้ยงนกมาก่อน จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยมีความอดทนและละเอียดอ่อน หากเลี้ยงนกจะต้องเลี้ยงได้เป็นอย่างดีแน่นอน”
ยามราตรี บรรดาแขกต่างก็พากันไปกินข้าวกับผู้เป็นนายของบ้านในห้องโถงด้านหน้า เซี่ยหมิงเรียกคนรับใช้ไปรวมกลุ่มกันอีกด้าน แล้วมอบหมายหน้าที่เพียงสั้น ๆ “แขกที่พักอยู่ในสวนไผ่วันนี้นั้นคือหลานชายแท้ ๆ ของนายท่าน ฝูหย่า ฝูลี่ดูแลอย่างระมัดระวังด้วย”
ทั้งสองคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียง “เจ้าค่ะ”
ใบหน้าของฝูลี่ไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับประหลาดใจไม่น้อย
นายน้อยอาจื้อเรียกนายท่านว่า ‘ท่านปู่เซี่ย’ ที่แท้ก็เป็นสายเลือดที่หลงเหลือของตระกูลเซี่ยงั้นเหรอ? มิน่าเล่าจวนเซี่ยที่ไม่เคยต้อนรับแขกมาก่อน กลับให้คนภายนอกเข้ามาพักในวันนี้
กระทั่งได้ยินเซี่ยหมิงกำชับอีกว่า “พรุ่งนี้ตอนเช้านายท่านจะต้องออกว่าราชกิจ จากนั้นจะมีคนในวังมาพาแขกทั้งสองที่พักอยู่ในสวนไผ่และเรือนกล้วยไม้เข้าวัง ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะต้องละเอียดสักหน่อย จะให้แขกเกิดอะไรขึ้นในจวนของเราไม่ได้”
ทุกคนตอบรับ เซี่ยหมิงให้พวกเขาแยกย้ายกันไป
ครั้นเห็นเซี่ยหมิงหมุนตัวและเดินไปยังห้องโถงด้านหน้า ฝูลี่ก็เดินมาตรงหน้าของฝูหย่า และเอ่ยถามนางเบา ๆ ว่า “พี่ฝูหย่า ที่ใต้เท้าหมิงพูดเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่? นายท่านตามหาทายาทที่เหลืออยู่ของคุณหนูเจอแล้วอย่างนั้นหรือ? คุณหนูผู้นั้นเล่า เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินข่าวคราวของนางเลยเล่า?”
ฝูหย่าส่ายหน้า และพูดเสียงต่ำว่า “นายท่านตามหาคุณหนูมานานหลายปี บัดนี้เจอแค่สายเลือดของคุณหนู….เกรงว่านางอาจจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วก็ได้….”
ฝูลี่ยังอายุน้อยนัก จึงอุทาน “อ่า” เบา ๆ และไม่พูดสิ่งใดอีก
เหล่าสาวใช้ต้องสอบถามเรื่องราวมากมายด้วยตัวเอง ไฉนเลยจะรอให้นายท่านมาบอกพวกนาง กระทั่งได้ยินฝูหย่าถามว่า “วันนี้เจ้าพานายน้อยไปเดินเล่นในสวนอยู่นานสองนานไม่ใช่เหรอ ได้ข่าวอะไรมาบ้างเล่า?”
………………………………………………………………………………………………..
[1] ฝู ( 芙 ) มาจากคำว่าฝูหรง ( 芙蓉 ) แปลว่า ดอกพุดตาน
สารจากผู้แปล
ทักษะการเข้าสังคมของอาจื้อก็ถือว่าใช้ได้ทีเดียวนะคะ
ไหหม่า(海馬)