ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 236 เห็นเจ้าเป็นพี่น้องมาโดยตลอด
บทที่ 236 เห็นเจ้าเป็นพี่น้องมาโดยตลอด
บทที่ 236 เห็นเจ้าเป็นพี่น้องมาโดยตลอด
เซี่ยเชียนเอ่ยเสียงราบเรียบ “ทักษะพื้นฐานต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่องวันละสองชั่วยามทุกวัน ส่วนรูปแบบตัวอักษรจะต้องหมั่นคัดลายมือ ทำแบบนี้เป็นเวลาสามถึงห้าปี จึงจะประสบความสำเร็จ”
อาจื้ออดประหลาดใจไม่ได้…แค่ทักษะพื้นฐาน ต้องฝึกฝนวันละสองชั่วยาม! [1] ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการคัดลายมือ!
เด็กชายเอ่ยถามอย่างหมดแรง “ตัวอักษรของท่านปู่เซี่ย ต้องฝึกเขียนแบบนี้ตั้งแต่เด็กเลยหรือขอรับ?”
เซี่ยเชียนพยักหน้า ในขณะที่กำลังยืนอยู่ตำแหน่งเดิม
ยามที่อาจื้อกำลังมองเซี่ยเชียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความศรัทธานั้น ในใจของฝูฉวีที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างมาตลอดนั้นไม่ได้สงบแต่อย่างใด
นับตั้งแต่ที่นางเข้ามาอยู่ในจวน แม้จะบอกว่าเป็นสาวใช้ข้างกายของนายท่าน แต่เรื่องที่ต้องทำเป็นประจำกลับเป็นการฝนหมึกให้เซี่ยเชียน
ฝูฉวีไม่เข้าใจ นางมักจะไม่เข้าใจที่นายท่านเอาแต่เขียนตัวอักษรโดยไม่ปริปากพูด และไม่กินอะไรเป็นเวลาสองชั่วยาม
ทุกครั้งที่นายท่านเขียนเสร็จ ฝูฉวีรู้สึกว่าแขนของตนล้วนยกแทบไม่ขึ้น ขาก็ปวดเมื่อยไปหมด
ที่แท้ตัวอักษรของนายท่านที่ถูกเขียนออกมาอย่างงดงามจนแม้แต่ฝ่าบาทก็ยังออกปากตรัสชม เป็นเพราะเขาฝึกฝนเช่นนี้ทุกวันนี่เอง
เช่นนี้…. ที่นางยืนฝนหมึกอยู่ข้างกาย ความจริงแล้วก็เพื่อช่วยนายท่านสินะ?
คิดได้เช่นนี้ ในใจฝูฉวีก็รู้สึกปีติไม่น้อย เรื่องการฝนหมึกจะไม่เป็นเพียงแค่ภาระที่ต้องแบกรับอีกแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกคาดหวังอยู่กลาย ๆ
หลังจากที่เซี่ยเชียนชี้แนะให้อาจื้อแล้ว ก็ลุกขึ้นและกลับเข้าไปในห้องนอน ทิ้งฝูฉวีไว้ข้างกายของอาจื้อ
เด็กชายยังคงยืนอยู่หน้าโต๊ะ มือขวาจับพู่กันอย่างมั่นคง คล้ายกับไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อยก็มิปาน ยังคงเขียนประโยคเมื่อครู่บนกระดาษซวนจื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กระทั่งกระดาษซวนจื่อหนึ่งแผ่นถูกเขียนจนเต็ม เขาจึงได้เงยหน้าขึ้น และถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
อาจื้อวางพู่กันลง จากนั้นก็มองตัวอักษรบนกระดาษซวนจื่ออย่างละเอียด สุดท้ายก็พึมพำออกมา “ขนาดยังไม่ค่อยเหมือนกัน ช่องไฟดีขึ้นไม่น้อย ….เหตุใดยิ่งเขียน กลับยิ่งรู้สึกไม่พอใจล่ะ?”
ฝูฉวียืนมองอยู่ข้างกายเนิ่นนาน จึงอดพูดเสียงเบาไม่ได้ “นายน้อยมักเขียนตัวอักษรค่อนข้างใหญ่ ตอนนี้กลับดูเล็กลง ส่วนตัวอักษรที่เดิมทีเล็กอยู่แล้ว ก็ดูใหญ่ขึ้น”
อาจื้อตื่นตกใจ คล้ายกับเพิ่งตระหนักได้ว่ามีคนอยู่ข้างกายของตัวเอง จึงพูดขึ้น “อ่า! พี่สาวยังอยู่!”
เขาสังเกตตามวิธีการของฝูฉวี ด้วยการมองประโยคที่ตัวเองเขียนซ้ำแล้วซ้ำเล่านับไม่ถ้วนอย่างละเอียด ในที่สุดก็มองเห็นถึงปัญหา
จากนั้นเขาจึงหยิบพู่กัน และเขียนลงบนกระดาษซวนจื่อที่ว่างเปล่าอีกแผ่นหนึ่งรอบ ครั้งนี้ดูงดงามอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
เด็กชายหันกลับไปยิ้มให้ฝูฉวี “เขียนตั้งหลายรอบ กลับแยกข้อแตกต่างในตัวอักษรเหล่านี้ไม่ได้ ต้องขอบคุณสายตาอันหลักแหลมของพี่สาวจริง ๆ มิเช่นนั้นข้ายังก็ไม่เห็นถึงข้อบกพร่องของตนเอง”
ฝูฉวีรีบพูดขึ้น “มิบังอาจ” และพูดอีกว่า “รบกวนนายน้อยแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะเจ้าคะ”
อาจื้อนวดข้อมือที่ปวดเมื่อย พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รบกวนที่ไหนกัน? ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณพี่สาวเลย”
ครั้นฝูฉวีเห็นเขาพูดด้วยความจริงใจ และเพราะอาจื้อมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับผู้เป็นนายของตน ความรู้สึกที่อยากใกล้ชิดเด็กชายตรงหน้าจึงเพิ่มขึ้นอย่างอดไม่ได้
หญิงสาวยิ้มบางเบาและพูดว่า “ไม่รบกวนนายน้อยก็ดีเจ้าค่ะ”
อาจื้อคิดในใจ ‘มิน่าล่ะพี่ฝูลี่ถึงได้บอกว่าฝูฉวีนั้นงดงามยิ่งกว่า นางยิ้มทีไรเหมือนกับดอกไม้ที่เริ่มผลิบาน ช่างงดงามยิ่งนัก’
เด็กชายไม่ได้ต้องการหมึกฝนมากนัก เขาฝึกเขียนอีกครู่หนึ่ง ก็เริ่มหยิบพู่กันเขียนจดหมายถึงครอบครัว
กระทั่งดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือยอดต้นหลิว ในตอนที่ฝูลี่เข้ามาตามเขา อาจื้อก็เก็บพู่กันพอดี
เขาผึ่งกระดาษที่เขียนจนเต็มเหล่านั้น หลังจากเริ่มแห้งได้ที่แล้ว ก็พับซ้อนกันอย่างประณีต
วันที่สองอาจื้อยังคงหลับใหล เซี่ยหมิงพ่อบ้านของจวนส่งคนม้าไปยังเมืองชิงถงโดยเร็ว เพื่อส่งจดหมายให้แก่นายน้อยหลิน
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ส่งหลินเหราและคนอื่น ๆ เรียบร้อยแล้ว เหยาซูก็ยุ่งตัวเป็นเกลียวติดต่อกันอยู่หลายวัน
ในเมื่อวางแผนกันว่าจะย้ายไปอยู่ในเมืองหลวง นางจึงต้องฝากฝังกิจการในเมืองชิงถงโดยเร็วที่สุด ลูกจ้างที่เดิมทีอยู่ในร้านขายผ้าได้เข้ามาช่วยดูร้านขายชาด เหยาซูหาโอกาส แต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการร้านอย่างเป็นทางการ
ครั้นมอบหมายให้คนที่สนิทคุ้นเคยดูแลร้านขายชาดแล้ว เหยาซูก็วางใจ
ตอนนี้สินค้าที่มีจำหน่ายอยู่ในร้านขายชาด ทั้งหมดล้วนเป็นสินค้าที่เหยาซูเตรียมเองกับมือ สูตรนั้นไม่ยาก แค่ต้องหาคนที่เหมาะสมมาทำต่อ เรื่องนี้จึงค่อนข้างยุ่งยาก
นางกำลังเป็นกังวลกับเรื่องนี้ พอเช้าวันต่อมา ฮูหยินเจี่ยงก็พาเถิงเอ๋อมาเยือน และช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้พอดี
เถิงเอ๋อลงจากรถม้าและวิ่งมาหาอาซือที่รอรับเขาอยู่หน้าประตูด้วยความตื่นเต้นดีใจ เด็กทั้งสองคนชอบพุดคุยกัน
เหยาซูจูงมือของเจี่ยงฉีมาอีกด้าน เพื่อถามว่าเถิงเอ๋อว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เจี่ยงฉีจัดระเบียบชายเสื้อ ก่อนจะพูดกับเหยาซูด้วยรอยยิ้มว่า “แม้ว่าจะมีไข้สูงในสองคืนแรก แต่พอวันที่สามก็ดีขึ้น แต่ข้าไม่อยากให้เขาออกจากบ้าน ขังเขาไว้ในบ้านหนึ่งวันเต็ม เพิ่งได้มาส่งตอนนี้”
เหยาซูเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางไม่เหมือนกับถูกบีบบังคับ สีหน้าจึงได้ผ่อนคลายลงมากทีเดียว
ทุกคนพากันเข้าไปในห้อง
เมื่อเถิงเอ๋อถามอาซือว่าพี่อาจื้อไปไหน อาซือจึงตอบอย่างหดหู่ใจว่า “ท่านพี่ตามท่านพ่อเข้าเมืองหลวงไปแล้ว…”
เจี่ยงฉีไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ จึงได้หันหน้าไปมองเหยาซู “ไปเมืองหลวง?”
เหยาซูพาเจี่ยงฉีเข้าไปในห้อง รินน้ำชา แล้วเล่าให้นางฟังอย่างละเอียด “วันก่อนที่พี่ให้คนนำจดหมายมาส่ง บอกว่าเถิงเอ๋อมีไข้ หลังจากคนส่งจดหมายกลับไปก็ได้ยินว่ามีพระราชโองการมาถึงจวนตรวจการ…ต้องการให้อาเหราและพี่รองของข้าไปเข้าเฝ้าในเมือง”
เจี่ยงฉีตื่นตกใจ
เข้าเฝ้าในเมืองหลวง ต้องได้รับเกียรติถึงเพียงไหน? อย่าว่าแต่ถล่มรังโจรบนภูเขาเลย แค่จับโจรที่อยู่รอบเมืองให้สิ้นซากได้ ก็ได้รับคุณงามความดีแล้ว แม้ทางราชสำนักจะปูนบำเหน็จรางวัลชมเชยแก่ขุนนางเป็นอย่างดี แต่ไม่เคยได้ยินว่าจะมีผู้ใดได้เข้าวังไปยลโฉมพระพักตร์ของฝ่าบาทสักคนเดียว
เจี่ยงฉีพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “อาซู อาเหราของเจ้าไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ! ครั้นมีโชคชะตาเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าครั้งนี้องค์จักรพรรดิจะพระราชทานรางวัลอะไรให้ เส้นทางขุนนางของอาเหราได้รับการปูทางไว้เรียบร้อยแล้ว”
ในตระกูลของเจี่ยงฉีมีคนดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง ระดับความตื่นตัวในด้านนี้จึงดีกว่าเหยาซูไม่น้อย
เหยาซูครุ่นคิดคำพูดของเจี่ยงฉี ก่อนจะยิ้มบางเบาและพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้ ก็ดีน่ะสิ”
ด้านหนึ่งเจี่ยงฉีก็ดีใจแทนเหยาซู อีกด้านหนึ่งก็พูดกับนางว่า “วันข้างหน้ารอให้อาเหราเข้าเมืองหลวง ดำรงตำแหน่งชุนนางชั้นสูง เจ้าจะถูกแต่งตั้งเป็น ‘เก้ามิ่ง [2]’ ข้าจะได้เป็นสหายคนสนิทของฮูหยินเก้ามิ่ง! พูดออกไปคนอื่นจะต้องอิจฉาข้าแน่! อาซู ถึงตอนนั้นข้าคงต้องขอพึ่งบารมีของเจ้าแล้วล่ะ”
เหยาซูขบขันกับการหยอกล้อของนาง จึงหัวเราะพลางพูดว่า “ในอดีตข้าก็เคยเป็นสหายของฮูหยินนายอำเภอมาก่อนเชียว ไม่ทราบว่าเราควรจะพึ่งบารมีใครกันแน่”
ทั้งสองคนพูดหยอกเย้ากัน จากนั้นเจี่ยงฉีก็เอ่ยถามว่า “อาจื้อเล่า? เหตุใดเขาถึงตามเข้าเมืองไปด้วย?”
เหยาซูเล่าเรื่องที่เซี่ยเชียนจะพาอาจื้อเข้าไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาให้ฟังหนึ่งรอบ เพียงแต่เรื่องนี้ยังไม่แน่ใจ นางเองก็ไม่ได้เล่ารายละเอียด
แค่บอกว่าวันข้างหน้าถ้าอาจื้อตัดสินใจเรื่องเรียนได้ พวกเขาจะย้ายไปอยู่ในเมืองหลวง
เจี่ยงฉีจึงได้เอ่ยอย่างนึกอาวรณ์ “ตั้งหลายปี ไม่ง่ายเลยนะที่จะได้เจอกับคนที่มีอารมณ์และนิสัยเหมือนกับข้า อาซูเจ้าจะไปแล้วหรือ?”
เหยาซูรีบโบกมือทันที “ไฉนเลนจะรีบร้อนไปเช่นนั้น! เรื่องยังไม่มีมูลแน่ชัด แค่วางแผนไว้ก่อนเท่านั้น อีกอย่างกิจการร้านค้าของข้าก็ยังหาผู้ช่วยที่เหมาะสมไม่ได้…”
แม้ว่าเจี่ยงฉีจะเป็นบุตรสาวตระกูลขุนนาง แต่กลับเข้าใจเรื่องการทำกิจการไม่น้อย จึงเอ่ยปากว่า “ร้านค้าของเจ้าไม่ใหญ่นัก ให้เถ้าแก่ร้านจัดการไปก็ได้ ค่อยแบ่งเงินปันผลให้เขาทุกปี แค่นี้เขาก็สบายมากพอแล้ว”
เหยาซูพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่สูตรของสินค้าทุกตัวภายในร้านอยู่ในมือของข้า ต่อไปข้าก็คงจะถือไว้ตลอดไม่ได้ จะให้อยู่ที่ไหนก็ทำที่นั่นหรือ?”
เจี่ยงฉีเฉลียวฉลาดมาก พริบตาเดียวก็เข้าใจปัญหาในตอนนี้ของเหยาซู “สินค้าจำพวกชาดล้วนเป็นงานฝีมือ เจ้าเองก็คงจะทำเองตลอดเวลาไม่ได้ … ตอนนี้สิ่งที่เจ้าขาด คือคนที่ไว้ใจได้ รักษาสูตรของทางร้านได้ ในเวลาเดียวกันก็ทำสินค้าที่ได้มาตรฐานออกมาด้วย”
เหยาซูยิ้มแก้มปริ “พูดกับพี่เจี่ยงทีไรสบายใจทุกที”
เจี่ยงฉีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ปัญหาเล็กน้อย ตระกูลเจี่ยงได้ทำสัญญากับคนที่ยอมผันตัวเป็นข้ารับใช้ไว้มากมาย แค่เลือกคนที่มีไหวพริบดีสักคน จากนั้นเจ้าก็เอาสูตรให้นาง อยากทำอะไร มากแค่ไหนก็ให้นางทำ มันยากตรงไหน?”
เหยาซูนิ่งอึ้งไป “เช่นนี้ก็ได้หรือ?”
ยากที่จะได้เห็นเหยาซูผู้มีไหวพริบดีจะแสดงสีหน้าเช่นนี้ ช่างน่ารักยิ่งนัก
เจี่ยงฉีบีบจมูกของนางเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้แน่นอน เหตุใดจะไม่ได้เล่า? คนรับใช้ของตระกูลข้ามีสัญญาทาสอยู่ในมือ คงจะกล้าขโมยสูตรไม่ได้หรอก? ถ้าเจ้าไม่วางใจ ก็เลือกลูกหลานของพวกทาส ที่มีพ่อแม่อยู่ในจวนเจี่ยง คนพวกนั้นย่อมซื่อสัตย์แน่นอน”
สมองของเหยาซูเกิดความสับสน
ในยุคสมัยนี้นางมีความได้เปรียบไม่น้อย คนอื่นล้วนชื่นชมกับความคิดในการทำกิจการหลากหลายรูปแบบซึ่งผุดออกมาอย่างไม่ขาดสายของนางต่อเนื่อง แต่เหยาซูไม่ใช่คนโบราณโดยกำเนิด มีหลายครั้งที่นางเองก็จนปัญญากับการใช้ความคิดของคนโบราณมาจัดการเรื่องราว
ในสายตาของเจี่ยงฉี คนรับใช้ล้วนเป็นสมบัติของตระกูลตน มีหลายครั้งที่ต้องใช้ประโยชน์จากสมบัตินั้น
เหยาซูครุ่นคิดอย่างละเอียด และพูดกับเจี่ยงฉีว่า “หากรบกวนคนในบ้านของพี่เจี่ยงได้ ก็จะช่วยข้าได้เยอะเลย”
เจี่ยงฉียิ้ม “จะเกรงใจข้าด้วยเหตุใดกัน? เรื่องเล็กแค่นี้เอง”
เหยาซูมองเข้าไปในดวงตาของเจี่ยงฉี และพูดอย่างจริงจังว่า “กิจการในเมืองแห่งนี้เดิมทีไม่ได้อยู่ในสายตาของพี่เจี่ยง แต่ร้านนี้ถือว่าเป็นก้าวแรกในการทำกิจการของข้า มันมีความหมายมาก พี่เจี่ยงช่วยข้า ข้าก็ต้องขอบคุณพี่”
เจี่ยงฉีไม่ได้มีนิสัยเยิ่นเย้อ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พรุ่งนี้ข้าจะพาคนของที่บ้านมาที่นี่ เจ้าสอนงานแค่สองสามวัน ถ้าเรียนรู้ได้เร็ว ต่อไปก็เป็นคนของเหยาซู”
ครั้นเหยาซูได้ยินว่านางจะยกคนรับใช้ผู้นั้นให้ตัวเอง ก็รีบโบกมือทันที “ไม่ต้องขนาดนั้น! พี่เจี่ยงให้คนของตัวเอง ข้ายังคิดจะแบ่งเงินปันผลให้อยู่เลย ไฉนเลยจะเอาเปรียบท่านได้? คนของตระกูลเจี่ยง อย่างไรก็เป็นของตระกูลเจี่ยง”
เจี่ยงฉีพูดด้วยความตื่นตกใจ “สัญญาทาสไม่อยู่ในมือ เจ้าไม่กลัวว่าเด็กคนนั้นจะแอบขโมยสูตรมาให้ตระกูลเจี่ยงของเราหรอกหรือ?”
เหยาซูยิ้ม “ข้าเชื่อใจพี่เจี่ยง ท่านไม่ทำแน่นอน อีกอย่างพี่เจี่ยงเป็นใคร ไฉยเลยจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”
เจี่ยงฉีมองไปทางเหยาซูอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นเห็นนางยังมีสายตาหนักแน่น สุดท้ายตัวเองต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง
หญิงสาวใช้นิ้วชี้ที่ขาวเนียนดุจหยกดีดหน้าผากของเหยาซู และพูดอย่างจนใจว่า “เจ้าเนี่ยนะ! มีนิสัยเชื่อผู้อื่นง่ายนัก ข้าไม่วางใจให้เจ้าไปอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมอย่างเมืองหลวงเลยจริง ๆ ”
เหยาซูรู้สึกถึงความเจ็บ จนต้องปิดหน้าผากหลบหลีกนาง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ได้เชื่อในคนอื่นง่ายเสียหน่อย พี่เจี่ยงเป็นคนอื่นหรืออย่างไร?”
ประโยคง่าย ๆ เช่นนี้ กลับทำให้เจี่ยงฉีเกิดอาการปั่นป่วนในจิตใจ
นางช่วยเหยาซูแก้ไขเรื่องสูตร โดยไม่หวังให้เหยาซูต้องกลับมาตอบแทน
นับตั้งแต่ที่รู้จักกับเหยาซูมา นางซึมซับสิ่งแวดล้อมภายนอกจนเปลี่ยนไปมากทีเดียว
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องสามีภรรยา เหยาซูช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่หลวงให้กับตระกูลเหยาในเวลาต่อมา ทั้งยังพาให้เถิงเอ๋อร่าเริงและแข็งแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
เจี่ยงฉีรู้สึกว่าตัวเองน่าจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเหยาซูบ้าง ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจอย่างหนึ่ง แต่เหยาซูกลับเห็นนางเป็นคนของตัวเอง เป็นพี่น้องด้วยใจจริง
เจี่ยงฉีซาบซึ้งอยู่ในใจ ครั้นเห็นสายตาของเหยาซูอ่อนโยนลงมากแล้ว จึงพูดคำสัญญาที่อยู่ในใจออกไปเบา ๆ “อาซู ข้าเองก็เห็นเจ้าเป็นพี่น้องของตัวเองมาโดยตลอด”
จู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง เหยาซูรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากล….
……………………………………………………………………………………………….
[1] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง ดังนั้น 2 ชั่วยาม = 4 ชั่วโมง
[2] เก้ามิ่ง ( 诰命 ) แปลว่า พระบัญชาขององค์ที่จักรพรรดิที่มีให้ขุนนาง และ สตรีที่ได้รับการแต่งตั้งยศ/บรรดาศักดิ์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
สารจากผู้แปล
บรรยากาศไม่ชอบมาพากลนี่หมายความว่ายังไงคะ พี่เจี่ยงมีอะไรในใจจะพูดเหรอ
ไหหม่า(海馬)