ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 239 ไม่มีใครกล้าขอร้องข้า
บทที่ 239 ไม่มีใครกล้าขอร้องข้า
บทที่ 239 ไม่มีใครกล้าขอร้องข้า
พระขนงดกหนาขององค์จักรพรรดิขมวดเข้าหากัน ราวกับไม่เชื่อคำพูดของเซี่ยเชียน จากนั้นก็เดินอ้อมมาตรงหน้าของเขา มองพิจารณาใบหน้าของเซี่ยเชียนอย่างละเอียด
รูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายกับไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังเด่นเป็นสง่าอยู่ในตำหนักใหญ่เหมือนเมื่อครั้งที่สอบจอหงวนในคราวนั้น
องค์จักรพรรดิจึงอดนึกย้อนกลับไปยังความทรงจำในครั้งอดีตไม่ได้
ครั้นเห็นใบหน้าของเซี่ยเชียนที่สอบเข้ารับราชการในวันนั้น พระองค์ก็ทรงตื่นเต้นจนแม้กระทั่งลมหายใจยังไม่คงที่ แต่คนรอบตัวเหมือนกับมองไม่ออก จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าคนในตำหนักอาจจะมีหน้าตาคล้ายกับเขาโดยบังเอิญ
แต่ทันทีที่เซี่ยเชียนเอ่ยปาก ละทิ้งซึ่งนามแฝง เปิดเผยสถานะ ทั้งตำหนักถึงกับพากันฮือฮาเลยทีเดียว
ดูเหมือนเขาหอบความคิดที่จะตายมาด้วย ใช้น้ำเสียงที่เย็นเยียบประณามข้าราชบริพารอย่างเจ็บแสบ ดุด่าจักรพรรดิองค์ก่อน แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็ยังโดนหางเลขไปด้วย
ยามนั้นองค์จักรพรรดิล้วนคาดไม่ถึงว่าความไม่เป็นธรรมของตระกูลเซี่ย ความลำบากของเซี่ยเชียน ความรู้สึกผิดที่มีต่อเขามานานหลายปี มันได้หลอมละลายกลายเป็นความยินดีที่ได้พบคนผู้นี้อีกครั้ง
เขาลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์ ใช้พลังทั้งหมดที่มีถึงจะสามารถควบคุมไม่ให้ตัวเองพรวดพราดไปตรงหน้าของเซี่ยเชียน ก่อนจะเอ่ยว่า “เซี่ยเชียน เจ้ายังไม่ตาย!”
นัยน์ตาที่เย็นยะเยือกของเซี่ยเชียนฉายแววสังหาร “ศัตรูยังไม่มอดไหม้ กระหม่อมจะกล้าตายได้อย่างไรเล่าพะยะค่ะ?!”
เขานำหลักฐานที่รวบรวมได้ออกมาถวายต่อหน้าพระพักตร์และต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ องค์จักรพรรดิจึงต้องรีบตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นำคนที่เกี่ยวข้องในตอนนั้นไปขังในคุกใต้ดิน ทำร้ายคนกลุ่มนี้โดยไม่ทันตั้งตัว
ต่อจากนั้นก็ใช้วิธีการที่ฉับไว ภายใต้การส่งเสริมของเซี่ยเชียน เขาได้ขุดรากถอนโคนกลุ่มที่หยั่งรากลึกอยู่ในวังหลวงมานานหลายสิบปี ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายแต่ไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด
ครั้นองค์จักรพรรดินึกถึงอดีต ก็อดใจอ่อนไม่ได้ เขาเอ่ยกับเซี่ยเชียนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างทอดถอนใจ “ไม่ใช่เพราะหลังจากข้าขึ้นครองราชย์แล้วจะไม่ยอมกลับคำพิพากษาตระกูลเซี่ย…เจ้าเองก็รู้ดี ตอนนั้นอำนาจในมือของข้าถูกยึดครองจนแทบไม่มีเหลือ ไฉนเลยจะกล้าบุ่มบ่ามเอ่ยเรื่องตระกูลเซี่ย? ข้ารู้ว่าเจ้า…ได้รับความไม่เป็นธรรมมากมาย แต่ข้าก็ไม่ได้ผิด เหตุใดเจ้าถึงต้องยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ [1] กับข้าด้วย?
เซี่ยเชียนเงยหน้าขึ้น และทูลกลับไปด้วยสีหน้านิ่งสงบ “กระหม่อมมิบังอาจ”
ในสายตาของเขานั้นบริสุทธิ์ หากแต่มันกลับเหมือนกับเกล็ดหิมะ ทั้งหนาวเหน็บและอ้างว้าง
องค์จักรพรรดิระลึกได้อย่างแม่นยำว่าในอดีตเซี่ยเชียนไม่ได้เป็นเช่นนี้
เมื่อครั้งยังวัยเยาว์เขาเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในตระกูลเซี่ย โดนเข้มงวดกวดขัน ในฐานะทายาทโดยตรงของตระกูลเซี่ย เขาได้ถูกกำหนดให้เข้านอกออกในวังหลวง ถูกควบคุมไม่ให้ทำตามอำเภอใจของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก
แต่ในยามที่ร่ำเรียนอยู่ในห้องทรงพระอักษรของวังหลวง พวกเขาล้วนมีอายุไม่มากนัก เซี่ยเชียนมักจะอยู่ภายใต้อาณัติขององค์รัชทายาท แอบตามเขาออกไปเล่นอย่างบ้าคลั่งอยู่เสมอ
องค์จักรพรรดิทอดถอนใจ “ช่างเถอะ ๆ เจ้าลุกขึ้นเถิด ข้าจะโกรธอะไรเจ้าได้”
เมื่อเซี่ยเชียนได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้น ท่าทางของเขาไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ แต่สายตาอันเฉียบคมขององค์จักรพรรดิกลับเห็นคราบสีแดงชัดอยู่บนกระเบื้องลายครามสีขาวที่แตกละเอียดบนพื้น
เขาขมวดคิ้วแน่น “เข่าของเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ? ทำไมถึงไม่พูดเล่า?”
เซี่ยเชียนแต่งกายด้วยชุดคลุมสีเข้ม และตัวใหญ่มาก หากไม่ใช่เพราะโลหิตที่เปื้อนอยู่บนกระเบื้องลายครามนั้น ก็คงมองไม่ออกว่าเขาได้รับบาดเจ็บ
สีหน้าของเขายังคงนิ่งสงบ และพูดอย่างราบเรียบว่า “ไม่เป็นไร”
เพลิงโทสะที่สุมอยู่ในพระอุระขององค์จักรพรรดิเริ่มลุกโชนอีกครั้งจนอยากจะระบายใส่เซี่ยเชียน แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าตนเป็นคนทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ จึงได้แต่ข่มโทสะที่เกิดขึ้นไว้
เขาตะโกนเรียกคนที่อยู่นอกตำหนัก “รีบเข้ามาเก็บกวาดเดี๋ยวนี้! แล้วไปเชิญหมอหลวงมาทำแผลให้ใต้เท้าเซี่ย!”
ในวังไม่มีความลับ
ต้องขอบคุณนิสัยที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ขององค์จักรพรรดิ เซี่ยเชียนได้รับประทานอาหารร่วมกับพระองค์ แต่ดันยั่วโมโหฝ่าบาทจึงถูกลงโทษ เรื่องเชิญหมอหลวงได้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลวงอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ขันทีติดตัวขององค์จักรพรรดิอย่างต๋ากงกงพาตัวของหลินเหราและเหยาเฉาเข้าวังมา ในตอนที่ย่างเท้าเหยียบเข้าไปในตำหนักเบื้องหน้า ก็บังเอิญชนเข้ากับขันทีน้อยที่วิ่งหน้าตาตื่นตกใจออกมาพอดี
ต๋ากงกงนั้นสายตาว่องไว จึงได้ขานเรียกขันทีน้อยผู้นั้น “อาเล่อ วิ่งทำไม!”
ขันทีน้อยที่ถูกขานเรียกว่า ‘อาเล่อ’ นั้นเห็นต๋ากงกง ก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เหตุใดกงกงเพิ่งกลับมา! ฝ่าบาทเพิ่งจะเสวยพระกระยาหารได้ไม่นานก็ทรงกริ้วเสียยกใหญ่ ลงโทษใต้เท้าเซี่ย บัดนี้หมอหลวงเพิ่งจะเข้าไป! กงกงรีบเข้าไปดูเถิดขอรับ!”
ต๋ากงกงคือคนที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายจักรพรรดิองค์ปัจจุบันมาตั้งแต่เด็ก จึงค่อนข้างได้รับความไว้วางใจจากอีกฝ่าย
ถ้าองค์จักรพรรดิกริ้ว ในบรรดาขันทีภายในวังเหล่านี้ก็มีแค่ต๋ากงกงเพียงผู้เดียวที่สามารถพูดโน้มน้าวพระทัยได้
เขาชำเลืองมองหลินเหราและเหยาเฉาก่อน ครั้นเห็นทั้งสองคนยังคงมีสีหน้านิ่งสงบ จึงสั่งสอนขันทีน้อยว่า “จะโวยวายกระโตกกระตากทำไม! ไม่เห็นหรือว่าใต้เท้าทั้งสองท่านอยู่ตรงนี้ด้วย?”
ทั้งสองคนรู้ดีว่าจะต้องระมัดระวังคำพูดยามอยู่ในวัง ครั้นได้ยินข้อมูลที่ฟังดูเกินจริงเช่นนี้ จึงอดโวยวายไม่ได้
หลินเหราไม่ได้ส่งเสียง แต่กลับเป็นเหยาเฉาที่ถามว่า “กงกง เราเข้าไปตอนนี้คงไม่สะดวกกระมัง?”
นับตั้งแต่ที่รับทั้งสองคนมาจากจวนเซี่ย ต๋ากงกงสร้างความประทับใจแรกให้แก่หลินเหราและเหยาเฉาได้ไม่เลวเลย
หลินเหราไม่พูดมากความ แต่กลับนิ่งสงบ ส่วนเหยาเฉามีท่าทางที่สง่างดงาม คล้ายกับบุคลิกของใต้เท้าเซี่ยมาก
ทั้งสองคนต่างยังดูอ่อนเยาว์มากทีเดียว รูปลักษณ์หน้าตาที่ไม่ธรรมดานั้นก็อย่างหนึ่ง ทั้งยังมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกับใต้เท้าเซี่ยอีกด้วย แค่เงื่อนไขนี้ก็มีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดแล้ว
เขาย่อมไม่มีทางล่วงเกินบุคคลทั้งสอง จึงแค่ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “หากใต้เท้าเซี่ยได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่มีกะจิตกะใจจะพบท่านทั้งสองแน่ สู้เราออกไปรอนอกตำหนักสักครู่ดีกว่า หมอหลวงรักษาเสร็จก็ค่อยเข้าไป ก็ยังไม่สาย”
หลินเหราและเหยาเฉาล้วนไม่ได้แสดงท่าทางผิดปกติใด ๆ หลังจากที่ออกไปนอกตำหนักได้เพียงชั่วครู่ ก็ได้ยินต๋ากงกงตำหนิอาเล่อว่า “ติดตามข้ามาตั้งหลายปี เหตุใดถึงไม่พัฒนาเลยแม้แต่น้อย? ในวังเป็นสถานที่ที่เจ้าจะกระโตกกระตากเช่นนี้ได้หรือ? ใต้เท้าเซี่ยได้รับบาดเจ็บ เจ้าจะโวยวายด้วยเหตุใด? มีแค่ฝ่าบาทและหมอหลวงที่ร้อนใจก็พอ ไฉนเราจะต้องร้อนใจกับเขาด้วย!”
ขันทีน้อยพยักหน้าอย่างร้อนรน “ขอรับ อาเล่อเข้าใจแล้ว”
ทั้งหมดยืนรออยู่นอกตำหนัก ไม่นานหมอหลวงก็ถือกล่องยาออกมา
ต๋ากงกงจึงรุดหน้าเข้าไปเป็นคนแรกและเอ่ยถามว่า “หมอหลวงเจียง อาการบาดเจ็บของใต้เท้าเซี่ยเป็นอย่างไรบ้าง? ร้ายแรงหรือไม่?”
หมอหลวงเจียงนั้นเฉลียวฉลาดเช่นกัน ครั้นเห็นว่าผู้ที่ถามนั้นคือขันทีข้างกายฝ่าบาท จึงยิ้มและพูดว่า “ใต้เท้าเซี่ยบาดเจ็บที่หัวเข่า ไม่ได้ร้ายแรง เลือดออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
ต๋ากงกงพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ
หลินเหราและเหยาเฉาที่อยู่ด้านข้างล้วนเข้าใจ
บาดเจ็บที่หัวเข่า ไม่ร้ายแรง ทว่าฝ่าบาทกลับร้อนใจถึงขั้นเชิญหมอหลวง คิดว่าแรกเริ่มนั้นเซี่ยเชียนคงจะไปยั่วโมโหฝ่าบาทเข้า แต่หลังจากที่เขาบาดเจ็บ ฝ่าบาทจึงไม่มีพระทัยที่จะกริ้วเขาต่อ
ต๋ากงกงและหมอหลวงเจียงทักทายกันอีกครู่หนึ่ง หลังจากที่หมอหลวงเดินจากไป จึงหันกลับมาพูดกับหลินเหราและเหยาเฉา “ใต้เท้าทั้งสองโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะเข้าไปดูสถานการณ์ และรายงานต่อฝ่าบาทก่อน”
ทั้งสองคนพยักหน้าและพูดว่า “เชิญกงกงตามสบาย”
ต๋ากงกงย่างเท้าเข้าไปในตำหนักด้วยฝีเท้าที่เบาบางที่สุด กระทั่งเห็นเซี่ยเชียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวของตำหนักหลักจริง ๆ ปกติแล้วหน้าตาที่นิ่งเฉยนั้นก็เย็นชามากอยู่แล้ว บัดนี้ทั่วทั้งร่างกายยังแสดงออกถึงการต่อต้านหลายส่วน
ฝ่าบาทนั่งทอดถอนใจ ด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม
ต๋ากงกงเห็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดรอบตัวของทั้งสองคน จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไอหยา ใต้เท้าเซี่ยบาดเจ็บได้อย่างไร? เมื่อครู่ข้าเห็นหมอหลวงเจียงเดินออกไป ข้าเลยรีบเข้ามาดู ทายาเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”
นับตั้งแต่ที่ตัวเองออกคำสั่งให้เซี่ยเชียนรับการรักษาจากหมองหลวง เขาก็ยังคงมีสีหน้านิ่งเฉยมาตลอด องค์จักรพรรดิเองก็จนปัญญา
บัดนี้ครั้นเห็นต๋ากงกง เขาก็เหมือนได้พบกับที่ระบาย จึงรีบตำหนิออกไปว่า “ให้เจ้าไปเรียกคน เหตุใดถึงได้ช้านัก?! ขืนกินต่อไป ก็คงถึงเวลามื้อเที่ยงพอดี!”
ต๋ากงกงเข้ามาเพื่อเป็นที่ระบายอารมณ์ให้แก่ผู้เป็นนาย เขารีบยอมรับผิดทันที และตั้งใจมองเซี่ยเชียนด้วยความไม่แน่ใจแวบหนึ่ง ก่อนจะรายงานกลับไปอย่างลังเล “ความจริงมาถึงนานแล้วพะยะค่ะ…. แต่ได้ยินว่าฝ่าบาทและใต้เท้าเซี่ยมีปัญหาที่ไม่พอใจกัน กระหม่อมจึงไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามา”
ครั้นได้ยินเอ่ยถึงหลินเหราและเหยาเฉา เซี่ยเชียนก็เลิกคิ้วอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
ในที่สุดองค์จักรพรรดิก็เห็นเขามีปฏิกิริยาตอบสนอง คิดว่าคงถึงเวลาแล้ว จึงออกคำสั่งว่า “เรียกพวกเขาเข้ามา”
ต๋ากงกงน้อมรับคำสั่งและเดินออกไป องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรไปทางเซี่ยเชียน และตรัสเสียงเบา “หลานชายของเจ้ามาถึงแล้ว ข้าอยากเห็นมานานแล้ว แต่เจ้าก็ขัดขวางตลอด”
เซี่ยเชียนเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่จำเป็นแล้วพะยะค่ะ”
องค์จักรพรรดิจึงเอ่ยถามอีกครั้งว่า “ไม่คิดจะพาเขากลับตระกูลเซี่ยหรือ?”
เซี่ยเชียนส่ายหน้า “เขาไม่มีเจตนานั้น”
ครั้นเห็นเขาพูดคุยเป็นปกติจนในที่สุดก็ทำลายสถานการณ์อันน่าอึดอัดของคนทั้งคู่ได้ องค์จักรพรรดิจึงได้ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย
พูดคุยกันได้ไม่นาน จึงถือโอกาสที่เซี่ยเชียนไม่ทันสังเกตเห็น ปัดชายเสื้อของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วกระทั่งเห็นบาดแผลที่หมอหลวงเพิ่งพันแผลให้เมื่อครู่ การเคลื่อนไหวนั้นเร็วมาก ทำให้ได้เห็นผ้าสีขาวที่ถูกพันจนนูนออกมานั้น
เซี่ยเชียนใช้มือข้างหนึ่งตีที่พระหัตถ์ ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ฝ่าบาท! นิสัยไม่เกรงใจของพระองค์ ควรแก้ไขได้แล้วนะพะยะค่ะ”
องค์จักรพรรดิแย้มสรวล “ท่านขุนนางช่างสุขุมดียิ่ง นอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าขอร้องข้า”
เซี่ยเชียนถลึงตาเย็นเยียบกลับไป…
………………………………………………………………………………………………..
[1] 宁为玉碎, 不为瓦全 ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ หมายความว่า ตั้งมั่นในความดีไม่เปลี่ยนแปลงไม่หลงไปในทางเลว แม้จะรู้ดีว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเอง
สารจากผู้แปล
ทำไมบรรยากาศตอนนี้มันหวานแปลกๆ ผู้แปลกอดไม้พายแน่นแล้วนะคะ ถึงขั้นเอ่ยสอนแล้วยังตีมือฮ่องเต้ได้แถมฮ่องเต้ก็ไม่ว่าอะไรแล้วยังยิ้มหวานด้วยนี่มันต้องเป็นความสัมพันธ์แบบไหนกันคะ
/กรีดร้อง ฮืออออ ฟินนน/
ไหหม่า (海馬)