ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 240 ส่งพระราชโองการไปยังจวนตระกูลเซี่ย
บทที่ 240 ส่งพระราชโองการไปยังจวนตระกูลเซี่ย
บทที่ 240 ส่งพระราชโองการไปยังจวนตระกูลเซี่ย
ในที่สุดเซี่ยเชียนก็รู้สึกฉุนเฉียวเพราะการก่อกวนของเขา ขณะที่จะเอ่ยสั่งสอนสักสองประโยค พลันเห็นต๋ากงกงพาหลินเหราและเหยาเฉาเดินเข้ามา
เขากำลังจะลุกขึ้น แต่กลับถูกองค์จักรพรรดิกดไหล่ด้วยพระหัตถ์ข้างหนึ่ง จนไม่สามารถออกแรงใด ๆ ได้
กระทั่งได้ยินองค์จักรพรรดิออกคำสั่งว่า “ท่านนั่งลงเถิด ห้ามลุกขึ้น”
ต่อหน้าคนภายนอก เซี่ยเชียไม่มีทางหักหน้าของเขา แม้ตนจะรู้สึกว่าการนั่งอยู่บนเก้าอี้เช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาท แต่ก็ต้องยอมให้ตัวเองเสียหน้าเพื่อคนผู้นี้ รักษาพระพักตร์ของอีกฝ่ายไว้
เมื่อหลินเหราและเหยาเฉาเดินเข้ามา ก็เห็นเซี่ยเชียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนองค์จักรพรรดิในพระภูษาสีเหลืองอร่ามงดงามยืนประทับอยู่ข้างเก้าอี้ เหมือนกำลังตรัสอะไรบางอย่างกับเขา
ไม่มีทีท่าจะยั่วโมโหให้องค์จักรพรรดิกริ้วแต่อย่างใด ทั้งสองคนเหมือนกษัตริย์กับขุนนางที่ปรองดองกันด้วยซ้ำ
ทั้งสองคนรุดหน้าเข้ามาทำความเคารพ หลังจากได้รับอนุญาตให้ยืนขึ้น จึงได้ยลโฉมพระพักตร์โดยตรง
องค์จักรพรรดิมีรูปร่างสูงใหญ่ องค์ประกอบทั้งห้าบนพระพักตร์ดูลึกล้ำน่าเกรงขาม พระชันษาน่าจะประมาณสามสิบต้น ๆ เห็นจะได้ ช่างดูอ่อนเยาว์ยิ่งนัก
เขาชำเลืองไปมองหลินเหราแวบหนึ่ง และตรัสถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าคือหลินเหราใช่หรือไม่? ช่างมีดวงตาที่คล้ายกับตระกูลเซี่ยยิ่งนัก”
หลินเหราตอบรับ
องค์จักรพรรดิตรัสถามสถานการณ์ในครอบครัวของหลินเหราอย่างง่าย ๆ และไม่ได้เมินเฉยต่อเหยาเฉา พระองค์ตรัสถามในรูปแบบเดียวกันกับเขา และทรงถามซ้ำอีกรอบ
หลังจากพูดคุยกันสบาย ๆ ไปได้ไม่กี่ประโยค องค์จักรพรรดิก็ได้ตรัสว่า “เรื่องการปราบโจรภูเขา พวกเจ้าได้รับคุณงามความดีไม่น้อย ข้าเองก็ชื่นชมเช่นกัน เอาล่ะ วันนี้ข้ามีเรื่องอื่นต้องทำ พวกเจ้าทั้งสองออกไปก่อนเถอะ”
ทั้งสองคนตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วปล่อยให้ต๋ากงกงพาออกจากตำหนักไป
เมื่อออกจากตำหนักแล้ว ต๋ากงกงจึงพูดกับพวกเขาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มว่า “ใต้เท้าทั้งสองเป็นไปตามความประสงค์ของฝ่าบาท พระราชโองการน่าจะออกในไม่ช้า ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านทั้งสองคนล่วงหน้า!”
หลินเหราไม่เข้าใจ จึงได้แค่พูดว่า “มิบังอาจ” แต่กลับเป็นเหยาเฉาที่ไวต่อความรู้สึกยิ่งกว่า เขาพูดกับต๋ากงกงว่า “ขอบคุณกงกงมาก สองวันนี้เราจะพักอยู่ในจวนตระกูลเซี่ยชั่วคราว ถ้ากงกงมีเรื่องอะไรที่เราช่วยได้ ก็มาหาได้ทุกเมื่อ”
เขาพูดอย่างอ่อนโยนและสุภาพ ทั้งยังมีหน้าตางดงาม คล้ายกับสุภาพบุรุษที่สง่าผ่าเผย แม้แต่ต๋ากงกงที่ได้ยินก็รู้สึกดุจดั่งอาบลมในฤดูวสันต์ จนต้องเผยรอยยิ้มพลางพูดว่า “ไอหยา ใต้เท้าเหยาช่างเกรงใจยิ่งนัก แค่รูปลักษณ์หน้าตาของท่านทั้งสอง กอปรกับความสามารถในการปราบโจรภูเขา กระทั่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงองครักษ์ฝ่าบาท ต่อหน้าพระพักตร์ในตอนนั้น ก็อาจจะได้เลื่อนขั้นในภายภาคหน้าได้!”
ทั้งสามคนได้กล่าวปราศรัยกันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นต๋ากงกงก็ออกมาส่งที่ตำหนักด้านหน้า หลินเหราและเหยาเฉาเดินทางกลับจวนเซี่ยตามเส้นทางเดิม
เมื่อส่งใต้เท้าทั้งสองคนเรียบร้อยก็กลับเข้ามาในตำหนัก ในตอนนั้นเองก็บังเอิญได้ยินองค์จักรพรรดิพูดเรื่องของทั้งสองคนกับเซี่ยเชียน
“… ดูท่าทางใช้ได้ ดวงตาของหลานชายเจ้าเหมือนกับตระกูลเซี่ยไม่มีผิดเพี้ยน ข้าคิดไม่ถึงว่า เหยาเฉาที่เดิมทีแค่ลากติดร่างแหมาด้วยจะยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน อาเชียน ข้าให้พวกเขามาอยู่ในเมืองหลวงเป็นเพื่อนเจ้า ดีหรือไม่?”
เซี่ยเชียนเอ่ยเสียงราบเรียบ “กระหม่อมไม่ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นอาเหราและอาเฉาต่างก็มีข้อดีในตัวเอง พวกเขาไม่ใช่นางสนมวังหลังที่ฝ่าบาทต้องคัดเลือก ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องใช้หน้าตามาเป็นตัวตัดสิน และหักหน้าเหล่าขุนนางหรอกพะยะค่ะ”
ต๋ากงกงแอบคิดในใจ ‘ประโยคนี้ช่างน่าตกใจยิ่งนัก ฝ่าบาทได้ยินแล้วจะไม่ทรงกริ้วเอาหรือ?’
แต่กลับได้ยินองค์จักรพรรดิทรงพระสรวลด้วยพระทัยอันแจ่มใส จากนั้นก็ตรัสกับเซี่ยเชียนว่า “ท่านขุนนางหนอท่านขุนนาง ต่อให้เจ้าพูดมากอย่างไร ข้าก็ตัดสินใจเลือกสองคนนี้แล้ว!”
ครั้นเห็นต๋ากงกงที่เดินเข้ามา พระองค์จึงมีพระราชโองการว่า “ไปหยิบพระราชสาส์น พู่กันและหมึกดำมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะร่างโองการ”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้วพร้อมยับยั้ง “เหลวไหล!”
จักรพรรดิที่ดูน่าเกรงขามต่อหน้าหลินเหราและเหยาเฉา เวลานี้ได้เปลี่ยนเป็นเด็กน้อยที่กำลังพึงพอใจเมื่อพบกับของเล่นที่น่าสนุก องค์ประกอบทั้งห้าบนพระพักตร์อันหล่อเหลาก็แต้มไปด้วยความปิติ แม้แต่พระขนงดกหนาก็เลิกสูงในรัศมีตามใจตน
พระองค์เลิกแขนพระภูษาที่ค่อนข้างกว้างของพระภูษาคลุมลายมังกร โดยไม่สนพระทัยกับน้ำเสียงอันแข็งกระด้างของเซี่ยเชียน กลับตรัสอย่างเด็ดขาด “ข้าชอบภาพลักษณ์ที่ดีแล้วอย่างไร? อีกอย่าง ตำแหน่งองครักษ์ปกป้องจักรพรรดิก็ไม่ถือว่าต่ำต้อยด้วย ลูกหลานตระกูลขุนนางตั้งไม่รู้เท่าไรที่เล็งตำแหน่งนี้ จะให้พวกเขาเสียหน้าได้อย่างไร?”
องค์จักรพรรดิมักจะทรงเลือกคนที่หน้าตาเป็นอันดับแรก เรื่องนี้เหล่าขุนนางต่างรู้ดี นางสนมในวังหลังล้วนมีรูปลักษณ์งดงามกันคนละแบบ แม้แต่นางกำนัลและองครักษ์ที่คอยรับใช้องค์จักรรพรรดิ พระองค์ก็ยังเลือกคนที่ดูดีตามใจตน
ตำแหน่งองครักษ์มีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิ ทว่าเขาล้วนเลือกจากความชอบของตนเป็นหลัก ทำให้เซี่ยเชียนรู้สึกขัดใจกับเรื่องเช่นนี้มาตลอด แต่ก็ไม่เคยปริปากพูดแต่อย่างใด
ในที่สุดวันนี้เขาก็รู้สึกว่ามันไร้สาระเกินไป ยิ่งไม่พูดก็ยิ่งไม่เหมาะสม เขาขมวดคิ้วและเอ่ยเตือนว่า “อาเหราและอาเฉาไม่ได้มีคุณงามความดีมากนัก การเลื่อนขั้นเช่นนี้ควรให้คนที่สนิทชิดเชื้อกับฝ่าบาทอย่างเหล่าขุนนางและผู้ตรวจการดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งองครักษ์พิทักษ์องค์จักรรพรรดินั้นสำคัญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จะเลือกตามพระทัยของฝ่าบาทได้อย่างไร?”
ต๋ากงกงถือพระราชสาส์นและอุปกรณ์การเขียนจากตำหนักด้านหน้าเข้ามาพอดี จึงวางลงบนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ
องค์จักรพรรดิไม่ได้เก็บคำพูดของเซี่ยเชียนมาใส่ใจ แต่กลับดำเนินมาที่หน้าโต๊ะ ราวกับกำลังครุ่นคิดเนื้อหาในพระราชโองการ พลางตรัสตอบเขาอย่างเชื่องช้าโดยไม่ใส่ใจ “ผู้ตรวจการจะด่าก็ด่าไปสิ เดี๋ยวท่านก็ด่ากลับแทนข้ามิใช่หรือ? องครักษ์พิทักษ์องค์จักรพรรดิ ตราบใดที่ท่านขุนนางปกป้องคุ้มกันอยู่ข้างกายข้า พวกเขาจะทำอะไรก็ช่างเถอะ ข้าไม่เชื่อว่าวิชากระบี่ของผู้ใดในเมืองหลวงจะเทียบเทียมใต้เท้าเซี่ยได้”
ขณะที่ตรัสเช่นนี้ พู่กันในพระหัตถ์ก็ยกตั้งตรงชี้ไปมา ไม่รู้ว่าทรงดำริจริงจังหรือไม่
ปกติแล้วเซี่ยเชียนไม่เคยเป็นกังวลต่อเรื่องรอบตัว แต่ก็มักจะถูกเหล่าขุนนางนินทาว่าร้ายเงียบ ๆ ว่าเขานั้นไม่สนใจใยดีเหมือนกับนักบวช มิสู้ออกบวชไปเลยดีกว่า
แต่ยามที่องค์จักรพรรดิเข้ามาเกี่ยวข้อง ใต้เท้าเซี่ยผู้ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่ไร้เกลียวคลื่นก็มักจะโกรธฉุนเฉียวจิตใจไม่สงบกับท่าทางขี้โวยวายโดยไร้เหตุผลของเขา
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไม่สนใจบาดแผลบนหัวเข่า เดินมาข้างกายขององค์จักรพรรดิ และเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคงปกป้องคุ้มกันฝ่าบาทตลอดเวลาไม่ได้”
กระทั่งได้ยินองค์จักรพรรดิตรัสถามว่า “เหราของหลินเหราคือเหราตัวไหน? เฉาของเหยาเฉาคือเฉาตัวไหน? ไม่รู้ว่าต้องเขียนอย่างไร มิสู้ข้าพูด แล้วท่านมาเขียนดีกว่า เพราะตัวอักษรของท่านงดงามกว่าข้ามาตั้งแต่เด็ก…”
เขาเคยเห็นในสาส์นกราบทูลจากจวนตรวจการเมืองชิงถงแล้ว ไฉนจะไม่รู้จักชื่อของทั้งสองคน? แค่อยากหยอกล้อเซี่ยเชียนเท่านั้น
เซี่ยเชียนเคยชินกับการหยอกล้อเช่นนี้แล้ว จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ในเมื่อฝ่าบาทไม่ยอมสดับ กระหม่อมก็ขอตัวลา”
เขาพูดพลางมุ่นคิ้ว จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมเดินจากไป
องค์จักรพรรดิตะโกนเสียงดัง “ช้าก่อน ใครอนุญาตให้เจ้าไป”
เซี่ยเชียนไม่ตอบสนอง ทำเป็นหูทวนลมกับคำสั่งขององค์จักรพรรดิ
องค์จักรพรรดิกำลังจะพิโรธโดยแท้จริง เขวี้ยงพู่กันที่อยู่ในพระหัตถ์ไปบนโต๊ะ จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “เซี่ยเชียน เจ้าต้องหยุดเดี๋ยวนี้!”
เซี่ยเชียนหยุดก้าวเดินทันที แม้ว่าจะไม่ได้เดินต่อ แต่กลับยังหันหลังให้อีกฝ่าย
กระทั่งองค์จักรพรรดิกริ้วจนเลือดขึ้นหน้า ต๋ากงกงจึงรีบเข้ามาพูดโน้มน้าว “ไอหยา ใต้เท้าเซี่ย ข้าว่าท่านอย่าโกรธฝ่าบาทเลย เมื่อหลายวันก่อนที่ท่านไม่อยู่ ฝ่าบาททรงปวดพระทัยถึงสองวันเชียวนะ หมอหลวงบอกว่า นี่เป็นสาเหตุที่ฝ่าบาทมักจะอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่บ่อยครั้ง!”
ไฉนถึงได้ปวดพระทัย ก็แค่ถูกอุ้งเท้าแมวที่ลี่เฟยเลี้ยงไว้ข่วนพระอุระ แล้วพระโลหิตไหลเท่านั้น
องค์จักรพรรดิรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ลี่เฟยกลับสั่งให้ทุบสัตว์เลี้ยงตัวนั้นจนตายคาที่ แมวขนปุกปุยที่แสนดีตัวหนึ่งถูกทุบจนตาย เป็นเหตุให้องค์จักรพรรดิไม่สนใจนางในหลายวันนี้
ครั้นเซี่ยเชียนได้ยินคำพูดของต๋ากงกง เขาพลันขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็หันกลับไปมององค์จักรพรรดิ “ฝ่าบาททรงเจ็บพระหฤทัยหรือ? เหตุใดถึงไม่ทรงตรัสให้เร็วกว่านี้ หากไม่อยากเห็นกระหม่อม กระหม่อมก็จะออกไป”
เขาเข้าใจหลักการรักษาง่าย ๆ รู้ว่าองค์จักรพรรดินั้นมีนิสัยใจร้อน มักจะอารมณ์เสียใส่เขาอยู่เสมอ วันนี้ตัวเองอยู่ที่นี่ก็เลยหงุดหงิดใส่เขา
สิ่งเดียวที่ต๋ากงกงปรารถนาคืออยากให้เซี่ยเชียนอยู่ต่อ แต่คราวนี้เซี่ยเชียนดึงดันจะไปท่าเดียว
องค์จักรพรรดิจ้องเขม็งไปยังเซี่ยเชียนที่เดินจากไป หลังจากที่เจ้าตัวออกไปแล้ว ท้ายทอยของต๋ากงกงก็โดนตีเสียงดังเพียะ “ใครให้เจ้าพูดจาเหลวไหล! ใครให้เจ้าพูดจาเหลวไหล! ถ่วงแข้งถ่วงขาข้ายิ่งนัก!”
ต๋ากงกงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที “ไอหยา ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพะยะค่ะ ใต้เท้าเซี่ยไปก็ดีแล้ว ว่ากันว่าพี่น้องไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันทุกวัน เจอกันมากไปก็ทะเลาะกันง่าย ฝ่าบาทก็ทรงเห็นแล้วว่าวันนี้ใต้เท้าเซี่ยมิอาจควบคุมอารมณ์ได้ ให้ใต้เท้ากลับไปสงบสติอารมณ์ ไม่ดีกว่าหรือพะยะค่ะ!”
องค์จักรพรรดิหยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมา จากนั้นก็ร่างพระราชโองการด้วยตัวอักษรที่มีชีวิตชีวา ไม่มีความลังเลเหมือนยามที่อยู่ต่อหน้าของเซี่ยเชียนแต่อย่างใด
พระองค์ทรงพระอักษรพลางตรัสอย่างเคืองขุ่น “เจ้าดูสิ ข้าชวนเขาคุยทั้งวัน ไม่อารมณ์เสียใส่แม้แต่นิดเดียว! ตอนนี้กลับถูกโกรธ แต่ก็ยังต้องเลื่อนขั้นให้หลานชายของเขา…”
ต๋ากงกงคิดในใจ นั่นมันเรื่องที่ฝ่าบาททรงยินยอมเองต่างหาก แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงมีพระทัยดี เห็นแก่มิตรภาพ มักจะคำนึงถึงความเป็นสหายกับใต้เท้าเซี่ยตั้งแต่วัยเยาว์อยู่เสมอ ทรงเจ็บปวดที่ใต้เท้าเซี่ยต้องได้รับโทษมาตลอดหลายปี จึงคอยส่งเสริมใต้เท้าเซี่ยเสมอ ยอมเลื่อนขั้นให้ตระกูลเซี่ย”
องค์จักรพรรดิหลุดพระสรวลออกมา “เจ้าพูดได้ดี”
ครั้นลิขิตพระราชโองการเรียบร้อยแล้ว องค์จักรพรรดิก็ทรงดำเนินถือออกไป โยนใส่มือของขันทีน้อยคนหนึ่ง และตรัสสั่งด้วยเสียงราบเรียบว่า “ไปส่งที่จวนตระกูลเซี่ย”
ขันทีน้อยน้อมรับพระราชโองการอย่างนบนอบ และออกจากวังไป…
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จะพยายามคิดว่าเป็นความสัมพันธ์แบบพี่น้องนะคะ /มือยังคงกำไม้พายแน่น/
สองตอนนี้ก็คือแปลไปเขินไปหนักมากค่ะ จะไม่ให้เขินได้ไงคะ คนหนึ่งงอนคนหนึ่งง้อแบบนี้ แต่ถ้าคิดว่าเป็นมิตรภาพลูกผู้ชายก็ได้เหมือนกันค่ะ
ไหหม่า(海馬)