ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 241 ไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับเขา
บทที่ 241 ไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับเขา
บทที่ 241 ไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับเขา
ดวงตะวันค่อย ๆ ลอยขึ้นจากทิศตะวันออกจนจรดเหนือศีรษะ อากาศวันนี้นับว่ากำลังสบาย องค์จักรพรรดิทรงบิดพระวรกายเล็กน้อยพลางมีพระดำริว่าอีกประเดี๋ยวจะทำสิ่งใดต่อ
ต๋ากงกงเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง “พระสนมลี่เฟยทรงกำสรวลอยู่สองวันแล้ว เอ่ยว่าฝ่าบาททรงใจจืดใจดำ พระโอษฐ์ตรัสว่าไม่โทษแมวตัวนั้น แต่ในพระทัยกลับชิงชังตำหนักฟางหัว มิสู้ฝ่าบาทเสด็จไปเยี่ยมเยือนหน่อยดีหรือไม่พะยะค่ะ?”
องค์จักรพรรดิตรัสอย่างเกียจคร้าน “น้ำแกงของลี่เฟยในวันนี้ไม่เลวเลย ข้าขอชื่นชม”
พระโอษฐ์กำลังชื่นชมผู้อื่น ทว่าไม่มีทีท่าว่าจะเสด็จไปเยี่ยมเยือนเลยแม้แต่น้อย
ต๋ากงกงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาทไม่เคยตรัสชื่นชมตำหนักใดว่าทำอาหารอร่อย เกรงว่าพระสนมลี่เฟยจะต้องดีใจอย่างแน่นอน”
องค์จักรพรรดิหลุดพระสรวลออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็ตรัสอย่างไม่ใส่พระทัย “อาหารที่พวกนางทำล้วนรสชาติไม่เหมือนกันหรือ? วันนี้เซี่ยเชียนกินไปตั้งสองกระบวย บางทีฝีมือของลี่เฟยอาจจะดีก็ได้”
ขณะตรัส พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นและดำเนินไปยังทิศทางของลานประลอง พลางตรัสพึมพำ “อยู่แต่ในวังนี้ทั้งวัน อะไร ๆ ก็เหมือนกันไปหมด คนก็เห็นจนเอือมระอา ข้าเพิ่มเด็กใหม่เข้ามาสองคน ก็ไม่ถูกจัดให้อยู่ในวังหลัง คงไม่เกินไปหรอกกระมัง? ยังคิดจะต่อต้านเช่นนั้นอีก…”
ต๋ากงกงรู้ว่าที่องค์จักรพรรดิเอ่ยถึงนั้นคือผู้ใด เกรงว่าผู้เป็นนายคงจะยังเป็นกังวลกับท่าทางเมื่อครู่ของใต้เท้าเซี่ย
เขาเดินตามฝีเท้าขององค์จักรพรรดิไปด้วยรอยยิ้ม พลางพูดคล้อยตามว่า “ใต้เท้าหลินสุขุมเชื่อถือได้ ใต้เท้าเหยาก็มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม หากได้คนคู่นี้มาเป็นองครักษ์คุ้มกันฝ่าบาทจะต้องมีฝีมือสูสีกันแน่ สายพระเนตรของฝ่าบาททรงเฉียบคมยิ่งนัก”
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลเพราะเขา พลางตรัสอ้อมเปลี่ยนหัวข้ออย่างฉับพลัน “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงปฏิบัติกับเซี่ยเชียนแตกต่างเป็นพิเศษ?”
ต๋ากกงกงอึ้งงันไป จากนั้นก็กราบทูล “ความหมายของฝ่าบาท กระหม่อมจะกล้าเดามั่วได้อย่างไร…”
องค์จักรพรรดิผินพระพักตร์กลับไปด้วยความแปลกใจ กระทั่งเห็นสีหน้าที่ดูประหลาดใจของต๋ากงกง จึงอดหยุดฝีพระบาทไม่ได้
ไม่ต้องคิดอันใดมากก็เข้าใจว่าสีหน้าที่ประหลาดใจนี้หมายความว่าอย่างไร จึงยื่นพระหัตถ์ออกไปเขกศีรษะของต๋ากงกงเล็กน้อย “คิดเหลวไหล! ขืนกล้าคิดเช่นนี้อีก ข้าจะให้คนพาเจ้าไปตัดหัว แล้วให้เซี่ยเชียนเตะเป็นตะกร้อ!”
ต๋ากงกงตะโกนอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “กระหม่อมยังไม่พูดอะไรเลยพะยะค่ะ! กระหม่อมผิดไปแล้ว!”
องค์จักรพรรดิยังประทับอยู่ที่เดิม สีพระพักตร์เต็มไปด้วยจิตสังหาร ก่อนจะสรวลออกมาอย่างเย็นชา “คนเฉกเช่นเจ้า ในสมองมีความคิดสกปรกอย่างไร เหตุใดข้าจะไม่รู้ แล้วไหนจะตาเฒ่าตายยากกลุ่มนั้นอีก เอาแต่จ้องเซี่ยเชียนกับข้าทั้งวัน กล่าวหาเซี่ยเชียนว่าใช้ความงดงามของตนมาปรนนิบัติรับใช้ข้า นึกว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อโพล่งประโยคนี้ออกมา ต๋ากงกงถึงกับตื่นตกใจจนเหงื่อผุดซึมไปทั่วทั้งร่าง
เขาคุกเข่าลงไปกับพื้นในทันที จากนั้นก็ตะโกนออกไปว่า “กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมมิบังอาจคิดเช่นนี้กับฝ่าบาท! ใต้เท้าเซี่ยเป็นบุคคลที่มีน้ำใจเสียเช่นนั้น กระหม่อม…แม้ว่ากระหม่อมจะมีความกล้าหาญ แต่กระหม่อมก็มิบังอาจคิดเช่นนี้แน่นอนพะยะค่ะ!”
องค์จักรพรรดิตรัสเสียงเย็นชา “ดีแล้วที่เจ้าไม่บังอาจ”
เพราะเคยชินกับความไร้เดียงสาที่องค์จักรพรรดิแสดงออกต่อหน้าเซี่ยเชียน จนต๋ากงกงลืมไปว่าองค์จักรพรรดิผู้นี้เคยอ่อนแออย่างไร กระทั่งยังคว้าโอกาสที่เหมาะสมเป็นหน่วยกล้าตายเข้าไปกวาดล้างพระราชวัง
เขาทรุดตัวลงนั่งบนพื้น จากนั้นก็ลั่นสาบาน “กระหม่อมมิบังอาจโดยเด็ดขาด! ต่อไปหากเจอว่ามีคนในวังถกเถียงกันเรื่องนี้ หรือมีความคิดเช่นนี้ จะต้องโดนลงโทษสถานหนัก!”
องค์จักรพรรดิบิดพระวรกายอีกครั้ง ก่อนจะสาวพระบาทก้าวตรงไปยังลานประลอง “จะกลัวทำไม ข้าไม่ได้กินเจ้าเสียหน่อย มากสุดก็ตัดหัว ไม่เจ็บหรอก”
เหงื่อที่ผุดซึมออกมาทั่วทั้งร่างของต๋ากงกงได้ถูกสายลมอันอบอุ่นพัดผ่าน แต่กลับไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับพาให้เส้นขนทั่วทั้งร่างกายพากันลุกซู่
เขารีบลุกขึ้นยืนและเดินตามฝีพระบาทขององค์จักรพรรดิไปทันที ระหว่างนั้นก็ปาดเหงื่อ พลางยิ้มและกล่าวขออภัยโทษ “กระหม่อมขี้ขลาด ทำให้ฝ่าบาทถูกหัวเราะเยาะ”
องค์จักรพรรดิที่ยังโกรธกริ้วเมื่อครู่ ได้กลอกพระเนตรกลับไปและหยิบยกเรื่องนี้ออกมาหยอกล้อ “ไอหยา คำถามที่ข้าถามเมื่อครู่ เจ้ายังไม่ตอบ”
ต๋ากงกงพลันนึกขึ้นได้ เพราะความตกใจเมื่อครู่ ไฉนเลยจะจำคำถามที่ฝ่าบาทหยอกล้อได้
ครั้นเห็นเขาไม่พูด องค์จักรพรรดิจึงแสดงอาการขัดพระทัย “เมื่อครู่ข้าถามเจ้าว่า รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงปฏิบัติกับเซี่ยเชียนแตกต่างเป็นพิเศษ! เรื่องแค่นี้ยังจำไม่ได้ แล้วจะเป็นขันทีที่มีความรับผิดชอบได้อย่างไร?”
ต๋ากงกงยิ้มอย่างลำบากใจ “บางที บางทีใต้เท้าเซี่ยอาจจะเฉลียวฉลาด กระหม่อมอาจจะโง่เขลาเกินไป…”
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลทันใด จากนั้นก็พยักพระพักตร์และตรัสว่า “คงเพราะสาเหตุนี้กระมัง”
ต๋ากงกงคิดในใจ ‘องค์จักรพรรดิมักจะมีอุปนิสัยเจ้าอารมณ์เสมอสินะ’ พลางทอดถอนใจ มีแค่ช่วงเวลาที่ใต้เท้าเซี่ยอยู่ด้วยเท่านั้น เพลิงพิโรธขององค์จักรพรรดิถึงจะไม่ลุกโชนขึ้นมา
เขาครุ่นคิดอยู่นาน กระทั่งเห็นว่าฝ่าบาทไม่มีท่าทีจะปล่อยคำถามนี้ให้หลุดไปโดยง่าย จึงทำได้แค่ทูลกลับอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ออกไป “กระหม่อมช่างโง่เขลา เดาพระดำริของฝ่าบาทไม่ออก…”
เส้นทางที่ตรงไปยังลานประลองเบื้องหน้านั้นล้วนเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดที่พากันบานสะพรั่ง ต้นไม้ในวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกไม้ใบหญ้าระหว่างทางที่เขาเดินผ่าน ช่างดูมีชีวิตชีวา และดีกว่าที่อื่นมากทีเดียว
องค์จักรพรรดิในพระภูษาสีทองอร่ามกำลังทอดพระเนตรไปยังคนรอบตัวที่พากันก้มหน้างุดแวบหนึ่ง แม้แต่ต๋ากงกงก็ยังไม่กล้ามองพระพักตร์โดยตรง พระองค์ตรัสพลางแย้มสรวล “เดาไม่ออก? เดาไม่ออกก็ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าโง่”
ในใจกลับมีคำตอบแล้ว…เขาสอบขุนนางตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ได้ครองราชย์ในวัยเกือบยี่สิบปี ทุกคนล้วนเปลี่ยนไปจนทำให้มองเห็นความเสแสร้งได้อย่างชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่นต๋ากงกงที่เหนื่อยจะรับมือกับนิสัยเจ้าอารมณ์ของเขาเต็มที สิ่งที่เห็นคือพระภูษาคลุมลายมังกรตัวนี้ เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายนำมาซึ่งอำนาจให้แก่เขา จึงมักจะพยายามเลียแข้งเลียขาเพื่อให้เขามีความสุข คล้อยตามเจตนารมณ์ของเขา พูดหยอกเย้าอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้รู้สึกเบื่อ
มีแค่เซี่ยเชียนและเซี่ยเชียนเท่านั้น ที่เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
….
หลังจากที่หลินเหราและเหยาเฉาออกจากวังหลวง ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกว่ามีบางอย่างดูไม่ค่อยสมจริง
การมีรับสั่งเข้าพบขององค์จักรพรรดิ คือการเรียกพวกเขามาดูตัว แม้แต่คำถามเหล่านั้นก็ยังตรัสถามแบบขอไปที
ขนาดเหยาเฉาที่มีไหวพริบดี ก็ยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ขององค์จักรพรรดิ ระหว่างทางกลับก็อดพูดกับหลินเหราไม่ได้ “ออกมาแค่นี้? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้…”
หลินเหราเดินอยู่เคียงข้างเขา ครั้นได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักทันใด “ตอนนี้เป็นอย่างไร? พี่รองคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เหยาเฉาเห็นเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ จึงอดทอดถอนใจไม่ได้ เพราะคิดว่าหลินเหราน่าจะมีวิสัยทัศน์ที่ดี
เขาจึงวิเคราะห์ว่า “มีรับสั่งเรียกขุนนางจากพื้นที่ต่างเมืองกลับมา ตรัสว่าจะพระราชทานของกำนัลเรื่องการปราบโจร แต่เมื่อเรียกมาแล้วกลับไม่ได้เอ่ยเรื่องการปราบโจร…. อาเหราไม่คิดว่าคำถามที่ฝ่าบาททรงถามเราในวันนี้ ต่างก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงดำริได้บัดเดี๋ยวนั้นหรือ?”
ครั้นเหยาเฉาเอ่ยเรื่องนี้ หลินเหรากลับไม่ได้ใส่ใจ
เขาเดินก้าวต่อไปไม่หยุด จากนั้นก็ส่ายหน้าและพูดว่า “บางทีอาจจะเพิ่งฉุกคิดได้ ใครเล่าจะรู้”
ใบหน้าอันขาวเนียนของเหยาเฉาเผยสีหน้าจนปัญญา “เจ้าก็คิดว่าเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องปกติเช่นกัน”
หลินเหรามองไปทางเหยาเฉาแวบหนึ่ง “ในเมื่อไม่ใช่เรื่องดีและไม่ใช่เรื่องร้าย จะกังวลไปด้วยเหตุใด?”
ครั้นเห็นท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของหลินเหรา เหยาเฉาก็พอจะคาดเดาได้ไม่มากก็น้อย เวลานี้จึงได้เลียนแบบเขา และพยายามสงบสติอารมณ์
ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาพูดไว้ ในเมื่อไม่ใช่เรื่องร้ายอันใด เช่นนั้นแล้วก็ช่างเถอะ
เหยาเฉายิ้มและพูดว่า “อาเหราพูดถูก ยิ่งไปกว่านั้นการเรียกพบในครานี้น่าจะเกี่ยวข้องกับหัวหน้าเซี่ย ในเมื่อฝ่าบาทไว้วางพระทัยหัวหน้าเซี่ยเช่นนั้น เราก็คงไม่มีปัญหา”
หลินเหราตอบ “อื้อ” คำเดียว จากนั้นก็เดินต่อไปบนถนนที่กว้างขวางนอกวัง ตรงไปยังทิศทางของจวนตระกูลเซี่ย แม้แต่การเดินก็ยังไม่นอกลู่นอกทาง
จู่ ๆ เหยาเฉาก็รู้สึกว่าหลินเหรานั้นสุขุมอย่างไรก็สุขุมอย่างนั้น มักเมินเฉยต่อสีหน้าเย็นชาของเขา ซึ่งบางครั้งก็น่าสนใจ
เขาและหลินเหราเดินเคียงคู่กันไป พลางเอ่ยปากถามเขาว่า “ไอหยา อาเหรา เจ้าว่าถ้าเราถูกทิ้งไว้ในเมืองหลวง เจ้าจะทำอย่างไร?”
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับหัวหน้าเซี่ยคงลึกซึ้งมาตั้งแต่ยังเด็กแล้วล่ะค่ะ เป็นความสนิทชิดเชื้อที่ไว้วางใจต่อกันว่าถ้าเป็นคนนี้แล้วจะไม่มีการแทงข้างหลังอย่างแน่นอน
แต่ก็ฟินอยู่ดีค่ะ ผู้แปลคิดแบบนี้จะโดนสั่งกุดหัวไหมคะ
ไหหม่า(海馬)