ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 244 มาหาข้า
บทที่ 244 มาหาข้า
บทที่ 244 มาหาข้า
เซี่ยเชียนควบม้าเข้าวังอย่างรวดเร็วทันที แต่กลับถูกขวางไว้หน้าประตูวัง
องครักษ์ที่อยู่หน้าประตูไม่มีใครไม่รู้จักเขา เพียงแต่แปลกใจที่เห็นเซี่ยเชียนที่ปกติจะนิ่งสงบ วันนี้กล้าขี่ม้าบุกเข้ามา
องครักษ์ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าเซี่ย! ในวังขี่ม้าไม่ได้ เชิญใต้เท้าเซี่ยลงจากหลังม้าขอรับ”
เซี่ยเชียนไม่ได้สร้างความลำบากใจให้แก่อีกฝ่าย เขาลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้าไปในวังหลวงเพียงลำพัง
เหล่าองครักษ์ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงพากันซุบซิบในทันใด…
“วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น? ใต้เท้าเซี่ยออกจากวังไปตั้งแต่เมื่อเที่ยงไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ถึงได้วิ่งร้อนรนกลับมา?”
“หุบปาก! ทำหน้าที่ของตัวเองไป อย่ามัวแต่ถกเถียงเรื่องนั้นเรื่องนี้”
ระหว่างทาง นางกำนัลในวังพากันแสดงความเคารพต่อเซี่ยเชียน แม้ว่าเขาจะมีสีหน้าปกติ แต่ฝีเท้ากลับเร่งรีบจนแทบมองไม่ทัน
เซี่ยเชียนมักจะเข้านอกออกในวังอยู่บ่อยครั้ง คนในวังล้วนรู้จักเขา และต่างมองความผิดปกติในวันนี้ของเขาอย่างแปลกใจ…
กระทั่งมาถึงตำหนักใหญ่ของลานประลอง เซี่ยเชียนเพิ่งจะเข้าใกล้ได้ไม่นาน ก็เห็นเหล่านางกำนัลที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายมีสีหน้าดูกระวนกระวายใจ
ต๋ากงกงส่งคนมาเฝ้ารักษาการณ์ หลังจากเขาเห็นเซี่ยเชียนก็รีบรุดหน้าเข้ามาต้อนรับ “ใต้เท้าเซี่ย! ในที่สุดท่านก็มา”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้วแน่น บรรยากาศรอบตัวยิ่งหนักอึ้งมากขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามออกไปตรง ๆ “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?”
ขันทีน้อยส่ายหน้า และพูดเสียงต่ำว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ตำหนักหน้าได้เรียกหมอหลวงแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดออกมา ต๋ากงกงสั่งไว้ รอให้ใต้เท้ามาถึงก็ให้รีบเข้าไปขอรับ”
ในใจของเซี่ยเชียนมีลางสังหรณ์…ดูท่าไม่ดี
ดวงอาทิตย์ในครึ่งเช้าแรกไต่ขึ้นมาถึงระดับสูงที่พาให้แสบตา ตำหนักใหญ่ของลานประลองปิดกั้นแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นจนหมดสิ้น คล้ายกับมีคนอ้าปากและกลืนกินเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยเชียนอยู่ในวังมานานหลายปีก็ยังไม่เคยรู้สึกตึงเครียดเช่นนี้มาก่อน
เขาไม่เป็นกังวลถึงบทลงโทษที่กำลังจะมาถึง ต่อให้ต้องถูกถอดเครื่องแบบราชการ หรือเสียสละชีวิต สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
มีองค์จักรพรรดิเพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นคนเดียวในใต้หล้านี้ที่ร่วมระลึกความทรงจำในอดีตไปพร้อมกับเขาได้ และถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งยวด
เขาไม่อยากให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับฝ่าบาท
เซี่ยเชียนรวบรวมสติ สีหน้าของเขานิ่งสงบ จากนั้นก็ผลักประตูตำหนักที่สูงใหญ่เข้าไป ภายในตำหนักนั้นเงียบสงัด
เสียงของต๋ากงกงดังเข้ามาจากหลังตำหนัก “ใต้เท้าเซี่ยมาแล้วหรือ?”
เซี่ยเชียนไม่พูดสิ่งใด แค่ก้าวเดินไปข้างหน้า แต่เสียงฝีเท้ากลับดังก้องกังวานอยู่ในตำหนักใหญ่ที่กว้างขวางแห่งนี้ กระทั่งเลี้ยวมายังด้านหลังตำหนัก จึงได้หยุดลง…
ตำหนักด้านหลังมีนางกำนัลคุกเข่าอยู่บนพื้น ไร้ซึ้งเสียงใด ต๋ากงกงที่เฝ้าอยู่หน้าแท่นพระบรรทมหันกลับไปพูดด้วยความเคารพ “ใต้เท้าเซี่ยเชิญขอรับ”
ในใจของเซี่ยเชียนตื่นตระหนกไม่น้อย
บางทีอาจเพราะสีหน้าของเซี่ยเชียนดูแย่ลงมาก ต๋ากงกงจึงได้ลุกขึ้น และพูดเสียงเบาอย่างรวดเร็วว่า “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จไปฝึกขี่ม้ายิงธนูในลานประลอง แต่เพราะม้าตกใจ เลยทรงพลัดตกจากหลังม้า แต่ใต้เท้าเซี่ยไม่ต้องเป็นกังวลเกินไป ฝ่าบาทไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงถึงชีวิต เพียงแต่ตอนนี้ทรงสลบไปเท่านั้น”
ม้าหลวงในคอกของวังหลวงล้วนได้รับการคัดสรรมาอย่างดีไม่ใช่หรือ? ม้าที่ใช้ขี่และยิงธนูถือเป็นม้าที่วิ่งเร็วมาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการตื่นตกใจแต่อย่างใด
ครั้นได้ยินว่าองค์จักรพรรดิทรงพลัดตกจากหลังม้า แผ่นหลังของเซี่ยเชียนก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อทันที
โชคดีที่สวรรค์ยังคุ้มครอง ไม่ว่าจะพระศอหักยามตกจากหลังม้า หรือถูกม้าที่วิ่งเร็วเหยียบร่าง…ใด ๆ ล้วนเกี่ยวพันถึงชีวิตของเขาทั้งสิ้น
เซี่ยเชียนก้าวขึ้นหน้าอย่างไม่อาจควบคุมได้ หลังจากก้าวขึ้นมาได้สองก้าว ก็หยุดชะงักลง จากนั้นก็เอ่ยถามต๋ากงกงด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “ม้าในลานประลองตื่นตกใจ เดิมทีข้าคือคนที่ไม่น่าสงสัยที่สุด เหตุใดถึงเรียกข้ามาที่นี่?”
ต๋ากงกงยิ้มอย่างลำบากใจและพูดว่า “ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงสลบไป ได้ตรัสไว้ประโยคหนึ่ง ให้เรียกใต้เท้าเซี่ยมาเฝ้าอารักขา ห้ามคนภายนอกล่วงรู้เด็ดขาด”
เซี่ยเชียนเงียบลง
ต๋ากงกงจึงพูดต่อว่า “ใต้เท้าเซี่ยเฉลียวฉลาด น่าจะเข้าใจได้ ฝ่าบาททรงเรียกใต้เท้ามาที่นี่นั้นเพราะกลัวว่าข่าวจะรั่วไหล ใต้เท้าอาจจะโดนเหล่าขุนนางโจมตี ครานี้ไม่มีที่ใดจะปลอดภัยมากกว่าอยู่ข้างกายฝ่าบาทอีกแล้ว”
หมอหลวงยืนอยู่ด้านข้าง เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ทำตัวเหมือนรูปปั้นที่ไม่ได้ยินไม่เห็นไม่คิดอะไร และไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย
ความปลอดภัยของลานประลองเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเซี่ยเชียนทั้งหมด ทันทีที่เกิดเรื่อง เซี่ยเชียนย่อมเป็นเป้าหมายแรกที่โดนสงสัย แต่บัดนี้ฝ่าบาทกลับเรียกเขามาอยู่ข้างกาย
ผู้มีปัญญาจะรู้ทันทีที่เห็น แบบนี้ไม่เพียงแต่จะไม่โดนสงสัยแล้ว ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นการปกป้องเสียด้วยซ้ำ
“ตอนนี้ทุกคนในลานประลองล้วนถูกควบคุมไว้หมดแล้ว ม้าที่ตื่นตกใจก็ได้รับการดูแลอย่างดี ใต้เท้าไม่ต้องกังวล ขอแค่อยู่เฝ้าฝ่าบาท รอฝ่าบาททรงฟื้นก็พอ”
ต๋ากงกงถอยออกไปอยู่อีกด้าน หลีกทางให้พื้นที่แก่เซี่ยเชียน
เซี่ยเชียนรุดขึ้นหน้า จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างแท่นบรรทมขององค์จักรพรรดิ
เข่าที่เพิ่งโดนเศษกระเบื้องบาดไปช่วงเช้าตอนนี้ดูเหมือนจะปริแตกอีกครั้ง ความเจ็บปวดได้ย้ำเตือนเซี่ยเชียนว่าคนที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียงคือความจริง
ทุกอย่างในตอนนี้คือความจริง…
บุคคลบนเตียงมีสีหน้าไร้เลือดฝาด ขนงรูปดาบอันดกหนาที่มักจะเลิกสูงอยู่เสมอในเวลานี้ได้ขมวดเข้าหากัน คล้ายกับกำลังว้าวุ่นใจอยู่ในความฝัน
บางทีศีรษะอาจจะกระแทกตอนตกจากหลังม้า เพราะบนพระเศียรขององค์จักรพรรดิมีผ้าพันแผลสีขาวพันไว้อย่างแน่นหนา พระโลหิตสีแดงซึมทะลุออกมา เด่นชัดจนเป็นจุดสังเกต
จู่ ๆ เซี่ยเชียนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดเสียงต่ำว่า “ ‘อาฝู’ ที่กระหม่อมเรียกฝ่าบาทมานานหลายปี ในที่สุดก็มีประโยชน์บ้างแล้ว อย่ารังเกียจว่าชื่อนี้ไม่ไพเราะและไม่มีเสน่ห์เชียวนะ”
เสียงของเซี่ยเชียนนั้นเย็นชาและแฝงไปด้วยความทรงจำ พาให้ทุกคนตะลึงงันไปชั่วขณะ
ทุกคนที่นี่ แม้แต่ต๋ากงกงที่อยู่ปรนนิบัติองค์จักรพรรดิมาตั้งแต่วัยเยาว์ ก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเคยมีชื่อเล่นเช่นนี้มาก่อน
เขาเข้าใจทันใดว่าความไว้วางใจที่ผู้เป็นนายมอบให้เซี่ยเชียนนั้นมาจากที่ใด?
เซี่ยเชียนไม่ส่งเสียงใด ๆ อีก ได้แต่มององค์จักรพรรดิอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้น
ใบหน้าของเขาฉายแววเย็นชาและแข็งกระด้าง ก่อนจะพูดกับต๋ากงกงว่า “คนในลานประลองถูกขังไว้ที่ใด? ให้คนพาข้าไปเดี๋ยวนี้”
ใบหน้าของต๋ากงกงเปลี่ยนสีทันใด จากนั้นก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่ ไม่ได้! ใต้เท้าเซี่ย ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ให้ใต้เท้าเซี่ยอยู่เฝ้า … ข่าวที่ฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บคงปิดไว้ไม่ได้นาน ถ้าใต้เท้าเกิดเรื่อง ข้าน้อย ข้าน้อยไม่มีหน้าไปกราบทูลฝ่าบาทแน่!”
เซี่ยเชียนพูดอย่างเย็นชา “การฝ่าฝืนพระราชโองการคือการตัดสินใจของข้าผู้เดียว เมื่อฝ่าบาททรงฟื้น ข้าจะรับโทษเอง”
ต๋ากงกงมักจะปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายของฝ่าบาท รู้จักนิสัยดื้อรั้นของเซี่ยเชียนเป็นอย่างดี แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ล้วนแต่จนปัญญา ครั้นเห็นเขาดึงดันจะออกไป ก็รู้ว่าตัวเองคงขวางไว้ไม่ได้
แต่ต๋ากงกงก็ยังไม่ยอมวางใจ ยังคงพยายามโน้มน้าวอย่างเต็มที่ “ใต้เท้าเซี่ย เวลานี้ความปลอดภัยของฝ่าบาทคือสิ่งสำคัญที่สุด ตอนนี้ฝ่าบาทยังคงสลบไสล ใต้เท้าควรจะอยู่เฝ้าที่นี่…”
เซี่ยเชียนมีสีหน้าเคร่งขรึมลง ใบหน้าเย็นชานั้นปกคลุมด้วยรังสีเย็นเยือก “นำทางไป!”
ตัวเขาในชุดสีดำแผ่กลิ่นอายรอบตัวกดดันจนต๋ากงกงพูดไม่ออก แม้แต่คนในวังเองก็ล้วนหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลยสักคนเดียว
ต๋ากงกงเองก็ทนไม่ไหวเช่นกัน ในระหว่างที่กำลังประนีประนอมนั้น กลับได้ยินเสียงที่อ่อนแอเสียงหนึ่งดังมาจากบนเตียง “เซี่ย เซี่ยเชียน เจ้าบังอาจ…”
เซี่ยเชียนนิ่งอึ้งเล็กน้อย แต่กลับได้ยินต๋ากงกงพูดด้วยความดีใจ “ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าเซี่ย! ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว ฝ่าบาททรงตรัสแล้ว”
เขาหันกลับไป และเห็นองค์จักรพรรดิที่มีใบหน้าซีดเผือดกำลังนอนลืมตาอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
เซี่ยเชียนไม่อยากจะเชื่อ
เสียงโห่ร้องดังระงมอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนในวังต่างตะโกนด้วยความปีติยินดี “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว!”
คนบนแท่นบรรทมเลื่อนสายตามาหยุดที่เซี่ยเชียน และพูดด้วยเสียงที่อ่อนแอว่า “มา…มาหาข้า”
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พวกเขาเป็นสหายกัน…พวกเขาเป็นพี่น้องกัน…/พูดย้ำกับตัวเองแต่นิ้วเท้ากลับจิกพื้น อุดปากกรี๊ดในใจ/
พลังแห่งมิตรภาพนี่มันรุนแรงเหลือเกินค่ะ มีเรียกชื่อเล่นกันด้วย ฟดกฟวด่ฟบไนด่ลำรบำ กี๊ดดดดดด
ไหหม่า(海馬)