ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 248 จำเป็นต้องรวดเร็วฉับไว
บทที่ 248 จำเป็นต้องรวดเร็วฉับไว
บทที่ 248 จำเป็นต้องรวดเร็วฉับไว
ฝูลี่ตื่นนอนและตามอาจื้อออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ จึงไม่รู้แน่ชัดว่าภายในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้น เลยสอบถามฝูหยาเงียบ ๆ “พี่หญิง เมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
ฝูหยาส่งคนออกไปเชิญหลินเหราเข้ามา ทั้งยังนำแขกไปอยู่ในห้องโถงด้านหน้า จากนั้นก็เรียกเหล่าคนรับใช้ให้ไปเตรียมอาหารเที่ยง ก่อนจะเจียดเวลาออกมา
นางลากฝูลี่ไปด้านข้าง จากนั้นก็กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เมื่อเช้ามีพระราชโองการจากในวัง บอกว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้คุณชายหลินและคุณชายเหยาเป็นองครักษ์รักษาพระองค์”
ฝูลี่แสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจ “นี่มันข่าวดีมากเชียวนะ! ฝูลี่ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับคุณชายทั้งสองท่านเลย”
ฝูหยากดมือของฝูลี่เบา ๆ และพูดต่อว่า “ต่อมาก็ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองค์จักรพรรดิในวัง ทรงตกจากหลังม้า ไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง นายท่านจึงถูกเรียกเข้าวังหลวงโดยด่วน”
องค์จักรพรรดิเกิดเรื่อง?! ตอนนี้นายท่านก็ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ในวังหลวง…
ความกระวนกระวายเกิดขึ้นภายในใจของฝูลี่ทันที ส่งผลให้มือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างอดไม่ได้ แม้แต่เสียงก็ยังสั่นเครือ “นายท่านเข้าวังไปตั้งแต่เมื่อใด? ตอนนี้ได้ข่าวบ้างหรือไม่? ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง นายท่านจะมีอันตรายหรือไม่? จวน จวนของเรา…”
ในเมืองหลวงมักจะมีจวนใหม่ ๆ ผุดขึ้นมาเสมอ ครอบครัวขุนนางเก่าแก่จึงมักจะตกต่ำลง
เซี่ยเชียนได้รับความเชื่อใจจากฝ่าบาท ส่งผลให้ตำแหน่งค่อย ๆ ถูกเลื่อนสูงขึ้น แต่บัดนี้ตระกูลเซี่ยนั้นเป็นดุจการราดน้ำมันในกองเพลิง ดั่งการเติมบุปผาบนดิ้นแพร[1] ซึ่งความจริงแล้วทุกสิ่งล้วนเป็นวิมานกลางอากาศ[2]
แม้แต่คนรับใช้ของจวนเซี่ยต่างก็รู้ว่าเซี่ยเชียนเป็นขุนนางที่บริสุทธิ์ เป็นขุนนางอิสระ โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ในราชสำนัก
หากคราวนี้สูญเสียความไว้วางใจขององค์จักรพรรดิไป จวนเซี่ยก็คงไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหน
ฝูหยากุมมือของฝูลี่และพูดอย่างอบอุ่นว่า “อย่ากังวลไป พ่อบ้านหมิงเข้าวังไปสืบข่าวคราวแล้ว เรารออย่างเงียบ ๆ เถอะ”
ฝูลี่กัดริมฝีปากและพยักหน้า
นางไม่เคยมีประสบการณ์อะไรเลย ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ความกระวนกระวายยังคงวนเวียนอยู่ในใจ ไม่จางหาย
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นฝูลี่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกจึงพูดขึ้นว่า “พี่หญิงบอกว่า คุณชายทั้งสองล้วนได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นองครักษ์รักษาพระองค์ใช่หรือไม่? เช่นนั้นแสดงว่าก็สามารถเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้อย่างนั้นสิเจ้าคะ?”
ฝูหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยเตือน “ฝูลี่ ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเข้าไปยุ่ง หยุดพูดมากได้แล้ว”
ฝูลี่เม้มปาก ไม่พูดสิ่งใดอีก
นางรู้ว่าคุณชายทั้งสองล้วนไม่ใช่คนที่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน คุณชายหลินผู้มีสีหน้าที่เย็นชาที่สุด ในสายตาของฝูลี่นั่นเป็นเพียงแค่นิสัยที่ต้องการปกป้องตัวเองให้ห่างจากผู้อื่นเท่านั้น
บัดนี้จวนเซี่ยเกิดเรื่องใหญ่ นางต้องบอกพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายทั้งสองคนก็มีอำนาจเพียงพอที่จะช่วยเหลือจวนเซี่ย
ถ้าหาก…ถ้าหากสามารถช่วยแบ่งเบาภาระนายท่านได้… ฝูลี่ก็ยอมเสี่ยงรับโทษข้อหาปากมาก ยอมทำเรื่องนี้
ทว่านี่เป็นเวลามื้อเที่ยง เซี่ยหมิงได้วิ่งไปยังเขตพระราชฐานรอบหนึ่ง และกลับออกมาจากราชวัง
ยามที่เซี่ยหมิงกลับถึงจวนเซี่ย เห็นหลินเหราและเหยาเฉานั่งอยู่ในห้องโถงด้านหน้า เหมือนกำลังรอเขากลับมา ส่วนนายน้อยหลินไม่รู้ไปวิ่งเล่นที่ใด
บนหน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อผุดซึมออกมาเป็นชั้นบาง ๆ สีหน้าดูเคร่งเครียด กระทั่งเดินตรงมาถึงด้านหน้าของหลินเหราและเหยาเฉา จากนั้นก็ทำความเคารพทั้งสองคนอย่างสุภาพ “คุณชายทั้งสอง จวนเซี่ยมีเรื่องสำคัญต้องรบกวนคุณชายทั้งสองท่าน ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองท่านจะรับฟังหรือไม่ขอรับ?”
ทั้งสองคนหันข้าง หลีกเลี่ยงการทำความเคาพของเซี่ยหมิง
หลินเหราพูดว่า “มิบังอาจ”
เซี่ยหมิงยังคงทำความเคารพจนเสร็จสิ้น ทั้งสองคนจึงทำได้แค่น้อมรับ
เหยาเฉาพูดเสียงอ่อนโยนว่า “พ่อบ้านหมิงไม่ต้องเกรงใจหรอก เมื่อครู่แม่นางฝูลี่ที่อยู่ในจวนได้เล่าให้เราฟังคร่าว ๆ แล้ว ถ้าเรามีประโยชน์ ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน เพียงแค่ไม่ทราบว่าเราควรจะออกแรงอย่างไร?”
เซี่ยหมิงโบกมือให้คนรับใช้ทั้งหมดถอยออกไป ยามที่ห้องโถงกลางเหลือแค่พวกเขาสามคน จึงพูดเสียงเบาว่า “เมื่อครู่ข้าเข้าวังไปสืบข่าวคราว ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บจากการขี่ม้าในลานประลอง ม้าตัวนั้นตกใจโดยไม่ทราบสาเหตุ มั่นใจว่ามีคนตั้งใจทำ เพียงแต่…นายท่านคงยากที่จะหลุดพ้นจากความผิด”
หลินเหราเอ่ยปากถามถึงปัญหาที่ตัวเองเป็นกังวล “ทุกคนในลานประลองถูกควบคุมไว้แล้วใช่หรือไม่?”
เซี่ยหมิงพยักหน้า “ต๋ากงกงของพระองค์ได้ออกคำสั่งให้ขังทุกคนไว้ ตอนนี้นายท่านเข้าไปตรวจสอบเพียงลำพัง เกรงว่าอีกไม่นาน ข่าวคงแพร่สะพัดออกไป นายท่านอาจจะต้องถูกไต่สวนเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย”
หลินเหราและเหยาเฉาพยักหน้า เข้าใจความหมายของเซี่ยเชียน
เหยาเฉาจึงพูด “เราสองพี่น้องอาจสามารถช่วยใต้เท้าเซี่ยตรวจสอบ หลีกเลี่ยงการถูกสงสัย ป้องกันมิให้ใครก่อการจลาจล เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างอาเหราและใต้เท้าเซี่ย คงจะให้คนภายนอกล่วงรู้ไม่ได้”
เซี่ยหมิงรีบพูดขึ้นว่า “ความสัมพันธ์ของคุณชายหลินและนายท่าน มีแค่คนรับใช้ภายในจวนเท่านั้นที่รู้ เรื่องนี้จะเล็ดรอดออกไปไม่ได้”
ทั้งสองคนพยักหน้า
หลินเหราปรึกษาหารือกับเหยาเฉาด้วยเสียงแผ่วเบา ความคิดคร่าว ๆ ต่างถูกร่ายเรียงออกมา
เช่นนั้นที่เหลือก็คงเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด
เหยาเฉาเอ่ยถามขึ้น “ไม่ทราบว่าเราต้องเข้าวังเมื่อใด? แล้วมีขอบเขตในการสอบสวนหรือไม่?”
เซี่ยหมิงพยักหน้าและพูดเสียงเบาว่า “ในวังมีคนของฝ่าบาทคอยช่วยเหลือ เรื่องนี้ข้าจัดการได้ คุณชายทั้งสองคนโปรดวางใจ แค่ตามข้าเข้าวังไปก็พอ”
หลินเหราและเหยาเฉาไม่ได้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างแต่อย่างใด เหยาเฉานั้นรอบคอบยิ่งกว่า เอ่ยถามอย่างละเอียดอีกสองสามประโยค เซี่ยหมิงจึงบอกตอบเรื่องที่รู้ทีละคำถาม
หลินเหราทอดถอนใจอีกครั้ง “เกรงว่าจะมีการเคลื่อนไหวแล้ว เพียงแต่ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้านเท่านั้น”
เซี่ยหมิงเห็นพวกเขาสองคนปราดเปรียวและมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง จึงอดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘หากท่านทั้งสองช่วยเหลือนายท่านไปก่อนหน้านั้น หลายปีมานี้นายท่านก็คงไม่ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ในราชสำนัก’
หวังแค่เรื่องในวันนี้ จะไม่มีอันตรายร้ายแรง…
หลินเหราและเหยาเฉาตามเซี่ยหมิงเข้าวังอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ไม่มีคนภายนอกล่วงรู้ แม้แต่เส้นทางที่ใช้เดินก็ยังเป็นเส้นทางสายเล็กไร้ผู้คน
รอจนเซี่ยหมิงพาทั้งสองคนมาส่งในวังแล้ว เขาได้พาไปยังสถานที่ที่เงียบสงบ ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “คุณชายทั้งสองโปรดรออยู่ที่นี่ครู่หนึ่งนะขอรับ ประเดี๋ยวเล่อกงกงของฝ่าบาทจะพาพวกท่านเข้าไป สถานะของข้าคงไม่สะดวก หากถูกผู้อื่นเห็นเข้า ความสัมพันธ์ของเราอาจจะปกปิดไว้ไม่อยู่”
หลินเหราและเหยาเฉาต่างพากันพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ
เซี่ยหมิงเร่งฝีเท้า ตรงเข้าไปหาใครบางคนในตำหนัก
ที่แห่งนี้ร้างผู้คนโดยแท้จริง ตอนนี้รอบตัวไม่มีผู้ใดเหลือแค่หลินเหราและเหยาเฉาเพียงสองคน พวกเขาจึงอาศัยโอกาสนี้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
หลินเหราวิเคราะห์ออกมาได้ว่า “ลงมือกับม้าในลานประลอง ไม่อยากเปิดเผยสถานะ ทำได้แค่เคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ ขอแค่เป็นผู้ที่เคยสัมผัสกับม้ามาก่อน จะต้องเปิดเผยความลับออกมาอย่างแน่นอน ถือโอกาสตรวจสอบทิศทางของม้า ไม่น่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ”
เหยาเฉาพยักหน้า พลางครุ่นคิดและพูดว่า “ตอนนี้รายละเอียดที่เรารู้ยังไม่เพียงพอ หวังแค่ว่าคนของฝ่าบาทจะมีใจดวงเดียวกับใต้เท้าเซี่ย เช่นนี้ถึงจะสามารถรู้ข่าวคราวที่มากขึ้นโดยแท้จริง แค่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในลานประลองเมื่อครู่ ความผิดปกติของม้า สถานการณ์ในราชสำนักตอนนี้ก็อาจจะคาดการณ์ถึงสถานะของคนที่ลงมือได้”
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เหมือนกับกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เป็นไปได้
กระทั่งได้ยินเหยาเฉาหัวเราะออกมาหนึ่งครั้ง “แต่ขนาดเรายังคาดเดาได้ คงไม่มีข่าวคราวอะไรที่มากกว่านี้แน่ เราวางใจได้”
หลินเหราพยักหน้า
กระทั่งได้ยินเหยาเฉาคล้อยตามความคิดของหลินเหราและพูดต่อว่า “ถ้าบอกว่าอยากลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ ในวังคือที่ที่สะดวกที่สุด ปกติแล้วฝ่าบาทจะไม่พาองครักษ์ไปด้วยกระมัง? จึงทำได้แค่เลือกใช้ลานประลอง โชคดีที่มีองครักษ์ หากจะบอกว่าไม่ใช่แผนการที่ตั้งใจ เกรงว่าคงมีคนอื่นเกี่ยวข้อง”
หลินเหราเองก็คิดแนวเดียวกับเหยาเฉา จึงพูดต่อว่า “ตั้งแต่ม้าตกใจกระทั่งตกจากหลังม้า เป็นเวลาในการตอบสนองที่ค่อนข้างสั้นมาก ตราบใดที่ไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแอ การรักษาชีวิตก็อาจจะมีความเป็นไปได้”
ทั้งสองคนมองตากัน เหยาเฉาจึงพูดเสียงเบาว่า “หากอาการบาดเจ็บร้ายแรง…”
ดูจากองค์จักรพรรดิที่นอนอาการสาหัสอยู่บนแท่นพระบรรทมแล้ว ตัวแปรในราชสำนักมีมากเกินไปจริงๆ
เหยาเฉาทอดถอนใจ ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
จากการคาดเดาของทั้งสองคนในตอนนี้ สถานการณ์ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น เกรงว่าจุดประสงค์ของผู้ริเริ่มนั้นคงอยากดึงเซี่ยเชียนให้ตกจากหลังม้าที่สุด
หลินเหราและเหยาเฉาไม่มีใครพูดคำอนุมานนี้ออกมา
ลำพังแค่เซี่ยเชียนคนเดียว ไม่มีการสนับสนุนจากครอบครัว ขึ้นมาถึงตำแหน่งหัวหน้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน และดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการฝ่ายองครักษ์วังหลวง เกรงว่าคงกลายเป็นเป้าหมายนานแล้ว
ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่ยอมปล่อยเซี่ยเชียน แต่หากความสามารถและความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อเขาลดลง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพระวรกายขององค์จักรพรรดิ…
ผ่านไปเนิ่นนาน เหยาเฉาจึงได้ทอดถอนใจและพูดอย่างปวดหัวว่า “เพิ่งจะได้รับพระราชโองการไม่ถึงหนึ่งวัน เพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้เพียงสองวัน เราสองคนก็ต้องแทรกตัวเข้าไปยุ่งกับปัญหาวุ่นวายขนาดใหญ่เช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้ายหรือเรื่องดี หวังแค่ว่าสถานการณ์ของเรื่องจะไม่พัฒนาไป ถึงขั้นไม่สามารถควบคุมได้… ”
หลินเหรารู้ดีว่าเหยาเฉาไม่ได้มีนิสัยนิ่งดูดาย จึงเกิดความลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดในสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกไป “พี่รอง เรื่องนี้พี่ไม่ควรเข้ามายุ่ง”
เหยาเฉาส่ายหน้า และถามหลินเหรากลับว่า “ข้าไม่เข้าไปยุ่งก็ได้ แต่อาเหรา เจ้าจะยืนเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ?”
หลินเหราเงียบไป
แม้ว่าเขาจะไปมาหาสู่กับเซี่ยเชียนได้ไม่นานนัก แต่ก้นบึ้งของหัวใจก็ยังยอมรับในความประพฤติอย่างมีคุณธรรมของเซี่ยเชียน นับถือเขาเป็นครอบครัวของตัวเอง
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าจงใจเล็งเป้าไปยังเซี่ยเชียน หลินเหราไม่มีทางมองดูเขาตกระกำลำบากอย่างโดดเดี่ยวได้หรอก
เพียงแต่…เขาไม่อยากดึงเหยาเฉาเข้ามาเกี่ยวข้อง
ครั้นเห็นหลินเหราขมวดคิ้วแน่น เหยาเฉาจึงได้แค่ยิ้มและพูดปลอบใจว่า “อย่าคิดมากขนาดนั้นสิ เราสองพี่น้องไม่ร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมกันตั้งแต่เมื่อไร? อีกทั้งในเมืองคนของฝ่าบาทยังคงยืนอยู่ข้างใต้เท้าเซี่ยชั่วคราว จึงได้ปล่อยพวกเราสองคนเข้ามา คิดว่าฝ่าบาทคงไม่มีทางเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน”
หลินเหราอ้าปาก “แต่พี่รอง…”
เรื่องที่ต้องหาคำตอบจำเป็นจะต้องรวดเร็วฉับไว มิเช่นนั้นถ้าเซี่ยเชียนถูกดึงตกจากหลังม้า พวกเขาสองคนจะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกโจมตี
เหยาเฉาและเซี่ยเชียนรู้จักกันไม่กี่วัน เหตุใดเขาถึงต้องยอมเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงถึงเพียงนี้?
เหยาเฉารู้ความกังวลในใจของหลินเหรา จึงตัดบทสนทนาของเขา และพูดอย่างจริงจังว่า “อาเหรา เจ้าไม่ได้มีนิสัยสองจิตสองใจเช่นนี้นี่ ขนาดอันตรายบนภูเขาเฮยหู่ เราสองพี่น้องก็บุกเข้าไปด้วยกัน วันนี้จะเป็นอะไรไปเล่า?”
สายตาของหลินเหราเคร่งขรึมลง ครั้นเห็นสายตาของเหยาเฉา จึงพูดอย่างจริงจังว่า “พี่รอง ขอบคุณท่านมาก”
เหยาเฉายิ้มอย่างเบิกบานใจ เขาในชุดสีขาวแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นที่แตกต่างจากวันปกติ ก่อนจะพูดกับหลินเหราว่า “เอาล่ะ ระหว่างพี่น้องจะมาขอบคงขอบคุณอะไรกัน ถ้าคิดเช่นนี้ มิตรภาพที่เจ้ารักษาสารพัดในวันที่บุกเข้าไปทลายภูเขาเฮยหู่ ข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย”
ใบหน้าของหลินเหราแสดงออกถึงความจริงจัง จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “เพราะข้าดึงพี่รองเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าจึงต้องปกป้องพี่รองให้ถึงที่สุด”
เหยาเฉาไม่อยากให้หลินเหรามีความกังวลในใจจึงพูดหยอกล้อว่า “งั้นข้าจะรออยู่ด้านหลังของอาเหราอย่างสงบ ตั้งใจตรวจสอบ! เราสองพี่น้องก็เหมือนกับกุ้งฝอยที่ลอยเข้ามาในน่านน้ำขุ่นของเมืองหลวงได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าจะทำให้น้ำขุ่นขึ้นกว่าเดิมหรือไม่”
หลินเหราเห็นท่าทางสบายใจและผ่อนคลายของเขา จึงอดยิ้มไม่ได้ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในใจ…………………………………………………………………………………………………
[1] เติมบุปผาบนดิ้นแพร = สิ่งที่เติมแต่งลงไปให้สิ่งต่างๆ สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ส่วนความหมายตรงข้ามก็คือการประโคมเติมแต่งสิ่งต่าง ๆ ลงไปอย่างไม่จำเป็น
[2] วิมานกลางอากาศ =คำพูดที่ไกลห่างจากหลักเหตุผลและข้อเท็จจริง การโกหกหรือสร้างเรื่องสมมติ
สารจากผู้แปล
หัวหน้าเซี่ยตกที่นั่งลำบากแล้ว อาเหรากับอาเฉาช่วยเหลืออีกแรงด้วยเถอะค่ะ
ไหหม่า(海馬)