ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 250 การสารภาพเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเจ้าได้
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม
- บทที่ 250 การสารภาพเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเจ้าได้
บทที่ 250 การสารภาพเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเจ้าได้
บทที่ 250 การสารภาพเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเจ้าได้
ใต้เท้าหลี่ไม่สนใจว่าคนแปลกหน้าทั้งสองคนตรงหน้ามาจากที่ใด ตราบใดที่เซี่ยเชียนไม่ยินดี เขาก็ดีใจ
ใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมมาตลอดของเขาได้เผยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ “ใต้เท้าหลินและใต้เท้าเหยา? ช่างดูอ่อนเยาว์ยิ่งนัก…”
หลินเหราไม่พูดสิ่งใด เหยาเฉายิ้มพร้อมกับพยักหน้า นัยน์ตาเรียวยาวดุจดอกท้อเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพเอ่อล้น ก่อนจะเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “มิบังอาจ”
ใต้เท้าจ้าวมองไปยังเซี่ยเชียนด้วยความสงสัยใคร่รู้แวบหนึ่ง จากนั้นก็มองพิจารณาใบหน้าของหลินเหราอย่างละเอียด…
ต๋ากงกงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เขาเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ขวางสายตาของใต้เท้าจ้าวที่มองมาอย่างฉลาดหลักแหลม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเขาจับได้จนมองออกถึงส่วนคล้ายคลึงกันบนใบหน้าของหลินเหราและเซี่ยเชียน
ใต้เท้าจ้าวมองไปยังหลินเหราครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือด เพียงแค่รู้สึกว่านิสัยที่หลินเหรามักจะปกป้องตนเองให้ห่างจากผู้อื่นในเวลาปกตินั้น เหมือนกับท่าทางเกลียดชังของเซี่ยเชียนไม่น้อย
เขาและใต้เท้าหลี่คิดเหมือนกัน ตราบใดที่ไม่ให้เซี่ยเชียนมาตรวจสอบคดีความ จะเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็ได้ เขาไม่สน
ใบหน้าอวบอ้วนของใต้เท้าจ้าวเผยรอยยิ้มอิ่มเอม และพูดกับต๋ากงกงว่า “ในเมื่อกงกงเป็นผู้ประกาศคำชี้แนะของฝ่าบาท ข้าน้อยจ้าวก็ไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้ง เพียงแต่ใต้เท้าเซี่ยที่อยู่ ณ ที่นี่…”
เรื่องสำคัญเพียงนี้ เดิมทีเขาคิดว่าเซี่ยเชียนไม่มีทางยอมให้ชายแปลกหน้าสองคนเข้ามาตรวจสอบคดีนี้เป็นแน่ ใครจะไปคิดเล่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้คัดค้านอย่างรุนแรงเหมือนที่เขาคิดไว้เช่นนั้น
จากนั้นจึงเห็นเซี่ยเชียนสะบัดแขนเสื้ออย่างหนักหน่วงหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดสิ่งใด และเดินตรงไปยังทิศทางของตำหนักด้วยสีหน้าเย็นชา
เมื่อต๋ากงกงเผชิญหน้ากับท่าทางนิ่งอึ้งของทั้งสองคน จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้าทั้งสอง เชิญเถิด”
ใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวเห็นสถานการณ์ดังนั้น จึงทำได้แค่ตามต๋ากงกงไปยังตำหนักหน้า…
ด้านนอกลานประลองจึงเหลือเพียงหลินเหรา เหยาเฉา และขันทีน้อยที่นำทางทั้งสองคนอย่างอาเล่อเท่านั้น
อาเล่อเห็นสีหน้าท่าทางที่ต๋ากงกงมีต่อหลินเหราและเหยาเฉากับตาตัวเอง กระทั่งได้ยินคำพูดของเขา จึงทราบว่าองค์จักรพรรดิให้ความสำคัญกับผู้มาใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งสองคนนี้โดยแท้จริง ถึงขนาดให้พวกเขามาตรวจสอบคดีความ
น้ำเสียงในขณะที่พูดกับทั้งสองคนฟังดูน่าเคารพยิ่งขึ้น “ใต้เท้าทั้งสอง สถานที่ที่เกิดเรื่องอยู่ด้านหน้า อยากตามข้าน้อยไปดูหรือไม่ขอรับ?”
เหยาเฉายิ้มบางเบาพร้อมกับพยักหน้า
อาเล่อพาทั้งสองคนมายังลานประลองอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับสถานที่ฝึกฝนของเหล่าทหารในค่ายชานเมืองชิงถงแล้ว ลานประลองในวังหลวงไม่ได้เล็กแต่อย่างใด หลินเหรากวาดตามองไปรอบ ๆ แวบหนึ่ง เพื่อประมาณขนาดของลานแห่งนี้
กระทั่งได้ยินเหยาเฉาพูดด้วยท่าทางเกรงใจว่า “เล่อกงกง รบกวนท่านช่วยเรียกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ยามที่ฝ่าบาททรงตกจากหลังม้ามาที่นี่สักคน เพื่อคอยช่วยเราตรวจสอบคดีนี้”
อาเล่อรีบพูดทันทีว่า “มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ใต้เท้าทั้งสองรอที่นี่ประเดี๋ยวเดียวนะขอรับ”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังสถานที่กักขังทุกคนไว้ชั่วคราว
ปกติแล้วในวังไม่ได้เงียบสงัดเช่นนี้ คนในวังมักจะเดินผ่านไปผ่านมาโดยมิได้พูดสิ่งใด ทุกตำแหน่งล้วนถูกเฝ้ารักษาการณ์ทั้งสิ้น
บัดนี้เรื่องที่องค์จักรพรรดิตกจากหลังม้ายังคงถูกปิดเอาไว้ ข้ารับใช้ที่อยู่ในลานประลองล้วนถูกขังไว้ ลานประลองที่มีขนาดใหญ่โตเพียงนี้จึงเหลือไว้เพียงหลินเหราและเหยาเฉาในพื้นที่ว่างเปล่าแค่สองคน
เหยาเฉาจึงถือโอกาสที่ไม่มีผู้ใดแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหลินเหราด้วยเสียงเบา “อาเหรา เจ้าคิดว่าใต้เท้าจ้าวและใต้เท้าหลี่สองท่านนี้เป็นอย่างไร?”
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดตัดสินว่า “ผู้บงการไม่ใช่พวกเขา”
เหยาเฉายิ้ม พึงพอใจที่ในเวลานี้ความคิดของทั้งสองคนยังไปในทางเดียวกัน “ใต้เท้าทั้งสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องบาดหมางกับใต้เท้าเซี่ยไม่น้อย … และเพราะเหตุนี้ จึงถูกผลักให้เป็นเครื่องมือของผู้อื่น”
หลินเหราพูดเสียงเคร่งขรึม “คนที่อยู่เบื้องหลังมีหนทางในการส่งข่าว ไม่ใช่คนในวังแต่เป็นองครักษ์”
ข่าวที่เล่าผ่านปากคนในวังย่อมไปถึงหูของจิ้งเฟยแน่นอน จิ้งเฟยจะต้องหาทางบอกกล่าวตระกูลจ้าว ส่วนใต้เท้าหลี่ยังคงมีอำนาจหลงเหลืออยู่ในหมู่ขององครักษ์ จึงมักมีลูกน้องของเขาบางคนคอยติดตาม…
การวิเคราะห์นี้ไม่สิ่งใดผิดเพี้ยน
เหยาเฉาพยักหน้า
หลินเหราสอดสายตามองไปรอบ ๆ ช่วยกันตรวจสอบภายในลานประลองพร้อมกับเหยาเฉาอย่างละเอียด
ไม่นานอาเล่อก็พาคนในวังที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหยาบกระด้างผู้หนึ่งเดินเข้ามา
เมื่อคนผู้นั้นเห็นหลินเหราและเหยาเฉาก็คุกเข่าลงทันที จากนั้นก็แสดงความเคารพ “ข้าน้อยอาอวิ๋น ขอแสดงความเคารพต่อใต้เท้าทั้งสอง”
ขันทีน้อยอาเล่อที่อยู่ด้านข้างได้พูดขึ้น “นี่คือผู้ที่รับผิดชอบดูแลม้าทรงของฝ่าบาทในวันนี้ ม้าในลานประลอง ล้วนได้รับการเลี้ยงดูจากผู้ดูแลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยเฉพาะ วันนี้ม้าทรงที่ฝ่าบาททรงเลือกตัวนั้น อาอวิ๋นเป็นผู้ดูแลขอรับ”
เหยาเฉาพูดกับอาเล่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “รบกวนกงกงแล้วล่ะ”
อาเล่อกล่าวคำว่ามิบังอาจ จากนั้นก็หันกลับไปพูดกับอาอวิ๋นอย่างเด็ดขาดว่า “วันนี้ฝ่าบาททรงตกจากหลังม้า คนที่เฝ้าม้าอย่างพวกเจ้าล้วนมีโทษประหารชีวิตสถานเดียว! วันนี้ใต้เท้าทั้งสองมาทำการตรวจสอบ หากรู้ต้องพูด ต้องพูดให้หมดเปลือก จะรักษาชีวิตได้หรือไม่นั้นก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับตรงนี้เท่านั้น!”
อาอวิ๋นรีบพยักหน้าหงึกหงักทันที
หลินเหรามีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยถามเป็นคนแรก “เรื่องในวันนี้เป็นอย่างไร เจ้าเห็นใช่หรือไม่?”
การลงโทษที่กำลังจะมาถึงทำให้ความคิดอาอวิ๋นสับสน เขาอยากจะเล่าในสิ่งที่ตัวเองรู้ทั้งหมดออกมา แต่ความคิดในใจกลับไม่อาจสนับสนุนให้เขาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้
ความน่าเกรงขามจากตัวของหลินเหราทำให้เขาหวาดกลัว ในเวลาเดียวกันก็ต้องย้อนกลับไปหาต้นสายปลายเหตุของเรื่องราว…
เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยประมาณอย่างตะกุกตะกัก “ยามที่ฝ่า…ฝ่าบาททรงขี่ม้า ม้าที่อยู่ในคอกตัวอื่นไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด มีเพียงม้าที่ข้าเลี้ยงไว้เท่านั้น เมื่อเห็นฝ่าบาทขยับเข้าไปใกล้ ตอนนั้นฝ่าบาทยังชื่นชมข้าน้อยอยู่เลย บอกว่าในคอกม้าทั้งคอก มีเพียงม้าที่ข้าน้อยเลี้ยงไว้ดีที่สุด…”
ยามที่อาเล่อเห็นเขาพูดแต่น้ำไม่มีเนื้อ จึงอดเร่งรัดไม่ได้ “จะพูดไร้สาระไปทำไม! ยังไม่เลือกพูดประเด็นสำคัญอีก!”
อาอวิ๋นตัวสั่นงันงก หลังจากเพิ่งหยุดชะงักได้ไม่นาน กลับได้ยินเหยาเฉาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร อาอวิ๋นพูดต่อเถอะ สิ่งที่เจ้าพูดล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น อย่างน้อยเราก็ตัดสินได้ ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จมายังคอกม้านั้น ม้าในคอกมีความผิดปกติแล้ว”
อาอวิ๋นไม่เข้าใจ ขันทีน้อยอาเล่อเองก็ตะลึงงันเช่นกัน
หลินเหราไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายเพิ่มเติม แต่กลับเอ่ยถามอาเล่อว่า “ตอนนี้ม้าอยู่ที่ใด?”
อาเล่อรีบตอบทันทีว่า “นอกจากม้าที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกขังเดี่ยวแล้ว ม้าตัวอื่นล้วนยังอยู่ในคอกขอรับ”
หลินเหราถามอีกว่า “แต่หลังจากเกิดเรื่องมีคนได้สัมผัสกับม้าตัวไหนบ้างหรือไม่?”
คราวนี้เป็นอาอวิ๋นโพล่งขึ้นมาว่า “ไม่เคย ไม่เคย! หลังจากที่ฝ่าบาททรงตกจากหลังม้า ลานประลองทั้งแห่งล้วนถูกต๋ากงกงระดมผู้คนมาปิดไว้ คนที่อยู่ในลานประลองล้วนถูกขังไว้ในที่เดียวกัน…ม้าจึงไม่เคยมีผู้ใดแตะต้องแน่นอนขอรับ”
อาเล่อเองก็พูดคล้อยตาม “เป็นเช่นนี้แน่นอน ทุกที่ในลานประลองล้วนมีคนเฝ้ารักษาการณ์ ไม่มีใครเข้าใกล้ได้”
เหยาเฉาและหลินเหราเข้าใจกันและกัน จากนั้นก็ทำตามความคิดของเขา ด้วยการพูดกับอาเล่อว่า “รบกวนอาเล่อกงกงช่วยพาคนที่เข้าใจเรื่องของม้ามาตรวจสอบม้าที่เหลือในคอกด้วย ว่ามีการใช้ยาที่ผิดปกติหรือไม่ เรื่องนี้จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด กงกงช่วยไปจัดการตอนนี้ได้หรือไม่?”
อาเล่อสับสนเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายของสองคนนี้ “ม้าที่ใช้ยา ไม่น่าจะใช่ม้าที่ฝ่าบาททรงขี่หรอกกระมัง…”
เหยาเฉาถามกลับ “ม้าที่ฝ่าบาททรงขี่ ได้ตรวจสอบถึงความผิดปกติบ้างหรือไม่?”
อาเล่อตะลึงไปก่อนจะส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่มีแน่นอน ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจเรื่องม้าและหมอหลวงในวังล้วนตรวจสอบแล้ว บอกว่าม้าไม่ได้มีความผิดปกติแต่อย่างใด”
เหยาเฉาพูดอย่างอดทน “แต่ผู้ที่มีปัญญาไม่น้อยมักจะเลือกใช้วิธีที่ยากต่อการตรวจสอบได้ ถึงทำการบังคับม้าที่ฝ่าบาททรงขี่ได้ แต่เขาจะรับประกันได้อย่างไรว่าม้าที่ฝ่าบาททรงเลือกนั้นเป็นม้าที่ตัวเองควบคุมได้? หากใช้ยากับม้าตัวอื่น ก็ต้องคิดหาทางให้ม้าที่ตัวเองสามารถควบคุมได้ตัวนี้เข้าใกล้ฝ่าบาทเอง ถึงจะบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ”
อาเล่อและอาอวิ๋นพากันเข้าใจได้ในทันที คนข้างหลังมีท่าทางตื่นตกใจ “หรือว่า…จะเป็นอำพันทะเล(1)บนร่างกายของฝ่าบาท!”
ครั้นเห็นความคิดค่อย ๆ กระจ่างชัดขึ้น พอพินิจพิเคราะห์ดูก็พอจะคลำหาต้นสายปลายเหตุได้ เหยาเฉาไถ่ถาม “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?”
จู่ ๆ อาอวิ๋นก็เหมือนจะคิดได้ เสียงของเขาเพิ่มระดับความดังขึ้นไม่น้อย ระดับความเร็วก็เร่งมากขึ้น “เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเพื่อนจากหมู่บ้านเดียวกันของข้าผู้หนึ่งได้ส่งเครื่องหอมบางอย่างมาให้ข้า บอกว่ายามป้อนอาหารให้ม้าให้ใส่เข้าไปบางส่วน วันข้างหน้าม้าจะได้เข้าใกล้เจ้าของมากขึ้น … แต่การป้อนให้ม้าของฝ่าบาทจะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ข้าน้อยจึงปฏิเสธความหวังดีของเขาไป”
หัวใจของอาเล่อเต้นรัว จากนั้นก็หล่นฮวบลงไปอย่างหนักหน่วง พูดอย่างร้อนรน “เจ้าไม่เคยใช้เครื่องหอมนี้จริง ๆ ใช่หรือไม่? ถ้าไม่เคยใช้ เหตุใดม้าของฝ่าบาทถึงได้มีอาการเหมือนอย่างที่เจ้าว่า วันนี้มันเข้าใกล้ฝ่าบาทด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ?”
อาอวิ๋นรีบแก้ต่าง “ไม่ว่าอย่างไรข้าน้อยก็ไม่กล้าเติมของเหล่านั้นลงไปในอาหารม้าของฝ่าบาทหรอกขอรับ! แต่เพื่อนหมู่บ้านเดียวกับข้าน้อยผู้นั้น กว่าจะได้เครื่องหอมประเภทนี้มาไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ให้ม้ากิน ตัวเองก็ใช้ได้…”
ขันทีที่ทำงานอยู่ในวัง ล้วนชอบใช้เครื่องหอมอย่างมาก
เพราะความพิการด้านร่างกายของพวกเขา ในวันปกติก็มักจะควบคุมการดื่มน้ำอย่างเคร่งครัด เพราะบางครั้งการดื่มน้ำมากเกินไปก็กลั้นปัสสาวะไว้ไม่อยู่
เหตุผลอย่างหลังนั้นทำให้พวกเขาไม่ค่อยจะอาบน้ำชำระร่างกายสักเท่าไร จึงมีกลิ่นตัวยากที่จะทนรับได้
ด้วยความอับจนปัญญา ขันทีโดยส่วนใหญ่จึงมักประโคมเครื่องหอมกันค่อนข้างหนักหน่วง แทบจะชโลมตัวด้วยกลิ่นนี้ทีเดียว
เหยาเฉาไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้สักเท่าไร แต่เลือกที่จะพูดกับอาอวิ๋นว่า “ขอยืมเครื่องหอมของเจ้ามาทำการทดสอบได้หรือไม่?”
อาอวิ๋นล้วงหยิบถุงหอมขนาดเล็กออกมาจากตัวอย่างรวดเร็ว และยื่นให้เหยาเฉา “ใต้เท้าเหยา เชิญท่าน”
เหยาเฉารับไป เลื่อนมาดมตรงปลายจมูกเบา ๆ จากนั้นก็เลื่อนไปตรงปลายจมูกของหลินเหรา และพูดกับเขาว่า “กลิ่นคล้ายกับอำพันทะเลมากทีเดียว”
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดอย่างมั่นใจ “นี่คืออำพันทะเล”
ใบหน้าของอาเล่อเปลี่ยนสีทันใด จากนั้นก็เอ่ยถามอาอวิ๋นว่า “เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! กล้า กล้ากระทำความผิด! เรื่องในวันนี้ เจ้ามีส่วนร่วมใช่หรือไม่?!”
ครั้นอาอวิ๋นได้ยินว่าเครื่องหอมบนตัวคืออำพันทะเล จึงออกอาการตื่นตกใจขวัญกระเจิง คุกเข่าลงกับพื้นโดยตรง และพูดทั้งน้ำตา “ข้าน้อยมิกล้า! การใช้อำพันทะเลมีโทษประหารชีวิตด้วยการตัดหัวสถานเดียว! ข้าน้อยจะกล้าได้อย่างไร? เพียงแต่ข้าน้อยไม่ทราบจริง ๆ แค่รู้สึกว่าเครื่องหอมนี้มันหอมดี จึงพกติดตัว! ข้าน้อยไม่ทราบจริง ๆ ขอรับ!”
อาเล่อกำลังจะอ้าปาก แต่กลับได้ยินเหยาเฉาพูดว่า “เล่อกงกง เวลานี้มันได้เกี่ยวพันถึงเครื่องหอมแล้ว เกรงว่ามันจะบิดเบือนเบาะแสไปมากกว่านี้ กงกงช่วยส่งคนไปตรวจสอบม้าได้หรือไม่?”
ขันทีน้อยเพิ่งคิดได้ เมื่อครู่เหยาเฉาบอกเรื่องม้าที่เหลือในคอกแล้ว…
เขาเห็นเหยาเฉาและหลินเหราวิเคราะห์เบาะแสออกมามากมายหลังจากที่พูดไปเพียงไม่กี่ประโยค จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อคนทั้งสอง สำหรับการขอร้องของเหยาเฉา ย่อมมีความไว้วางใจอย่างเต็มเปี่ยมเป็นธรรมดา
อาเล่อรีบตอบรับว่า “ใต้เท้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ก่อนเที่ยงคนที่มาตรวจสอบม้ายังคงอยู่ ข้าจะไปหาต๋ากงกง วางแผนให้พวกเขาทำการตรวจสอบม้าอีกครั้ง!”
ขันทีน้อยรีบเดินออกไปทันที เหยาเฉาจึงพูดกับอาอวิ๋นว่า “การใช้อำพันทะเลมีโทษประหารชีวิตแน่นอน แต่ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้เจ้าไม่รู้เรื่อง ตอนนี้มีแค่การสารภาพหนทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเจ้าได้”
ดวงตาของอาอวิ๋นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา น้ำเสียงอันอบอุ่นของเหยาเฉาทำให้ความสิ้นหวังในใจของเขาลดลง จากนั้นก็ร้องไห้เงียบ ๆ “ขอบคุณขอรับใต้เท้า หวังแค่ว่าอาอวิ๋นจะได้รับการลงโทษเพียงผู้เดียว ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัว…”
หลินเหราไม่พูดสิ่งใด ยืนอยู่ข้างกายเหยาเฉา สายตามองไปยังที่ไกล ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง…
………………………………………………………………………………………………
อำพันทะเล มูลวาฬ อ้วกวาฬ คืออินทรียวัตถุเกิดจากไขมันหมึกที่วาฬไม่สามารถย่อยสลายได้ จึงขับถ่ายออกทางอุจจาระหรือสำรอกออกทางปาก เมื่อก้อนไขมันหมึกนี้ได้รับปฏิกิริยาจากแสงแดดและน้ำทะเลนานวันเข้าก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นก้อนแข็งสีขาวจนถึงสีดำ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เป็นวัตถุดิบเครื่องหอมที่มีราคาแพงมากชนิดหนึ่งของโลก ชนิดที่ถือว่าดีที่สุดคืออำพันทะเลที่มาจากวาฬหัวทุยหรือวาฬสเปิร์ม
สารจากผู้แปล
กลิ่นอำพันทะเลนี่มันเหมือนยาปลุกอย่างหนึ่งกับม้าเลยนะคะ หรือมีคนจงใจให้ม้าได้กลิ่นอำพันทะเลจนคึกคะนองขึ้นมา?
ว่าแต่ใครจะเป็นคนใช้อำพันทะเลนี้ได้บ้างนะ เพราะของสิ่งนี้ราคาไม่ใช่น้อย ๆ คนธรรมดาสามัญไม่มีทางใช้ได้หรอก
ไหหม่า(海馬)