ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 251 ทั้งสองคนล้วนโกรธเคืองด้วยความอับอาย
บทที่ 251 ทั้งสองคนล้วนโกรธเคืองด้วยความอับอาย
บทที่ 251 ทั้งสองคนล้วนโกรธเคืองด้วยความอับอาย
เหยาเฉาไม่ได้สอบถามอาอวิ๋นเหมือนกับการไต่สวนนักโทษแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ในใจของเขากลับรู้สึกเห็นใจไม่น้อยสำหรับขันทีน้อยผู้ไร้เดียงสาแต่ต้องถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…
เหยาเฉาจัดการความคิด ก่อนจะเอ่ยถามต่อว่า “จากที่พูดก่อนหน้านั้น เพราะวันนี้ฝ่าบาทไม่สนใจม้าตัวอื่น แต่ม้าที่เจ้าเลี้ยงดูกลับเข้าหาเขา จึงเลือกม้าที่อยู่ในมือของเจ้าใช่หรือไม่?”
อาอวิ๋นก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม และตอบว่า “ขอรับ”
เหยาเฉาก้มหน้ามองถุงหอมอันประณีตที่อยู่ในมือแวบหนึ่ง ด้านบนถูกปักอย่างงดงาม เหมือนกับตั้งใจปักออกมาอย่างพิถีพิถันไม่น้อย “เพื่อนหมู่บ้านเดียวกันที่ส่งอำพันทะเลมาให้เจ้า มีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้า? เป็นคนของวังไหนหรือ?”
ใบหน้าของอาอวิ๋นเผยสีหน้าไม่แน่ใจเล็กน้อย ราวกับได้รับบาดเจ็บในทันใด จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “นางมีชื่อว่า ‘อาเหมย’ เป็นนางกำนัลอยู่ในตำหนักของพระสนมจิ้งเฟยขอรับ อาเหมยเข้าวังมาได้สามปีแล้ว ปีก่อนได้ยินว่าข้าคือคนหมู่บ้านเดียวกัน จึงมักมาพูดคุยกับข้าอยู่บ่อยครั้ง”
เหยาเฉาไม่ได้พูดแทรก แต่ฟังอาอวิ๋นสาธยายอย่างเงียบ ๆ “ต่อมาอาเหมยและข้าค่อย ๆ คุ้นเคยกัน จึงมักส่งขนมของกินเล่นมาให้ข้าเสมอ ทั้งหมดล้วนเป็นของบำเหน็จจากพระสนมจิ้งเฟย นางค่อย ๆ เก็บมันไว้ เรื่องเครื่องหอม ก็เป็นเรื่องที่อาเหมยไปได้ยินจากคนภายนอกพูดกัน ว่าการป้อนเครื่องหอมให้แก่ม้า จะทำให้ม้าติดคนมากขึ้น… ต่อมานางจึงส่งถุงหอมมาให้ข้า แม้ว่าข้าจะไม่ได้ป้อนให้ม้าของฝ่าบาท แต่กลับยังแขวนไว้กับตัว …จึงนำมาซึ่งเรื่องเลวร้ายในคราวนี้”
อาอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ก่อนจะชี้แจ้งข้อเท็จจริงด้วยน้ำเสียงที่ฮึกเหิม “ใต้เท้า! อาเหมยนางไม่รู้ว่าอะไรคืออำพันทะเล! หากรู้ว่านั้นเป็นเครื่องหอมที่ใช้กับฝ่าบาท เราจะเอามันติดตัวไว้ทำไมเล่าขอรับ!”
เหยาเฉามองไปทางอาอวิ๋นด้วยสายตาเป็นกังวลอย่างมาก ก่อนจะเงียบลงชั่วคราว…
ยามที่หลินเหราสอบถามนั้น ไม่ได้มีความอบอุ่นและเมตตาเหมือนกับเหยาเฉา
คิ้วทรงดาบของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “การป้อนอาหารม้าในหลายวันนี้ เจ้าสังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไรบ้างหรือไม่?”
คำถามนี้นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาทตกจากหลังม้า อาอวิ๋นถูกถามนับครั้งไม่ถ้วน
เขากระแอมไล่เสมหะ ก่อนจะส่ายหน้าและพูดอย่างมั่นใจว่า “ไม่มีความผิดปกติใดขอรับ”
“หลังจากที่ฝ่าบาทพาม้าไป ทรงขี่ไปนานเพียงใดถึงจะเกิดเรื่อง?”
“หลังจากขี่ไปได้ครึ่งชั่วยาม ฝ่าบาทก็รับสั่งให้คนไปหยิบคันธนู นับตั้งแต่ขี่ม้ายิงธนู ก็เริ่มไร้การควบคุมตั้งแต่ตอนนั้น”
“ตอนนั้นมีใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง? ท่าทางของม้าที่ไร้การควบคุมเล่า? รวมทั้งผลลัพธ์จากการตรวจสอบหลังจากเกิดเรื่อง?”
คำถามของหลินเหราพรั่งพรูออกมาเรื่อย ๆ แทบจะไม่ให้เวลาอาอวิ๋นได้พักหายใจแต่อย่างใด เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องคิด แค่นำภาพที่อยู่ในสมองเหล่านั้นอธิบายออกมาอย่างละเอียด
“ด้านนอกลานประลองมีกงกงที่คอยปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทอยู่สองสามคน บนลานประลองก็ยังมีองครักษ์ที่รับหน้าที่ปกป้องฝ่าบาทอยู่อีกสี่นาย นอกจากนี้ ก็มีคนในวังที่รับผิดชอบถือคันธนูและเป้าธนู…” อาอวิ๋นอธิบาย
“แรกเริ่มฝ่าบาททรงขี่ม้าวิ่งเหยาะ ๆ อยู่ในลานประลองครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็ทรงอยากยิงธนู จึงเร่งความเร็วขึ้น และหลังจากนั้น ม้าของฝ่าบาทก็เสียการควบคุมอย่างฉับพลัน ราวกับกำลังตกใจ หมอหลวงได้ทำการตรวจสอบม้าของฝ่าบาทแล้ว ไม่ได้รับผลกระทบจากยาแต่อย่างใด ผู้ดูแลที่รับผิดชอบเลี้ยงดูม้าก็ได้ทำการตรวจทั่วทั้งร่างกายของม้าฝ่าบาทแล้ว ก็ไม่พบบาดแผลใด”
หลินเหราขมวดคิ้วตลอดไม่มีทีว่าจะผ่อนคลาย เขาเรียงลำดับคำพูดของอาอวิ๋นรอบหนึ่ง ครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ในสมอง มองหาส่วนที่ผิดปกติ…
ทันใดนั้น เหยาเฉาก็เอ่ยปากถามออกไปหนึ่งประโยคว่า “เป้ายิงในสนามม้า ใครรับผิดชอบในการวาง?”
อาอวิ๋นพูดขึ้นด้วยจิตใต้สำนึกว่า “เป็นหน้าที่ของหมิงเต๋อที่คอยดูแลเรื่องคันธนูตลอดขอรับ”
เหยาเฉาถามต่อว่า “เขาอยู่ที่ใด?”
อาอวิ๋นตอบ “นับตั้งแต่เกิดเรื่อง ก็ถูกขังอยู่กับเรา…..เอ๊ะ ไม่สิ ดูเหมือนว่าคนที่วางเป้ายิงในวันนี้จะไม่ใช่หมิงเต๋อ”
จู่ ๆ เขาก็ไม่มั่นใจขึ้นมาทันใด ใบหน้าแสดงสีหน้างุนงง “ข้าจำได้ หมิงเต๋อไม่ได้ถูกขังในที่เดียวกันกับเรา”
หลินเหราและเหยาเฉามองตากันแวบหนึ่ง เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายว่าคืออะไร
ในตอนที่ขี่ม้ายิงธนู จู่ ๆ ม้าของฝ่าบาทก็ตกใจอย่างฉับพลัน คนที่เปลี่ยนเป้ายิงในสนามไม่ใช่คนประจำ หรือว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ?
สนามม้าในวังหลวง ความเป็นไปได้ที่คนภายนอกจะเข้ามานั้นมีน้อยมาก…
ด้วยเหตุนี้จึงดึงอำนาจของอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างนั้นหรือ?
เหยาเฉาได้เอ่ยถามอย่างอื่นอีกสองสามคำถาม อาอวิ๋นก็ตอบอย่างละเอียด ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นถึงเบาะแสใหม่
กระทั่งหมดคำถาม เหยาเฉาจึงขยับเข้ามาใกล้หลินเหราและถามว่า “อาเหรา เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิด สีหน้าจริงจัง
ผ่านไปไม่นาน เขาก็พูดเสียงต่ำว่า “ถ้าการคาดเดาของเราไม่ผิดพลาด เรื่องนี้จะต้องมีแนวโน้วไปทางที่ดี ม้าของฝ่าบาทที่เกิดเรื่องเป็นเพียงด่านหน้า ถ้าปัญหามันอยู่ที่คนวางเป้ายิงในสนาม การคิดจะทำการตรวจสอบของต๋ากงกงก็ถือว่าผิดพลาดตั้งแต่ต้น”
เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบถ้าอยากจะเข้าใจ ไม่ถือว่าซับซ้อนนัก แต่กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม [1] สามารถนำมาใช้ปกปิดความผิดของคนที่ลงมือในลานประลองได้
แต่ตอนนี้ เหยาเฉารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา จากนั้นก็พูดกับหลินเหราอย่างแผ่วเบา “แรกเริ่มที่เราเข้ามาในวังหลวง ล้วนไม่คุ้นเคยกับอำนาจของแต่ละฝ่าย หากคิดจะใช้อำนาจของตัวเองมาสืบหาความจริง เกรงว่าคงจะลำบากทุกฝีก้าวอย่างแน่นอน ทางเดียวคือต้องตามหาคนที่ลงมือให้จงได้ จะได้ง่ายต่อการเปิดเผยพิรุธ”
ทั้งสองคนเดินอ้อมสนามรอบหนึ่ง สุดท้ายก็กลับมายังตำหนัก ไปรวมตัวกับต๋ากงกง
เวลานี้ ใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวกลับมาสงบแล้ว นั่งอยู่อีกด้านในตำหนักใหญ่ ดื่มน้ำชาโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เซี่ยเชียนในชุดคลุมสีดำ ยืนอยู่บริเวณหน้าต่างด้วยสีหน้าเย็นชา…
ต๋ากงกงเห็นหลินเหราและเหยาเฉา จึงรีบรุดขึ้นหน้า “เหตุใดใต้เท้าทั้งสองถึงได้กลับกันมาเร็วถึงเพียงนี้? มีอะไรคืบหน้าบ้างหรือไม่?”
ความสนใจของทุกคนในตำหนักเลื่อนมาหยุดที่หลินเหราและเหยาเฉา แม้ว่าจะไม่พูด แต่นัยน์ตากลับจดจ่อมาทางนี้
หลินเหราและเหยาเฉาไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศที่แสนจะเคร่งเครียดแต่อย่างใด หลังหลีกเลี่ยงใต้เท้าทั้งสามท่านได้ก็สาธยายถึงเหตุผลในสนามม้าเมื่อครู่
ต๋ากงกงฟังอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็รู้สึกว่าตัวเองประมาทเลินเล่อมาโดยตลอด จึงอดตบหน้าตักหนึ่งครั้งไม่ได้ “ข้าก็คิดอยู่ว่าทำไมตรวจสอบกันเป็นครึ่งวันแล้ว ยังไม่เจออะไรเลย! ที่แท้ก็ตรวจสอบผิดตั้งแต่ต้นนี่เอง!”
เหยาเฉาพูดอย่างอบอุ่น “ตอนนี้ข้าและอาเหรามีแค่คำอนุมานบางส่วน ส่วนจะสืบหาเป็นรูปธรรมอย่างไรนั้น ยังต้องขอรบกวนกงกงช่วยอีกแรง”
เรื่องนี้เดิมทีเป็นเรื่องที่ต๋ากงกงควรต้องทำ แต่เขากลับฉุดหลินเหราและเหยาเฉาสองคนนี้ตกลงมาในน้ำขุ่นด้วย เดิมทีในใจก็ไม่มีเหตุผลโต้แย้งอยู่แล้ว ครั้นได้ยินเหยาเฉาพูดเช่นนี้ จึงรีบโบกไม้โบกมือพร้อมกับพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ใต้เท้าทั้งสองเกรงใจเกินไปแล้ว”
ใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวเองก็ไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าตอนนี้เป็นโอกาสหลีกเลี่ยงการตกเป็นผู้ต้องสงสัย จึงไม่ยื่นหน้าเข้าไปฟังบทสนทนาระหว่างพวกเขา
เพียงแค่ชำเลืองไปมองเซี่ยเชียนที่ยังคงนิ่งเฉย ในที่สุดใต้เท้าหลี่ก็อดพูดไม่ได้ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “เหตุใดใต้เท้าเซี่ยถึงยังนิ่งสงบได้ล่ะขอรับ? ไม่กลัวว่าใต้เท้าอ่อนเยาว์สองคนนี้จะตรวจสอบเจออะไรหรือ ใต้เท้าเซี่ยไม่รักษาตำแหน่งคนโปรดในใจของฝ่าบาทแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เสียงของเขาดังมาก จนทุกคนที่อยู่ในตำหนักล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน ทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ถูก เดิมทีต๋ากงกงเองก็เป็นกังวลอยู่แล้ว ครั้นได้ยินประโยคนี้ถึงกับทนไม่ไหว
ครั้นเห็นเซี่ยเชียนยังคงแสดงสีหน้านิ่งเฉย ใบหน้าที่แสนเย็นชาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แม้แต่นัยน์ตาคู่นั้นก็ยังไม่เลื่อนมาทางใต้เท้าหลี่ เพียงเห็นเขาเป็นเพียงแค่อากาศ ไม่สนใจใยดีแม้แต่น้อย
ใต้เท้าหลี่ได้รับผลกระทบจากความเย่อหยิ่งของเซี่ยเชียน จึงอดพูดด้วยความโกรธเคืองไม่ได้ว่า “เซี่ยเชียน เจ้าอย่ารังแกผู้อื่นเกินไปนักนะ!”
ต๋ากงกงไม่สนใจอีกต่อไป หมุนตัวพร้อมกับขมวดคิ้วและพูดว่า “ความบาดหมางของใต้เท้าทั้งสองไว้ไปแก้ไขในพื้นที่ส่วนตัวเถิด บัดนี้เกินเรื่องวุ่นวาย อย่าก่อปัญหาเพิ่มจะดีกว่า”
ใต้เท้าหลี่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง เดิมทีก็มักจะดูถูกต๋ากงกงและคนในวังเหล่านี้อยู่แล้ว คิดว่าพวกเขาเกิดมาเป็นคนชั้นต่ำกว่า ครั้นเห็นเขาตำหนิตนอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้ ก็ยิ่งหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็พูดกับต๋ากงกงด้วยน้ำเสียงไม่เกรงใจยิ่งกว่าเดิมว่า “ก่อปัญหาเพิ่ม? คนที่ก่อปัญหาเพิ่มคือใต้เท้าเซี่ยกระมัง? คำพูดคำจาควรชี้ไปทางใต้เท้าเซี่ยสิ ข้าน้อยหลี่ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ”
ใต้เท้าจ้าวที่มาด้วยกันกับเขาเห็นบรรยากาศในตำหนักเริ่มตึงเครียด จึงรีบเข้าไปดึงแขนเสื้อของใต้เท้าหลี่ ส่งสัญญาณให้เขาหยุดพูด
ใต้เท้าหลี่โกรธเกรี้ยวอย่างมากเมื่อถูกใต้เท้าจ้าวดึงแขนเสื้อ พลันขมวดคิ้วแน่น “ใต้เท้าจ้าวจะดึงข้าทำไม? หรือว่าข้าน้อยหลี่พูดไม่ถูก?”
ครั้นเห็นว่ากำลังจะทะเลาะกันอีกครั้ง นี่ก็สามชั่วยามแล้วที่องค์จักรพรรดิตกจากหลังม้า
เวลากระชั้นชิด ไฉนเลยจะปล่อยให้พวกเขาโต้เถียงกันไปมาอยู่ที่นี่ได้?
สีหน้าของหลินเหราเคร่งขรึมลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ทุกท่าน ถ้าจะทะเลาะกัน จะมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุใด?”
สายตาของเขาเคร่งขรึมลง ไม่เกรงกลัวสถานะของใต้เท้าจ้าว นิสัยพูดจาโผงผางทำให้ทั้งสองคนล้วนโกรธเคืองด้วยความอับอาย….
……………………………………………………………………………………………………….
[1] กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก กลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการโจมตีศัตรู จะต้องเตรียมการและบุกโจมตีในจุดที่ศัตรูต่างคาดไม่ถึง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ศัตรูตั้งรับ
สารจากผู้แปล
ได้เบาะแสใหม่แล้ว ทิศทางของเรื่องนี้จะออกไปทางไหนกันนะ หรือจะเป็นแผนลวงที่สร้างขึ้นมาเฉย ๆ ให้ตรวจสอบกันผิดจุด? แล้วคนวางแผนจะได้ลอยตัวเหนือปัญหาสบาย ๆ ไป
ไหหม่า(海馬)