ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 253 ความโศกเศร้าของตู้เหิง
บทที่ 253 ความโศกเศร้าของตู้เหิง
บทที่ 253 ความโศกเศร้าของตู้เหิง
องค์จักรพรรดิรวบรวมความคิดไว้ในพระทัย ก่อนจะคิดวกวน…
พระองค์เอนพระวรกายพิงเบาะสีเหลืองสดใส ในพระหัตถ์เล่นลูกประคำขนาดเล็กเส้นหนึ่ง พลางตรัสถามอย่างเกียจคร้าน “ไม่ใช่บอกว่าหาเบาะแสเจอแล้วหรือ? เบาะแสอะไรล่ะ?”
น้ำเสียงไม่หนักไม่เบาเกินไป อีกทั้งไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
เหยาเฉามองหลินเหราแวบหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เขาพูด
หลินเหราเคยชินกับการรายงานสั้น ๆ ต่อผู้บังคับบัญชา เขาจึงเล่าประเด็นสำคัญอย่างรวบรัดตัดตอน “อาเหมยในตำหนักของพระสนมจิ้งเฟยเคยส่งอำพันทะเลที่ใช้ในเครื่องหอมของฝ่าบาทมาให้แก่คนเลี้ยงม้า ม้าที่พระองค์ทรงเลือกในคอกจึงเดินเข้าหาฝ่าบาทเอง ที่ม้าตกใจ บางทีอาจเป็นจะเกี่ยวข้องกับคนวางเป้ายิงก็ได้ เพียงแต่ยังหาตัวคนผู้นี้ไม่พบพะยะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเปล่งสุรเสียง ‘อืม’ ออกมา ลูกประคำสีแดงในพระหัตถ์ยังคงหมุนวนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พร้อมกับทอดพระเนตรชำเลืองเซี่ยเชียนตลอดเวลา
ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่เอ่ยปากมาตลอด สายพระเนตรขององค์จักรพรรดิจึงเคร่งขรึมมากขึ้น ความคิดชั่วร้ายในพระทัยได้หยุดชะงักเช่นกัน ….
บรรยากาศรอบตัวตึงเครียดลงทันใด ต๋ากงกงจึงยิ้มหยั่งเชิงและพูดว่า “ต้องขอบคุณในความเฉียบแหลมของใต้เท้าทั้งสอง หากให้กระหม่อมมาสอบถาม เกรงว่าต่อให้ลากตัวข้ารับใช้ที่ดูแลม้าของฝ่าบาทมาสอบถาม ครึ่งวันก็ยังไม่ได้คำตอบ”
องค์จักรพรรดิปรายพระเนตรมอง จะแย้มสรวลก็ไม่สรวล “พวกเขาทำอะไร เจ้าทำอะไร ถ้าเจ้าสามารถสืบหาความจริงได้ ราชสำนักยังต้องจ่ายเงินเดือนให้พวกเขาอีกหรือ?”
ในที่สุดบรรยากาศก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง…
ต๋ากงกงยังชื่นชมเหยาเฉาและหลินเหราอีกสองสามประโยค ครั้นเห็นองค์จักรพรรดิไม่ได้สนพระทัยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ จึงเงียบปาก
องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเขาที่เอาแต่ชื่นชมราวครึ่งวันได้เงียบปากลง จึงทรงแย้มสรวลอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทั้งยังปรายพระเนตรไปทางเซี่ยเชียน และตรัสถามเขาว่า “ท่านขุนนางคิดว่าอย่างไร? ให้พวกเขาสองคนมาจัดการคดีนี้ดีหรือไม่?”
เซี่ยเชียนเหม่อลอยตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่าองค์จักรพรรดิจะยิงคำถามแบบนี้ออกมา จึงครุ่นคิดครู่หนึ่ง และทูลกลับว่า “จากการคาดเดาในสิ่งที่เกิดขึ้น ความสามารถในการแก้ไขคดีก็พอใช้ได้”
ยากที่องค์จักรพรรดิจะเห็นเขาประเมินผู้อื่นอย่างจริงจัง จึงอดเลิกพระขนงสูงไม่ได้ “พอใช้ได้? ไม่ดีพออีกหรือ?”
หลังจากที่ฟังอย่างละเอียด พบว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความขี้เล่นเล็กน้อย
เซี่ยเชียนเคร่งครัดกับความต้องการของตัวเองเสมอ สำหรับคนที่อยู่ข้างกายแล้ว มาตรฐานย่อมเหมือนกัน
ถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยประเมินใครสูงเกินเหตุเลยแม้แต่น้อย
ครั้นเห็นองค์จักรพรรดิทรงถาม เซี่ยเชียนจึงทูลตอบ “ก็แค่ตรวจสอบเบาะแส ยังห่างจากคนที่บงการเบื้องหลังมากโข จะพูดว่าดีพอได้อย่างไรละพะยะค่ะ?”
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลออกมา ลูกประคำสีแดงในพระหัตถ์ก็หยุดหมุน จู่ ๆ เหมือนจะดำริอะไรบางอย่างได้ พระโอษฐ์จึงกระตุกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงคลุมเครือแฝงไปด้วยความจนปัญญา “ในสายตาของท่านขุนนาง ไม่มีใครดีพอหรอก ใช่หรือไม่? วันนั้นในห้องอักษร ท่านพ่อถามว่าองค์รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าทูลตามความจริงว่าพี่ชายขององค์รัชทายาทไม่ใช่…”
ครั้นเอ่ยถึงองค์จักรพรรดิองค์ก่อน เซี่ยเชียไม่ได้พูดมากความ
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ความทรงจำของทั้งสองคนมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน คนแบบเดียวกัน ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ไม่ว่าจะเพราะบุญคุณหรือความแค้น เมื่อผ่านมาเนิ่นนานหลายปี ในใจของเซี่ยเชียนจึงค่อย ๆ นิ่งสงบลง
องค์จักรพรรดิไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวในอดีตมากนัก แค่ทรงครุ่นคิดเล็กน้อย ทั้งยังเปลี่ยนไปยังคำถามก่อนหน้านั้น ด้วยการผินพระพักตร์ไปตรัสกับเหยาเฉาและหลินเหรา “ใต้เท้าเซี่ยล้วนพูดแล้ว ว่าต้องตามหาคนที่บงการอยู่เบื้องหลังให้จงได้… พวกเจ้าสองคน ทำได้หรือไม่?”
หลินเหรายังคงนิ่งสงบ เหยาเฉาก็จริงจัง ทั้งสองคนน้อมรับ
องค์จักรพรรดิจึงถือโอกาสที่ตนยังไม่ได้สติกลับมาโดยสมบูรณ์ชี้แนะอย่างจริงจัง ให้หลินเหราและเหยาเฉาผู้มาใหม่ทั้งสองคนรับหน้าที่ตรวจสอบเรื่องในวันนี้ มีสิทธิ์ไต่สวนคนในวังได้ทุกคน
เมื่อทรงมอบหมายให้ทั้งสองคนไปตรวจสอบคดีความแล้ว องค์จักรพรรดิก็ไหวพระอังสาเล็กน้อย จากนั้นก็ตรัสกับเซี่ยเชียนที่อยู่ข้างกายว่า “เรื่องในวันนี้ ท่านขุนนางคิดว่าอย่างไร?”
ต๋ากงกงแสร้งทำตัวเป็นหุ่นไม้อยู่ด้านข้าง แต่ในใจกลับสนใจว่าเซี่ยเชียนจะคิดเห็นอย่างไร
หลังจากได้มีปฏิสัมพันธ์กับเซี่ยเชียนมานาน แม้แต่ต๋ากงกงเองก็ยังพูดว่าเขาเป็นผู้ที่มีไหวพริบและความสามารถ เหมาะสมที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของลูกหลานในตระกูลขุนนาง
หากตระกูลเซี่ยไม่ล่มสลายเสียก่อน เซี่ยเชียนในราชสำนักก็คงจะกลายเป็นส่วนประกอบของเสาหลักที่มีผู้คนยกย่องนับถือ
แต่บัดนี้บุคคลที่ดีกลับกลายเป็นขุนนางอิสระและโดดเดี่ยว…
ความมีเกียรติและความเสื่อมเสียของเซี่ยเชียนกลายเป็นความพ่ายแพ้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระดำริขององค์จักรพรรดิ
สิ่งที่ทำให้ต๋ากงกงเข้าใจยากมากกว่าเดิมคือ แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ในยามที่เซี่ยเชียนเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิ ยังคงมีท่าทีไม่เป็นเดือดเป็นร้อน
กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ความคิดของกระหม่อม ย่อมแตกต่างจากฝ่าบาทแน่นอนพะยะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเลิกพระขนงสูง และกล่าวอย่างเบิกบานใจว่า “ท่านขุนนางลองว่ามาสิ?”
เซี่ยเชียนอยู่ห่างจากหน้าบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิระยะหนึ่ง แม้แต่นัยน์ตาที่แสนเย็นชาคู่นั้น แววตาที่แสดงออกมาก็ล้วนแฝงไปด้วยความเหินห่างและโดดเดี่ยว
เขายังไม่ได้เอ่ยปาก ก็เห็นองค์จักรพรรดิขมวดพระขนงอย่างฉับพลัน และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “อยู่ไกลเสียขนาดนั้น ข้าเห็นแล้วขัดหูขัดตายิ่งนัก! มายืนตรงนี้สิ!”
เซี่ยเชียนจนปัญญา จึงเดินเข้าไปใกล้สองก้าว และเอ่ยโน้มน้าวว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสภาพจิตใจจึงไม่คงที่ ทรงระงับโทสะไว้จะดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ”
องค์จักรพรรดิเบะพระโอษฐ์เล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ข้าปวดศีรษะจากการล้มในครานี้ รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวไปทั่วทั้งร่าง คงไม่สามารถยั่วโมโหเจ้าได้หรอกกระมัง?”
เซี่ยเชียนไม่พูดสิ่งใด
องค์จักรพรรดิก็ไม่ได้ตรัสอีกเช่นกัน
ภายในตำหนักเงียบลงชั่วคราว แม้แต่ลมหายใจของต๋ากงกงก็ผ่อนคลายลง…
ผ่านไปไม่นาน ก็ได้ยินเซี่ยเชียนพูดว่า “ฝ่าบาททรงกริ้ว กระหม่อมสมควรได้รับโทษ”
องค์จักรพรรดิกระตุกพระโอษฐ์ ลูกประคำสีแดงในพระหัตถ์เริ่มหมุนอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้ทรงพิโรธอีก และตรัสถามอีกรอบ “เรื่องในวันนี้ ตกลงเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
สำหรับคดีที่องค์จักรพรรดิทรงตกจากหลังม้าวันนี้ ในใจของเซี่ยเชียนคงจะนิ่งเฉยไม่ได้ เพียงแต่เขาเคยชินกับการกำราบความรู้สึกของตัวเอง ทำได้แค่รักษาสติปัญญาอันบริสุทธิ์ที่สุดไว้
เขามีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ก่อนจะพยายามจัดการความคิด และพูดอย่างจริงจัง “ช่วงนี้องครักษ์ในวังไม่เพียงพอ เรื่องที่ฝ่าบาททรงตกจากหลังม้า ก็เป็นเพราะความประมาทของขุนนาง เวลานี้เรื่องเกิดขึ้นแล้ว นอกจากจะหวังให้ฝ่าบาทปลดตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายองครักษ์แล้ว ยังต้องรับการลงโทษด้วย”
องค์จักรพรรดิคาดไม่ถึงว่าเซี่ยเชียนจะละอายแก่ใจ แต่ไม่ได้ทรงโกรธเคือง ทั้งยังกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าจะลงโทษยังไง ไม่ใช่สิทธิ์ที่ต้องให้ผู้อื่นมาสั่งสอน”
เซี่ยเชียนไม่ได้พูดอะไรมากนัก พูดต่อว่า “เรื่องที่ฝ่าบาททรงตกจากหลังม้าในวันนี้ วังหลังต้องมีส่วนร่วมแน่นอน แต่ขุนนางฝ่ายนอกไม่สามารถเข้ามายุ่งได้”
องค์จักรพรรดิยังมั่นคง ปรายพระเนตรมองเซี่ยเชียนแวบหนึ่ง “ข้าบอกว่ายุ่งได้ ก็ยุ่งได้สิ”
เซี่ยเชียนเองก็มองไปยังองค์จักรพรรดิ สบสายตาของเขาอยู่หลายวินาที ก่อนจะทูลกลับอย่างจริงจัง “ฝ่าบาท ในฐานะองค์จักรพรรดิ บางกฎเกณฑ์ก็วุ่นวายไม่ได้ ราชสำนักคือราชสำนัก วังหลังคือวังหลัง กระหม่อมเคารพกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด แต่ฝ่าบาทรงไม่คิดว่าการให้วังหลังเข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องในราชสำนักตอนนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือพะยะค่ะ?”
สายตาของเขาเคร่งขรึมลง ในการเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิ เขาไม่ได้อ่อนข้อให้แต่อย่างใด
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวลออกมาหนึ่งครั้ง “ยากนักที่ท่านขุนนางจะพูดมากถึงเพียงนี้ คิดจะชี้แนะข้าเหมือนกับขุนนางผู้ถวายคำคัดค้านในราชสำนักหรือ? ปกติยามที่ขุนนางผู้ถวายคำคัดค้านเหล่านั้นจะกลืนกินท่านขุนนาง ข้าคอยปกป้องเจ้ามาตลอด อีกอย่าง ท่านขุนนางบอกว่าวังหลังวุ่นวาย และไม่ยอมให้วังหลังเข้ามายุ่ง เช่นนี้ทำให้ข้าลำบากใจยิ่งนัก”
ขณะที่พูดนั้นก็ได้โยนลูกประคำที่อยู่ในหัตถ์ลงไปบนพื้นอย่างไม่แยแส เป็นความหมายว่าชิงชังไปแล้ว
ต๋ากงกงโน้มตัวไปด้านหน้า จากนั้นก็หยิบลูกประคำสีแดงสดนั้นขึ้นมาถือในมืออย่างระมัดระวัง และถอยกลับไป
เซี่ยเชียนยังคงอยู่ในอากัปกิริยาเดิม กระทั่งทูลกลับอย่างจริงจัง “ในเมื่อกระหม่อมอยู่ข้างกายฝ่าบาท คงจะยืนมองให้ความชั่วร้ายใด ๆ ให้เข้ามาครอบงำฝ่าบาทไม่ได้หรอกพะยะค่ะ”
องค์จักรพรรดิแย้มสรวล “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความจุ้นจ้านของวังหลัง ท่านขุนนางก็คงจะปฏิบัติต่อวังหลังแทนข้าอย่างเท่าเทียม”
เซี่ยเชียนรู้สึกจนปัญญาขึ้นมาระลอกหนึ่ง
เขารู้ดีว่าการกราบทูลเหตุผลต่อองค์จักรพรรดิคงไม่มีทางสำเร็จแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน นัยน์ตาอันเย็นชาของเซี่ยเชียนก็ฉายแววลังเลออกมา สุดท้ายก็เอ่ยปากถามว่า “ฝ่าบาทเชื่อกระหม่อมหรือไม่พะยะค่ะ?”
บางทีอาจเพราะฟื้นขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว สติขององค์จักรพรรดิจึงค่อนข้างอ่อนล้า หลังจากทรงหาวไปแล้วสองสามรอบ พระองค์ก็ทอดพระเนตรไปทางเซี่ยเชียนด้วยสายพระเนตรแจ่มชัด แม้แต่รอยย่นขนาดเล็กระหว่างคิ้วของเซี่ยเชียน ก็ล้วนมองเห็นอย่างชัดเจน
ตลอดหลายสิบปีที่นั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ องค์จักรพรรดิทรงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลากเซี่ยเชียนเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงย่อมเห็นความเหนื่อยล้าบนร่างกายของเขาเช่นกัน ดูท่าความเย็นชาและความเหน็ดเหนื่อยที่ค่อย ๆ ถลำลึกลงไปมากขึ้นล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เคยคำนึงถึง
องค์จักรพรรดิตรัสขึ้น “ข้าย่อมเชื่อใจท่านขุนนางอยู่แล้ว”
เซี่ยเชียนทอดถอนใจเบา ๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน จากนั้นก็กราบทูลด้วยเสียงต่ำต่อองค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยความเหนื่อยล้า “เช่นนี้ ฝ่าบาททรงเข้าบรรทมเสียเถิด กระหม่อมจะเฝ้าอยู่ราชสำนักด้านหน้า ส่วนวังหลัง……กระหม่อมจะคิดหาทางแก้ไขแทนฝ่าบาทเองพะยะค่ะ”
ไม่รู้ว่าประโยคนี้ของเซี่ยเชียนมีสิ่งใดน่าหลงไหลนักหนา เดิมทีองค์จักรพรรดิที่พยายามฝืนสังขารก็เอนพระวรกายลง และหลับพระเนตรลงอย่างช้า ๆ
เขาได้ยินเซี่ยเชียนพูดออกคำสั่งเสียงต่ำกับต๋ากงกงด้วยน้ำเสียงเย็นชายามวางแผนเรื่องหยุมหยิมอย่างอื่น ไม่นานก็หลับไหลเข้าสู่ห้วงนิทรา
อีกด้านหนึ่ง เรื่องที่หลินเหราและเหยาเฉาน้อมรับคำสั่งเข้ามาตรวจสอบเรื่องที่องค์จักรพรรดิทรงตกจากหลังม้าก็ได้แพร่สะพัดไปทั่ววังหลังแล้ว
คดีความถูกเชื่อมโยงถึงสาวใช้ในตำหนักของพระสนมจิ้งเฟย นอกจากคนข้างกายของพระสนมจิ้งเฟยที่ถูกเรียกตัวแล้ว ในตำหนักอื่นล้วนได้รับข่าวทั้งสิ้น
ในตำหนักของกุ้ยเฟย หญิงสาวที่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดหวาฝู ใบหน้าแต้มไปด้วยสีสันสดใสได้พูดกับตู้เหิงที่อยู่ข้างกายว่า “เหิงเอ๋อร์ หลายวันนี้คงอยู่ในวังไม่ราบรื่นนัก เจ้ารีบกลับบ้านเถิด อย่าเที่ยววิ่งเข้าออกวังบ่อยครั้งเช่นนี้”
ตู้เหิงผุดความคิดหนึ่งในใจ มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อค่อย ๆ กำหมัดแน่น…
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
กำไม้พายในมือแน่น เรือหลวงของฝ่าบาทกับใต้เท้าเซี่ยช่างแล่นแรงอะไรปานนี้ นี่พยายามไม่เขินแล้วนะคะ
เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับยัยตู้เหิงหรือเปล่าเนี่ย?
ไหหม่า(海馬)