ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 261 ท่านอาสะใภ้มาเพราะคิดจะทำสิ่งใด
บทที่ 261 ท่านอาสะใภ้มาเพราะคิดจะทำสิ่งใด
บทที่ 261 ท่านอาสะใภ้มาเพราะคิดจะทำสิ่งใด
เมื่อเหยาซูเดินเข้าไป ก็เจอแม่เฒ่าหลินนั่งอยู่กลางลานบ้านของตระกูลเหยา พร้อมด้วยสะใภ้สองคนที่อยู่ข้างกาย คนหนึ่งก็เอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ อีกคนก็ประคองท้องใหญ่โตยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเวทนา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
วันนี้ตระกูลเหยาไม่มีบุรุษใดอยู่ในบ้าน มีเพียงแม่เฒ่าเหยาและพี่สะใภ้ทั้งสองคนของเหยาซู นางมองไปยังคนของตระกูลหลินที่ยากจัดการกำลังด่าสาดเสียเทเสียอยู่ในลานบ้าน …
ดวงตาของเหยาซูฉายแววเย็นยะเยือก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันพร้อมกับตะโกนออกไป “พอได้แล้ว! พวกเจ้าคิดจะทำอะไร!”
แม่เฒ่าหลินที่เอาแต่คร่ำครวญได้ยินเสียงตะโกนดังสนั่นหวั่นไหวของเหยาซู ก็พลันหยุดหายใจไปชั่วขณะ
ราวกับพลุที่สะเทือนเลื่อนลั่น ขณะที่ดังกึกก้อง จู่ ๆ ก็ได้รับกระแสคลื่นระลอกหนึ่ง
แม่เฒ่าหวังสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ชี้ไปทางเหยาซู และพูดเสียงแหลมว่า “เยี่ยม ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที! เหยาซูเจ้ายังมีหน้ากลับมาอีกนะ! เจ้ามันตัวซวย สารเลว!”
นานมากแล้วที่เหยาซูไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับคนไร้เหตุผลอย่างตระกูลหลิน นางจึงปรับตัวเข้ากับน้ำเสียงที่แหลมเสียดแก้วหูเกินไปของแม่เฒ่าตระกูลหลินไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงซานเป่าที่อยู่ในอ้อมกอดแต่อย่างใด
เด็กทารกตื่นตกใจเพราะเสียงนี้ จนตัวสั่นงันงกไปทั้งตัว
แม่เฒ่าเหยาเดิมทีก็ไม่อยากสนใจจุดประสงค์ของแม่เฒ่าตระกูลหลินนัก แต่ครั้นเห็นดวงตาที่กลมโตของซานเป่ามีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมา ก็พลันบันดาลโทสะทันใด พุ่งเข้าหาแม่เฒ่าหวังและพูดว่า “โวยวายอะไรนักหนา?! โวยวายตั้งแต่เช้า ยังไม่พอใจอีกหรือไร? ถ้าอยากทะเลาะนักก็ไสหัวออกไปทะเลาะนอกบ้านเรา!”
เดิมทีแม่เฒ่าหวังคิดว่านิสัยของคนตระกูลเหยาจะอ่อนโยน เมื่อถูกแม่เฒ่าเหยาตะโกนใส่เช่นนี้ ก็พลันเสียจังหวะ คำด่าที่จะโพล่งออกมาก็ติดอยู่ในลำคอ จนสำลักไปทันใด
นางร้องไห้โฮออกมาทันที “เยี่ยมไปเลย ตระกูลเหยาของพวกเจ้าใช้อำนาจบังคับขู่เข็ญผู้อื่น ทั้งยังรังแกแม่เฒ่าอย่างข้า!”
ขณะที่พูดแม่เฒ่าหลินก็เริ่มดึงทึ้งผมของตัวเอง ก่อนจะตบหน้าของตัวเอง พลางร้องไห้คร่ำครวญ “ไร้อารยธรรมสิ้นดี! ทุกคนเร่เข้ามาดูตระกูลนี้เร็ว คนพวกนี้อกตัญญูต่อพ่อแม่ก็เรื่องหนึ่งแล้ว หนำซ้ำยังรังแกแม่เฒ่าอย่างข้าด้วย! ไร้มโนธรรม ขอให้ตายตกไปเป็นหมาในนรก!”
คิ้วของเหยาซูขมวดเข้าหากันแน่น ในใจบังเกิดความรู้สึกรังเกียจขึ้นเรื่อย ๆ
คนที่มุงดูอยู่นอกบ้านตระกูลเหยาต่างถูกนางขับไล่ ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าหลินแสดงอากัปกิริยาเช่นนี้ออกมาเพื่ออะไร
เหยาซูลูบหลังปลอบซานเป่าอย่างเบามือ จากนั้นก็ก้าวเดินขึ้นหน้า มอบเด็กทารกให้ผู้เป็นแม่ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ท่านแม่ ท่านพาซานเป่าเข้าห้องไปก่อนเถอะ เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
แม่เฒ่าเหยารับซานเป่าที่จะร้องแต่ก็ไม่ร้องจากในมือของเหยาซู โดยไม่สนใจว่าตัวเองนั้นจะปวดใจอย่างไร “โถ่ หลานรัก หลานรักของยาย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เราเข้าไปในห้องกันเถอะ!”
แม่เฒ่าหวังยังตะโกนโวยวายอยู่ด้านข้าง เหยาซูทำได้เพียงพยักหน้าและปลอบใจแม่เฒ่าเหยา “ท่านแม่ท่านเข้าไปเถอะ ข้าจัดการได้ อีกอย่างพี่สะใภ้ทั้งสองก็อยู่”
หญิงชราจึงพาเด็กน้อยเข้าไปในห้อง
เหยาซูยืนอยู่ข้างกายพี่สะใภ้ทั้งสองคน พลางจ้องมองไปยังการแสดงของแม่หวังในลานบ้านด้วยสายตาเย็นชา ——
จากนั้นจึงเห็นแม่เฒ่าตระกูลหลินที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาวเนื้อผ้าหยาบกระด้างเปื้อนไปด้วยดินโคลน เล็บมือยาวและเหี่ยวแห้งคู่นั้นก็เปื้อนไปด้วยดิน เส้นผมสยายลงมาเพียงครึ่งหนึ่ง ใบหน้าปรากฏเป็นรอยข่วนของตัวเอง ทั้งยังร้องไห้คร่ำครวญและด่าทอไม่มีทีท่าว่าจะหยุด “เหยาซู! วันนั้นที่สู่ขอเจ้าเข้าบ้าน ข้ารู้นะว่าเจ้าไม่ใช่คนดี! ยุยงให้คนแก่อย่างข้าต้องแบ่งบ้าน ยุยงให้เขาไม่สนใจพี่น้องของเขา เจ้ามันคนจิตใจต่ำช้า! นังคนอกตัญญู! นังแพศยา!”
เหยาซูไม่พูดสิ่งใด ยืนนิ่งสงบต่อสิ่งเร้าเบื้องหน้า ฟังคำพูดสกปรกที่แม่หวังพรั่งพรูออกมา ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
กลับเป็นพี่สะใภ้รองที่ทนไม่ไหว กำลังจะตอกกลับ แต่ถูกเหยาซูดึงตัวไว้ “พี่สะใภ้รองอย่าไปสนใจนาง ปล่อยให้นางพูดไป พูดเสียให้พอ”
พี่สะใภ้ใหญ่นั้นอัธยาศัยดี ต้องมาปวดหัวกับคำพูดสกปรกที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ “โชคดีที่ต้าหลางและเอ้อหลางไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะให้เด็ก ๆ ได้ยินเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร!”
แม่เฒ่าหลินด่าทอเป็นนานสองนาน ครั้นเห็นเหยาซูไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจึงพูดเสียงแหลมว่า “หลินเหราละ? เรียกหลินเหรากลับมาสิ! เขาเป็นขุนนางแล้วนี่ ไม่คิดถึงแม่แก่ ๆ อย่างข้าเลยรึ ไอ้เด็กอกตัญญู โลกใบนี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
เหยาซูเห็นนางยังมีหน้าเอ่ยชื่อหลินเหรา โทสะจึงได้โถมทะลักเข้ามาในจิตใจเป็นระลอกโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวเผยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “บัดนี้เหล่าเพื่อนบ้านที่มุงดูอยู่ข้างนอกต่างพากันสลายตัวกันหมดแล้ว ท่านไม่ต้องด่าสาดเสียเทเสียเช่นนี้หรอก หยุดเสแสร้งได้แล้ว ไม่มีใครเห็น หากวันนี้ท่านอยากพูดเหตุผล เช่นนั้นเรามาพูดเหตุผลกันเถอะ”
แม่เฒ่าหลินได้ยินว่าคนด้านนอกพากันสลายตัวหมดแล้ว ปากยังคงด่าทออีกประโยค…
นางอยากลุกขึ้น แต่เพราะการตะโกนด่ากราดเมื่อครู่ใช้พลังมากจึงทำให้นางหมดเรี่ยวแรง
ครั้นเห็นเหยาซูเดินก้าวขึ้นหน้าทีละก้าว เห็นได้ชัดว่านางนั้นไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อคลุมและเครื่องประดับที่หรูหราแต่อย่างใด แต่กลับทำให้เจ้าตัวมีความน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าล่วงเกิน
เสียงของนางแจ่มชัดและแฝงไปด้วยความเย็นชา “ท่านกล่าวหาว่าหลินเหราอกตัญญู? ท่านมีสิทธิ์อะไรหรือ? คนที่เขาจงรักภักดีคือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน คนที่เขากตัญญูคือพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แล้วท่านเป็นใครกัน?”
เมื่อสะใภ้สามที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของเหยาซู จึงมองอย่างโง่งมจนลืมร้องไปเป็นปลิดทิ้ง
พี่สะใภ้ใหญ่เหยาและพี่สะใภ้รองต่างมองหน้ากัน กระทั่งเห็นความตื่นตระหนกและความไม่เข้าใจในสายตาของกันและกัน
พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด? หลินเหราไปมีพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดอีกคู่ตั้งแต่เมื่อใด?
แม่เฒ่าหวังทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ดูจากความทรงพลังแล้วต่ำเตี้ยกว่าเหยาซูระดับหนึ่ง กระทั่งได้ยินนางสะกิดคำพูดต้องห้ามนั้น จึงอดพูดด้วยความโกรธไม่ได้ “ข้าคือมารดาของเขา! ข้าจะเป็นใครได้เล่า? ข้าก็คือแม่ที่เขาขานเรียกมายี่สิบกว่าปีน่ะสิ!”
ครั้นเห็นดวงตาดุจดอกท้อที่เดิมทีเต็มไปด้วยความอ่อนโยนของเหยาซู บัดนี้กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความพิโรธโหดเหี้ยม จ้องเขม็งไปยังแม่หวังอย่างไม่ละสายตา จ้องนางจนเม็ดเหงื่อเย็นผุดซึมออกมา
หากไม่ใช่เพราะนั่งอยู่บนพื้น เกรงว่านางคงจะแข้งขาอ่อนทรุดนั่งไปแล้ว
แต่สะใภ้ที่ถูกตัวเองรังแกมาตลอดหลายปีกลับข่มความโกรธไว้ แม่เฒ่าหวังจึงยิ่งโกรธเกรี้ยวด้วยความอับอายอย่างอดไม่ได้ “นังหญิงสารเลว ช่างบังอาจนัก!”
เหยาซูกลับเร็วปานสายฟ้า ตบเข้าที่แก้มขวาของแม่เฒ่าหวังอย่างรุนแรงจากนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านลองพูดอีกครั้งสิ!”
แม่เฒ่าหวังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แก้มขวาบวมแดงทันใด แม้แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็คาดไม่ถึงว่าเหยาซูจะทำเช่นนี้
นางเดินมาตรงหน้าของแม่เฒ่าหวัง โน้มตัวลงมา นิ้วมือที่เรียวยาวและขาวผุดผ่องได้คว้าคอเสื้อของแม่หวัง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ด่าสิ ด่าคนเก่งนักไม่ใช่หรือ? ด่าต่อสิ ข้ารอฟังอยู่”
รอยฝ่ามือบนใบหน้าของแม่เฒ่าหวังปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับรอยขีดข่วนของตัวเองเมื่อครู่ ถือว่าน่ากลัวกว่ามากทีเดียว
ริมฝีปากของนางสั่นระริกด้วยความกลัว “เหยา…เหยาซู! เจ้ากล้าตบข้าหรือ? นังสารเลวอย่างเจ้า…”
เพียะ!
คำพูดสกปรกในปากของนางยังพรั่งพรูออกมาไม่จบ เหยาซูก็ใช้ฝ่ามือตบลงบนตำแหน่งเดียวกันอีกครั้งอย่างรุนแรง
เมื่อฟาดฝ่ามือนี้ลงไป สมองของแม่หวังก็ปั่นป่วนทันใด
มือซ้ายของเหยาซูคว้าคอเสื้อของแม่เฒ่าหวังไว้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เยี่ยม พูดต่อสิ นับแต่นี้ไป หากท่านพูดคำสกปรกออกมาจากปากหนึ่งประโยค ข้าจะตบท่านหนึ่งครั้ง เรามาคอยดูกันว่า มือของข้าจะแดงก่อนหรือว่าหน้าของท่านจะเละก่อนกัน”
สมองของแม่เฒ่าหวังเริ่มเกิดอาการมึนงงจนพูดไม่ออก สะใภ้สามที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในมุมห้องเมื่อครู่ ได้มองไปยังประตูลานบ้าน กลับพบว่าประตูบานนั้นปิดสนิทแล้ว
เหยาซูขับไล่ทุกคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่ข้างนอกออกไปหมดแล้ว เมื่อกลับเข้ามาในลานบ้านก็ปิดประตู ครั้นนางเห็นพฤติกรรมของภรรยาหลินหง จึงพูดกับพี่สะใภ้รองเหยาว่า “พี่สะใภ้รองช่วยเฝ้าประตูให้ข้าสักครู่ ในเมื่อพวกนางสามคนถ่อมาไกลถึงเพียงนี้ อยู่ต่ออีกเสียหน่อยเถอะ ตระกูลของเราก็ไม่ได้ขาดห้องเก็บฟืน ไม่ได้ขาดแคลนอาหาร”
ภรรยาของหลินหงเข้าใจความหมายนี้ นี่ไม่ต่างจากการขังพวกนาง จึงพากันกระวนกระวายใจทันใด
“พี่…พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ใช่นะ…ท่านแม่นางไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น! ท่านแม่เพียงใช้คำพูดไม่ถูก ที่เรามาวันนี้ก็แค่อยากเยี่ยมเจ้ากับพี่ใหญ่…”
พี่สะใภ้รองเหยาเดินมาถึงหน้าประตู จากนั้นก็ลงกลอนประตูจากด้านใน
เหยาซูปล่อยมือจากแม่เฒ่าหลิน หญิงชราตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น กุมแก้มด้วยความโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม
ดวงตาที่เปล่งประกายของนางแฝงไปด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นก็มองไปทางภรรยาของหลินหง “หือ? มาเยี่ยมข้ากับหลินเหรา? เช่นนี้เจ้าจะร้องไห้ทำไม นางจะโวยวายทำไมเล่า!”
เสียงของเหยาซูเพิ่มความดังขึ้น พาให้ภรรยาของหลินหงตื่นตกใจไม่น้อย
นางสามารถตบหน้าผู้อื่นโดยที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เมื่อแม่สามีที่ปกติมักจะโหดร้ายและอำมหิตนั้นถูกตบ ในใจภรรยาหลินหงก็พลันหวาดกลัวและให้ความเคารพต่อสะใภ้ใหญ่ที่อ่านใจไม่ออกผู้นี้ทันที
ภรรยาหลินหงพูดอย่างยอมจำนน “เปล่า…”
เหยาซูไม่ได้มีความอดทนมากมายเพียงนั้น นางกลับอยากจัดการแม่เฒ่าหวังให้ตายเสียด้วยซ้ำ เหตุใดแม่เฒ่าหวังถึงได้ทำตัวเหมือนปลิงดูดเลือด ทำตัวน่ารังเกียจเหมือนตัวเรือดเพียงนี้ ทว่าเขาก็เป็นคนตระกูลหลิน เป็นครอบครัวของหลินเหราเหมือนกัน
ไม่ว่าแม่เฒ่าหวังจะทำอย่างไรกับหลินเหรา นางก็เป็นป้าของเขา ตระกูลหลินคือความอัปยศ วงศ์ตระกูลจะไม่มีวันส่งตัวนางและหลินเหราไปยังสำนักข้าราชการเด็ดขาด ต้องคิดหาทาง เปลี่ยนวิธีการแก้ไข…
เหยาซูเบี่ยงสายตาไปยังแม่โจวที่ท้องโตมากแล้ว และไม่เคยเปล่งเสียงพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สะใภ้รองเจ้าพูดสิ! ข้าอยากฟัง ท่านอาสะใภ้มาเพราะต้องการจะทำสิ่งใด!”
แม่เฒ่าหวังได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันซีดเผือดลง ….
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
โบกป้ายไฟเชียร์อาซู ตบนังแม่เฒ่านี่เยอะ ๆ เลยค่ะ ตบให้สมงสมองมันเข้าที่เข้าทางสักที
ไหหม่า(海馬)