ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 268 ความคิดของตู้เหิงถูกเหยาเฉามองออกแล้ว
บทที่ 268 ความคิดของตู้เหิงถูกเหยาเฉามองออกแล้ว
บทที่ 268 ความคิดของตู้เหิงถูกเหยาเฉามองออกแล้ว
เมื่อเหยาเฉาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินออกมา หลินเหราก็ได้รอเขาอยู่ก่อนแล้ว
หลินเหรายืนตัวตรงอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าตึงเครียด เหมือนกับดาบที่ออกมาเพียงครึ่งฝัก ไอเย็นเยือกนั้นแฝงไปด้วยความเฉียบคม ทำให้รู้สึกถึงความยำเกรงที่ไม่ต้องพยายาม
เหยาเฉาเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมยาวสีอ่อนตัวหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงข้างกายเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “ไปกันเถอะ ไปรายงานคุณงามความดีในสองสามวันนี้ของพวกเราต่อฝ่าบาทกันเถอะ”
ทั้งสองคนปกปิดความเหนื่อยล้าในแววตาไว้ หลังจากเดินพ้นประตูได้ไม่นาน ก็เจอกับหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดหวาฝูผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นอู่ถงไม่ไกลนัก เหมือนกับตั้งใจรออยู่ที่นั่น
เห็นได้ชัดว่ากำลังรอใครบางคน แต่ใบหน้าของนางนั้นกลับไม่ได้แสดงสีหน้าหมดความอดทนเลยแม้แต่น้อย ความงดงามของนางเสมือนกับหญิงสาวที่ถูกวาดขึ้นมาอย่างประณีตตามภาพวาดจีนอย่างไรอย่างนั้น ดูสะอาดสะอ้านและสง่างาม
นั่นมันตู้เหิงไม่ใช่หรือ?
เหยาเฉาตื่นตกใจอยู่ภายในใจ แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา นอกจากถามหลินเหราด้วยเสียงเบาว่า “เจ้าให้แม่นางตู้เหิงมาหรือ?”
หลินเหรามองไปทางเหยาเฉา เหมือนกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงคิดเช่นนี้ จึงส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ไม่ใช่”
นัยน์ตาของเหยาเฉาฉายแววขี้เล่น จะยิ้มก็ไม่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า “แม่นางผู้นี้วิ่งเข้าออกในวังได้ทุกวัน แต่ไม่ไปตำหนักของกุ้ยเฟยผู้เป็นป้าของนาง กลับมาหาเจ้า อาเหรา ถ้าอาซูรู้เข้า เจ้ามีคำอธิบายให้นางแล้วใช่หรือไม่?”
หลินเหราพูดอย่างไม่เห็นด้วย “พี่รองไม่ต้องคิดมากหรอกขอรับ แม่นางตู้มาขอร้อง ให้เราช่วยตรวจสอบอาการป่วยของกุ้ยเฟยว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ช่วยเรามากด้วย”
สองสามวันนี้ตู้เหิงได้ขอร้องกุ้ยเฟย จนได้เบาะแสทั้งในที่ลับและที่แจ้งไปไม่น้อย
มีผู้สนับสนุนที่มีอำนาจบารมีใหญ่หลวงอยู่ในวังหลัง ทำให้หลินเหราและเหยาเฉาประหยัดเวลาได้ไม่น้อย ถือเสียว่าช่วยขัดขวางความยุ่งยากแทนพวกเขา
ส่วนคำร้องขอของตู้เหิง คือต้องการให้หลินเหราตรวจสอบอาการป่วยเรื้อรังที่ทำให้กุ้ยเฟยต้องนอนติดเตียงว่ามีเงื่อนงำอะไรซ่อนอยู่บ้างหรือไม่
เหยาเฉาหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “ตระกูลของแม่นางไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเอง ทั้งยังให้เจ้าช่วยสืบเรื่องนี้ นางช่างแสนดีต่อพระสนมกุ้ยเฟยผู้นี้มากจริง ๆ”
เขาไม่มีทางพูดจาสร้างความเสียหายให้แก่เด็กสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนแน่นอน แต่เหยาเฉานั้นรู้ทันคนน่ะสิ? เขามองความระมัดระวังของตู้เหิงออกตั้งนานแล้ว
ทั้งสองคนพูดคุยกันไม่กี่ประโยคในเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เมื่อตู้เหิงเห็นพวกเขาแล้ว จึงก้าวเท้าตรงไปยังทิศทางของทั้งสองคนทันที
หัวคิ้วของหลินเหราขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลางพูดอย่างใจกว้างว่า “พี่รอง ข้าไม่ได้คิดเลยเถิดกับนางแน่นอน อีกอย่างเรื่องที่เจอกับแม่นางตู้ในวังเป็นครั้งคราว ข้าได้เขียนบอกกับอาซูในจดหมายเรียบร้อยแล้ว”
เบื้องหน้าคือตู้เหิงที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ หลินเหราจึงต้องกดเสียงให้เบาลง และพูดกับเหยาเฉาอีกประโยคว่า “พี่รองไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก”
เหยาเฉารู้สึกจนปัญญาและขบขัน สุดท้ายก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งนั้นดูอบอุ่นและสง่าผาเผยยิ่ง เวลาคลี่ยิ้มออกมาทีไร แม้แต่ตู้เหิงที่ส่งสายตาไปยังหลินเหราตลอดเวลา ก็ยังอดมองเหยาเฉาไม่ได้เช่นกัน
นางเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ขอแสดงความเคารพต่อคุณชายทั้งสอง วันนี้ดูท่าคุณชายเหยาจะอารมณ์ดีไม่น้อย ไม่ทราบว่าหัวเราะอะไรหรือเจ้าคะ?”
เหยาเฉาแสดงสีหน้าอ่อนโยน ก่อนจะพูดอย่างเกรงใจว่า “สวัสดีแม่นางตู้ เมื่อครู่อาเหราเล่าเรื่องตลกหนึ่งให้ข้าฟัง จนต้องเสียมารยาทต่อหน้าแม่นาง”
หลินเหรามองเหยาเฉาแวบหนึ่ง โดยไม่พูดสิ่งใด
ตู้เหิงรู้สึกแปลกใจ สายตาคู่นั้นอดเบี่ยงกลับมายังหลินเหราไม่ได้ แววตาของนางอ่อนลงในทันที “นิสัยเช่นคุณชายหลิน พูดเรื่องตลกได้ด้วยหรือเจ้าคะ?”
หลินเหราไม่ได้สังเกตเห็นถึงความแตกต่างในท่าทางที่ตู้เหิงแสดงออกมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขาและเหยาเฉา อย่าว่าแต่ความคิดที่เด็กสาวพยายามปกปิดเลย
เขาแค่ส่ายหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แม่นางตู้ก็พูดตลกเกินไป ไม่ทราบว่าที่แม่นางมาหาข้าในวันนี้ มีเรื่องอะไร?”
ตู้เหิงยิ้มบาง ๆ “ในช่วงสองสามวันนี้คุณชายทั้งสองคงจะสืบคดีอย่างลำบาก เรื่องในวันนี้ควรต้องทำความเข้าใจเสียหน่อยกระมัง? ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงตัดสินว่าอย่างไร…”
ครั้นเห็นหลินเหราไม่พูดไม่จามาตลอด ตู้เหิงจึงเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสอง จะทำอย่างไรหลังเสร็จสิ้นคดีนี้แล้ว?”
หลินเหราพูด “ขึ้นอยู่กับคำสั่งของฝ่าบาท”
ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวฉายแววอัดอั้นสุดรำพัน กระทั่งหลินเหราถามกลับว่า “แม่นางยังมีธุระอะไรอีกหรือ?”
ตู้เหิงกัดริมฝีปาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หลินเหรามองนางอย่างชัดเจน และพูดกับนาง แต่นัยน์ตาอันสดใสที่มองมายังใบหน้าของนางคู่นั้น เหมือนกับมองทะลุใบหน้าของนางไป ไม่เห็นรูปโฉมของนางอยู่ในสายตา
เหมือนกับ…..มองก้อนหินที่ไร้ชีวิตก้อนหนึ่ง!
เช่นนี้ การที่นางลุกขึ้นมาแต่งแต้มใบหน้าให้มีสีสันตั้งแต่เช้าตรู่ ประโคมเครื่องประดับและเสื้อผ้าชั้นดี จะมีประโยชน์อะไร?
ตู้เหิงได้แต่จนปัญญา ทว่าใบหน้ากลับไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา นอกจากเอ่ยว่า “พระสนมแต่ละตำหนักจะต้องไปยังตำหนักของท่านป้าตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งบัดนี้ก็กำลังรออยู่”
ครั้นเอ่ยความจริง หลินเหราที่เพิ่งได้สติ ก็พยักหน้าและพูดว่า “เราสองคนต้องไปตำหนักบรรทมของฝ่าบาท ขอบคุณแม่นางตู้ที่ตั้งใจมาแจ้งให้เราทราบ”
ตู้เหิงสำลักในทันที ครั้นถูกหลินเหราตัดบทโดยสมบูรณ์ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ
เหยาเฉารู้สึกขบขันอยู่ในใจ อาเหราช่างทำตัวสมกับชื่อของเขายิ่งนัก ทำตัวเป็นท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น
เขาเองก็ไม่อยากเกี่ยวพันกับแม่นางตู้ผู้นี้สักเท่าไรเช่นกัน จึงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เกรงว่าหากช้าไปคงไม่ดีแน่ แม่นางตู้ เราสองคนขอตัวลา”
ตู้เหิงทำได้แต่พยักหน้า และยืนส่งทั้งสองคนจากไป
นางรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะเหยาเฉาอยู่ด้วย นางคงได้พูดคุยกับหลินเหรามากกว่านี้
ได้ยินว่าเหยาซูจะตามมาอยู่ในเมืองหลวงด้วย? ไม่รู้ว่านางจะมาเมื่อไร?
ตู้เหิงขมวดปมคิ้วแน่น รู้สึกไม่พอใจกับการมีตัวตนของเหยาซูไม่น้อย
นางสนมที่เกี่ยวพันกับคดีในวังหลังได้ถูกรวบตัวไว้ในตำหนักของกุ้ยเฟยแล้ว หลินเหราและเหยาเฉายังไม่ได้เข้าไป แต่ไปยังตำหนักบรรทมซึ่งเป็นที่พำนักขององค์จักรพรรดิก่อน
หลังจากที่รอมาแล้วประมาณหนึ่งก้านธูป ต๋ากงกงก็ประกาศให้ทั้งสองคนเข้าตำหนักได้ จากนั้นก็รายงานเรื่องลึกลับที่สืบหามาได้ในสองสามวันนี้ต่อองค์จักรพรรดิอย่างละเอียด
เซี่ยเชียนยืนอยู่ข้างกายขององค์จักรพรรดิเหมือนอย่างเคย ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของฝูฉวี
ทั้งสองคนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง หลินเหราพูดด้วยเสียงเงียบสงบ “ทูลรายงานฝ่าบาท ผู้ที่เกี่ยวพันต่อคดีได้รับสารภาพแล้ว ฝ่าบาททรงอยากไต่สวนเป็นการส่วนตัวหรือไม่พะยะค่ะ?”
สองสามวันนี้อาการบาดเจ็บที่พระเศียรขององค์จักรพรรดิดีขึ้นมากแล้ว แต่พระชงฆ์ยังคงปวดไม่น้อย จึงไม่ได้ออกจากตำหนักเลย
พระองค์ปรายพระเนตรมองทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว ตรงกันข้ามกลับตรัสอย่างเกียจคร้านว่า “พวกเจ้าตรวจสอบเรื่องอื่น ๆ มาไม่น้อยไม่ใช่หรือ? ไหนพูดมาสิ”
เหยาเฉาได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยออกไปว่า “เดิมทีเรื่องนี้คุณหนูจากจวนตู้เป็นฝ่ายมาหากระหม่อมเอง เอ่ยถึงอาการป่วยของพระสนมกุ้ยเฟยไหว้วานให้เราสองคนช่วยสืบหาอีกแรง เพียงแต่ไม่พบอะไรผิดปกติในอาการป่วยของพระสนมกุ้ยเฟย หมอหลวงกล่าวไว้ว่าเป็นความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชายจนทำให้สภาพจิตใจโศกเศร้า การสิ้นพระชนม์ตั้งแต่วัยเยาว์ขององค์ชายรอง …เกรงว่าจะมีเงื่อนงำ”
องค์จักรพรรดิทรงทราบดีว่าวังหลังของตนไม่ค่อยมีความยุติธรรม แม้แต่ความคิดจะแต่งตั้งจักรพรรดินีก็ยังไม่มี ไฉนเลยจะมีกะจิตกะใจสนใจปีศาจเหล่านั้น?
แต่ถ้าเรื่องเกี่ยวพันถึงองค์รัชทายาท แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ต้องให้ความสนใจทันที
เขานั่งตัวตรง ตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “องค์ชายรองสิ้นพระชนม์ ไม่ใช่เพราะอากาศหนาวหรือ?”
เหยาเฉาส่ายหน้า “กระหม่อมยังตัดสินไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ยังมีข้อสงสัยที่ยังระบุไม่ได้พะยะค่ะ”
กุ้ยเฟยมีลูกชายเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นองค์ชายรองที่สิ้นพระชนม์ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อหนึ่งปีก่อน
นับตั้งแต่สูญเสียบุตรคนนี้ไป ร่างกายของนางก็ค่อย ๆ ทรุดลง
พระขนงขององค์จักรพรรดิได้ขมวดเข้าหากันอย่างช้า ๆ สีพระพักตร์ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น
เซี่ยเชียนที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายมาโดยตลอด จู่ ๆ ก็โพล่งพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้มอบให้กระหม่อมตรวจสอบเถิดพะยะค่ะ”
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่เซี่ยเชียนเป็นตาเดียว แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังตกตะลึงไม่น้อย
เหยาเฉาเลิกคิ้วสูงอยู่เงียบ ๆ
ทำเช่นนี้ เซี่ยเชียนคงไม่ตั้งใจจะนอนจำศีลอย่างเดียวหรอกกระมัง?
องค์จักรพรรดิเกิดความลังเลไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักพระพักตร์ในทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ข้ามอบให้ท่านขุนนางแล้วกัน”
เหยาเฉาและหลินเหราต่างไม่ปริปากพูดอะไรแต่อย่างใด
พวกเขาสองคนกำลังตรวจสอบคดีที่องค์จักรพรรดิทรงตกจากหลังม้า นี่อาจจะเป็นโอกาสในการแสดงฝีมือของพวกเขา แต่ถ้าเกี่ยวพันถึงเรื่องที่องค์รัชทายาทถูกทางวังหลังสังหาร นั่นก็เป็นน้ำโคลนจริง ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าไปยุ่งดีกว่า
เดิมทีเหยาเฉาได้เตรียมการที่จะพาตนเองโยนเข้าไปแล้ว บัดนี้เซี่ยเชียนเสนอตัวเอง เขาจึงโล่งใจอยู่เงียบ ๆ
มีแค่หลินเหรา ที่ความกังวลในใจกลับเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายก็เอ่ยปากพูดไม่ได้
องค์จักรพรรดิคร้านจะไถ่ถามถึงคดีที่ทั้งสองคนรับผิดชอบ จึงไล่พวกเขาออกไป ส่วนตนเองก็พาเซี่ยเชียนไปยังตำหนักของกุ้ยเฟย เพื่อปิดคดีเล็ก ๆ ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่คดีนี้
ทั้งสองคนเดินออกมาจากตำหนักบรรทม ในที่สุดสีหน้าตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงมาก
แสงอาทิตย์ไต่ระดับขึ้นมายังมุมกระเบื้องหลังคาของตำหนักใหญ่ เหยาเฉาและหลินเหราเดินอยู่บนเส้นทางออกจากวังอย่างเนิบช้า และไม่พูดสิ่งใดชั่วขณะ
พวกเขาเดินออกจากวังอย่างเงียบเชียบ กำแพงวังที่สูงชะลูดค่อย ๆ ถูกพวกเขาทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง เหยาเฉาเอ่ยถามว่า “ได้ยินว่าอาซูจะพาเด็ก ๆ มาเมืองหลวง?”
ในหลายวันนี้ทั้งสองคนนอกจากจะคุยเรื่องคดีความ วิเคราะห์เบาะแสแล้ว น้อยนักที่จะคุยเรื่องทั่วไปในท่าทางที่สบายใจเช่นนี้
สีหน้าที่ตึงเครียดของหลินเหราค่อย ๆ อ่อนโยนลง จากนั้นก็พยักหน้า “อื้อ คิดว่านางคงจัดการกิจการในเมืองของนางเรียบร้อยไม่น้อยแล้ว บัดนี้คดีความได้สิ้นสุดลง สองสามวันนี้คงต้องหาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวง จากนั้นก็ไปรับตัวอาซูและพวกเด็ก ๆ มาที่นี่”
เหยาเฉายกมือขึ้นมาปิดปาก และหาวหวอดใหญ่อีกครั้ง
หลินเหรามองไปยังเหยาเฉา พลางคิดว่าท่าทางเกียจคร้านของเขา ช่างคล้ายคลึงกับท่าทางง่วงนอนของเหยาซูที่มักจะนั่งรอเขากลับบ้านไม่น้อย จึงอดกระตุกมุมปากไม่ได้
คิดว่าวันนี้จดหมายน่าจะถึงมือของเหยาซูแล้ว ไม่รู้ว่านางจะได้รับแล้วหรือไม่?
………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นก นก นก นกเต็มไปหมดเลยค่ะคุณหนูตู้ ว้ายยย
เซี่ยเชียนจะรอดไหมเนี่ย เอาตัวเองเข้าวังวนอำนาจขนาดนั้น
ไหหม่า(海馬)