ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 273 ปฏิเสธที่จะคุยกับเขา
บทที่ 273 ปฏิเสธที่จะคุยกับเขา
บทที่ 273 ปฏิเสธที่จะคุยกับเขา
เหยาซูไม่ได้สะสางบัญชี
นางเก็บงำความคิดนั้นไว้อย่างดี จากนั้นก็หลับตาพักสายตา และพูดเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่เป็นไร”
หลินเหราทอดถอนใจ และขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ กระทั่งเห็นสีหน้าอมชมพูที่ดูเปราะบางของนางถูกความซีดเผือดเข้ามาแทนที่ แม้แต่รอบดวงตาก็ยังถูกย้อมไปด้วยรอยคล้ำเลือนราง
หลินเหรารู้ว่าในสองสามวันนี้นางจะต้องได้รับความลำบากไม่น้อยจากการพาลูก ๆ เดินทางมาจากในเมืองชิงถง
แม้ว่าจะดูเหนื่อยล้าเพียงนี้ แต่เขาก็มองออกว่านางตั้งใจแต่งตัวอย่างประณีต
เส้นผมที่ปล่อยสยายลงมาจนแม้แต่เขาที่สัมผัสอยู่ทุกวันจนไม่อาจปล่อยได้นั้น บัดนี้ถูกมัดหลวม ๆ ไว้ ตรงกลางปักด้วยปิ่นที่เขาให้นางอันนั้น หลินเหรายังจำได้ว่าบนปิ่นปักผมมีการแกะสลักบทกวีที่มีชื่อของพวกเขาบทหนึ่ง
“เรือเล็กท่านไม่ย้อนกลับ ข่าวคราวหายลับเข้ากลีบเมฆ”
ครั้นเหยาซูได้ยินเสียงของเขา ก็พลันลืมตาขึ้นทันใด
นางมองมาที่เขา ในดวงตาดุจลูกท้องคู่นั้นมีหยดน้ำที่พร้อมจะแตกตัวเป็นเสี่ยง ๆ ก่อตัวขึ้นมา รอบดวงตาค่อย ๆ แดงก่ำ
“ท่านพูดประโยคนี้ทำไม?”
เสียงของนางแหบแห้ง แฝงไปด้วยความน้อยใจ เมื่อได้ยินดังนั้นหลินเหราก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงลงมาเบา ๆ ทิ่มลงมาบนส่วนที่อ่อนแอที่สุดในหัวใจของเขา
“อาซู อย่าร้องไห้เลย ข้าแค่เห็นปิ่นที่เจ้าปักมา…”
เขาขยับขึ้นหน้า ออกแรงบีบมือขวาของนาง พลางถามนางด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เหตุใดถึงไม่พอใจเพียงนี้? อาซู เจ้ามาเมืองหลวง ข้ามักชอบลืมตัว…”
เหยาซูส่ายหน้า ปฏิเสธและพยายามดึงมือกลับ “เหตุใดข้าจะมองท่านไม่ออกว่าดีใจที่ได้เจอข้าเพียงใด? ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ข้าไปหา เกรงว่าท่านและแม่นางตู้คงจะคุยกันถูกคอไปแล้ว!”
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหยาซูจะรู้สึกแย่กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ จึงกุมมือขวาของเหยาซูไว้แน่น ไม่ให้นางดิ้นหลุด จากนั้นก็ปลอบใจนางด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “อาซู ข้าผิดเอง วันนี้ข้าไม่ควรไปดูบ้านกับนาง เจ้าอย่าร้องไห้…”
เมื่อได้ยินเขาพูดสิ่งเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เหยาซูจึงไม่อาจควบคุมน้ำตาของตนเองได้
นางกัดริมฝีปากโดยไม่พูดสิ่งใด หยาดน้ำตาที่รื้นออกมารอบดวงตาได้ไหลรินลงมาอย่างต่อเนื่อง ย้อมแพขนตาให้เปียกชุ่มอย่างรวดเร็ว ยามนางกะพริบตาก็พากันไหลพรั่งพรูลงมา
หลินเหราทำอะไรไม่ถูก เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาของนางพลางพูดว่า “อย่าร้องไห้สิ อาซู ข้าผิดเอง เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ”
ครั้นเป็นเช่นนี้ เขายิ่งไม่อยากปล่อยมือของนาง
เหยาซูพูดด้วยความโกรธ “ข้าร้องไห้เพราะท่านไม่ใช่หรือไร!”
เมื่อนางโพล่งออกมาเช่นนี้ หยาดน้ำตากลับยิ่งไหลพรั่งพรู ไม่ว่าหลินเหราเช็ดเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมด
เขาเองก็รู้สึกร้อนใจไม่แพ้กัน กระทั่งเห็นการขัดขืนและความน้อยเนื้อต่ำใจของเหยาซู อีกทั้งนัยน์ตาที่ดูวิตกกังวลเหมือนกับสัตว์ร้ายที่ดิ้นไม่หลุดจากการพันธนาการ
เวลานี้หลินเหราเหมือนสติหลุดไปแล้ว ทั้งยังนึกถึงคำสอนเมื่อครั้นอดีตของเหยาเฉาไม่ได้ว่าควรต้องปลอบใจภรรยาให้สบายใจอย่างไร
ทำได้แค่พึ่งสัญชาตญาณ กระชากนางเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง
ความอบอุ่นและสัมผัสอันคุ้นเคย แต่เหยาซูกลับดิ้นอย่างแรง พลางพูดปฏิเสธว่า “ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! อย่ามากอดตัวข้า!”
ไม่ง่ายเลยที่หลินเหราจะได้กอดคนที่เขาถวิลหาเช้าค่ำ แขนทั้งสองข้างโอบกอดนางไว้แน่น ไฉนเลยจะยอมปล่อย?
ทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง แขนโอบรอบเอวบอบบางของเหยาซูอย่างแน่นหนาคล้ายกับห่วงเหล็ก ต่อให้นางมีจำนวนสิบคน ก็ไม่มีทางดิ้นหลุด
เขาไม่เข้าใจการปลอบใจ เขาปลอบใจอีกฝ่ายไม่ได้ ทำได้แค่พูดเสียงแหบแห้งว่า “ไม่ปล่อย”
เหยาซูโกรธเคืองจนเริ่มวิงเวียน นางไม่สนใจหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจอีก และออกแรงดิ้นอย่างสุดกำลัง ไม่นานเหงื่อก็ผุดซึมทั่วทั้งตัว
เมื่อคำนึงได้ว่ามีคนอยู่นอกรถม้า เหยาซูจึงกดเสียงให้เบาลง “หลินเหรา ท่านช่วยมีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่!”
หลินเหราตอบรับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ไม่มี”
เหยาซูกัดฟัน เพราะถูกเขาโอบกอดแน่นจึงคิดจะยื่นมือออกไปตีเขา หากแต่ก็ทำไม่ได้
นางหันข้าง จากนั้นก็ออกแรงกัดใบหูของหลินเหรา ใช้ฟันบดขยี้อย่างแรง
ชายหนุ่มส่งเสียงร้อง “โอ๊ย” บางทีอาจเพราะความเจ็บ จึงพาให้ตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว
เหยาซูปล่อย พลางพูดขู่ว่า “จะปล่อยหรือไม่ปล่อย!”
ยามที่หลินเหราถูกนางกัดหูนั้น โลหิตอันร้อนผ่าวได้เคลื่อนลงมาตามใบหู จากนั้นก็เคลื่อนไปทุกส่วนของร่างกายอย่างรวดเร็ว ความร้อนผ่าวทำให้เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เหยาซูเห็นเขาไม่เพียงแต่จะไม่ปล่อยมือเท่านั้น ตรงกันข้ามยังกอดรัดนางแน่นยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย นางจึงกัดลงบนตำแหน่งเดิมอย่างโหดเหี้ยมและหนักหน่วงอีกครั้ง
คราวนี้นางกัดอย่างจริงจัง วินาทีที่นางอ้าปากก็ได้ลิ้มรสชาติของสนิมเหล็ก
กระทั่งได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่แหบแห้งยิ่งกว่าเดิมพูดกับนางราวกับไม่เกรงกลัวว่า “ถ้าเจ้ากัดข้าแล้วสบายใจ ก็กัดไปเลย”
เหยาซูคายออกด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ พลางพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “หลินเหรา! ท่านเป็นแบบนี้อีกแล้ว ต่อไปอย่าได้หวังว่าข้าจะสนใจท่านอีก!”
ชายหนุ่มจึงผ่อนคลายกำลังเรียวแขนเล็กน้อย ไม่ได้รัดนางจนแน่นอีก แต่กลับไม่ได้ปล่อยให้นางหนีออกจากพันธนาการของตัวเองแต่อย่างใด
เหยาซูดิ้นพล่านอยู่ครึ่งวันจนหมดแรง ในที่สุดก็หยุดลง
ทั้งสองคนต่างพากันผ่อนคลาย และนั่งอยู่ในอากัปกิริยาเดิมอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดสิ่งใด
หลังจากผ่านครู่หนึ่ง หลินเหราก็วางคางลงบนไหล่ของเหยาซู และพูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้าไม่อยากยั่วโมโหเจ้า แต่เจ้าไม่เข้าใจข้า เห็นข้าแล้วก็เย็นชากับข้า แถมยังกัดข้าจนเจ็บ”
เหยาซูมีนิสัยชอบให้ใช้ไม้อ่อน ครั้นเห็นความน้อยเนื้อต่ำใจในคำพูดของหลินเหรา ความโกรธที่มีต่อเขาเมื่อครู่ ก็ค่อย ๆ จางหายไป
นางเอ่ยปากพูด “ใครใช้ให้ท่านยั่วโมโหข้าก่อนเล่า?”
เสียงของหลินเหราเบามาก ซึ่งดังมาจากไหล่ของเหยาซู “ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
เหยาซูรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในหน้าอกของเขา และยังมีความอบอุ่นที่แผ่ขยายออกมาจากอ้อมกอดของหลินเหรา จึงอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านปล่อยข้าก่อน…”
คาดไม่ถึงว่าเรียวแขนทั้งสองข้างของหลินเหราจะกอดรัดนางแน่นกว่าเดิม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ปล่อย เดี๋ยวปล่อย เจ้าก็ไม่สนใจข้าอีก”
เหยาซูจนปัญญา “ปล่อยก่อนดีหรือไม่? ข้าถูกแขนของท่านจ้ารัดจนเจ็บหมดแล้ว”
หลินเหราจึงค่อย ๆ คลายกำลังแขนออก จากนั้นก็ปล่อยเหยาซูไป
ทั้งสองคนสู้รัดฟัดเหวี่ยงกันไปมา จนเหงื่อผุดซึมทั่วทั้งตัว
นางมองไปยังรอยของเหลวสีแดงสะดุดตานั้น จึงฝืนถามว่า “เจ็บหูไหม?”
หลินเหรากำลังจะส่ายหน้า แต่เหมือนจะนึกบางอย่างได้ จึงลังเลครู่หนึ่ง และพยักหน้า
เหยาซูทอดถอนใจ นัยน์ตาคู่นั้นได้ฉายแววตาเสียใจ จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ข้าไม่ดีเอง แต่คราวต่อไปท่านอย่ากอดคนอื่นโดยไม่ปล่อยเช่นนี้อีกล่ะ”
ทั้งสองคนคืนดีกันในที่สุด และพยายามสงบจิตสงบใจ
หลินเหรายังคงดื้อรั้น “เจ้าไม่ใช่คนอื่น”
เหยาซูถึงกับพูดไม่ออก จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าการคุยกับหลินเหรา เหมือนนางเลี้ยงลูกชายเพิ่มอีกคน
เพียงแต่ดวงตาอันล้ำลึกและโดดเด่นภายใต้คิ้วรูปดาบของชายหนุ่มนั้น ไม่ว่าจะมองอีกกี่ครั้งก็ยังทำให้นางลุ่มหลงเสมอ
นางยื่นมือออกไป ปิดตาของหลินเหราอย่างเบามือ จากนั้นก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา “อย่ามองข้าอีก”
หลินเหราคลี่ยิ้มออกมาทันใด
เขาดึงมือของเหยาซูที่ปิดตาของตนเองลงมา กุมไว้ในมือของตัวเองพร้อมทั้งมองเหยาซูตาปริบ ๆ
น้อยนักที่ชายหนุ่มจะมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปีติยินดีอย่างบริสุทธิ์ใจเช่นนี้ ความกดดันรอบตัวได้จางหายจนหมด ยิ่งมุมปากกระตุกขึ้นยิ่งขับให้องค์ประกอบทั้งห้าอันหล่อเหลาบนใบหน้าโดดเด่นมากขึ้น จากนั้นก็พูดปลอบใจว่า “อาซู ต่อไปข้าจะมีแค่เจ้า”
ทั้งสองคนโน้มตัวเข้าหากัน เหยาซูมองเห็นแพขนตาที่ดกดำและเรียงเส้นสวยของเขาอย่างชัดเจน จากนั้นก็มองเข้าไปในดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แพขนตาคู่นั้น
ความลึกซึ้ง ความรุนแรง กลับเป็นความคิดที่ต้องยับยั้งชั่งใจ
กระทั่งได้ยินชายหนุ่มเอ่ยปากถามว่า “เหยาซู วันนี้เพราะเจ้าเห็นคนอื่นจึงไม่พอใจใช่หรือไม่? เพราะข้ายืนอยู่ข้างผู้อื่นเจ้าจึงโกรธใช่หรือไม่?”
หัวคิ้วที่ละเอียดอ่อนของเหยาซูขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นเล่า?”
หลินเหรายับยั้งความเป็นสัตว์ป่าในใจไว้ แต่นัยน์ตาของเขากลับฉายแววดีใจที่ไม่เคยมีมาก่อน
ครั้นเห็นรังสียินดีแผ่จากตัวเขา เหยาซูก็อดตัวแข็งทื่อไม่ได้ จากนั้นก็พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เห็นข้าไม่มีความสุข ท่านกลับดีใจอย่างนั้นสิ?”
สีหน้าที่ดูเย็นยะเยือกของหลินเหราได้แสดงความอ่อนโยนอย่างไม่เข้าท่าออกมา ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ขยับเข้ามาหมายแตะริมฝีปากของเหยาซู
นางเขินรู้สึกอาย คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะทำเช่นนี้!
นางกำลังจะอ้าปาก กระทั่งได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงแห่งความดีใจอย่างไม่อาจปกปิดได้ “เพราะรู้ว่าเจ้าสนใจข้า ข้าจึงได้ดีใจ”
เหยาซูถอยหลังไปเล็กน้อย นิ้วมืออันละเอียดอ่อนขวางปากของตัวเองไว้ พลางบ่นพึมพำว่า “ใครสนใจท่านไม่ทราบ…”
น้อยนักที่หลินเหราจะเผยเจตนารมณ์ของตัวเองออกมาโดยตรง เหยาซูเองก็เช่นกัน พวกเขามักจะรู้สึกได้ถึงความรักที่ตัวเองมีให้ต่ออีกฝ่าย
แต่ก้นบึ้งหัวใจของหลินเหรา วันนั้นที่เหยาซูลั่นคำว่า ‘แยกทาง’ ออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ความเย็นชาบนใบหน้าของนางไม่เคยจางหายไป
เหตุใดเหยาซูจะไม่เป็นเช่นนี้?
เหยาซูสะบัดมือของเขาออก และนั่งห่างจากเขาเล็กน้อย
หลินเหราขมวดคิ้วแน่น ในใจเต็มไปด้วยความจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร…
เหยาซูหลับตา ปฏิเสธที่จะคุยกับเขา
ทั้งสองคนไม่พูดกันไปตลอดทาง….
……………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สมควรแล้วที่จะโดนงอน หาทางง้ออาซูหนัก ๆ เลย ความหมายของอาซูว่าไม่ยุ่งกับตู้เหิงก็คือไม่พบไม่เจอนังตู้จริง ๆ นะอาเหรา ไม่ใช่ทำตัวไม่ชัดเจนแบบนี้
ไหหม่า(海馬)