ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 277 ทำไมการปลอบใจภรรยาถึงได้ยากเย็นเช่นนี้
บทที่ 277 ทำไมการปลอบใจภรรยาถึงได้ยากเย็นเช่นนี้?
บทที่ 277 ทำไมการปลอบใจภรรยาถึงได้ยากเย็นเช่นนี้?
เหยาเฉาและหลินเหราเดินเคียงข้างกันอยู่บนถนนของเมืองหลวง มุ่งหน้าไปยังทิศทางตะวันตกของเมืองอย่างช้า ๆ
หลินเหราไม่ได้มีนิสัยเปิดประเด็นก่อน หากเหยาเฉาไม่ปริปากพูด เขาก็จะไม่พูด
บนถนนในตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาที่ฝูงชนกำลังพลุกพล่าน เสียงร้องเรียกของเหล่าพ่อค้าแม่ขายหาบเร่ดังเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งยังมีเสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานไล่ตามมา เหมือนกำลังถลันเข้าไปในกลุ่มดอกไม้ไฟอย่างไรอย่างนั้น
เหยาเฉาในชุดคลุมยาวสีขาว รองเท้าหุ้มข้อเท้าสีน้ำเงิน เดินเหยียบย่างอยู่บนถนนกระดานหิน เนิบช้าและมีระเบียบ
เขาเอ่ยปากพูดก่อน “วันนี้เจ้ากับแม่นางตู้ไปดูบ้านด้วยกัน อาซูรู้แล้วใช่หรือไม่?”
ลูกกระเดือกของหลินเหราเคลื่อนไหวเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบ ‘อื้อ’ เสียงต่ำ
ก่อนจะได้ยินเหยาเฉาถามอีกว่า “เห็นแล้วหรือ?”
หลินเหราตอบรับอีกครั้ง
พัดที่เหยาเฉาถืออยู่ในมือ ได้เคาะลงบนระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้ง ใบหน้าดุจหยกขาวแสดงสีหน้าจนปัญญา คิ้วขมวดพลางทอดถอนใจ “เจ้าหนาเจ้า เกิดเรื่องขึ้นจนได้! ปกติก็เรียบร้อยดี ทำไมในช่วงสำคัญแบบนี้ ถึงปล่อยมือกันเล่า?”
ใบหน้าในมุมที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนของหลินเหราแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมา คิ้วรูปดาบที่คมเข้มคู่นั้นได้ขมวดเข้าหากันเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ก่อนจะถามว่า “พี่รอง…ข้าไม่รู้ว่าไปกวนใจจนอาซูไม่พอใจตรงไหน?”
เหยาเฉาเลิกคิ้วสูง “ทำผิดตรงไหน เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?”
หลินเหราส่ายหน้าและพูดอย่างจริงจัง “ถ้าเป็นเพราะแม่นางตู้ ก็ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนั้น แม้ว่าชายหญิงควรแบ่งแยก แต่พี่รองก็รู้ดีว่าแม่นางตู้ไม่มีเจตนาอื่น เราสองคนไปมาหาสู่กัน นายหน้าก็อยู่ด้วยตลอด อีกอย่างแม่นางตู้ก็ปิดผ้าคลุมหน้า ไม่มีใครจำได้ ไม่มีสิ่งใดจะทำลายชื่อเสียงของนางได้…”
เหยาเฉายืนนิ่ง ใบหน้าแสดงสีหน้าเวทนาจนยากจะทนดูได้ “ก่อนหน้านั้นเจ้าได้อธิบายเรื่องนี้กับอาซูหรือไม่?”
หลินเหราหยุดก้าวเดินและพยักหน้า “ก็เกือบหมด”
เหยาเฉารู้สึกว่า ถ้าหลินเหราและเหยาซูเลิกรากันเพราะเรื่องนี้ อย่าว่าแต่จะเลิกรากันด้วยความไม่เข้าใจเลย แค่นิสัยเฉื่อยชาจนน่าโมโหของหลินเหราก็สามารถทำให้น้องสาวโกรธจนหน้ามืดตามัวได้แล้ว
เขาพูดกับหลินเหราด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านั้นข้าไม่สนใจเจ้าเลย คิดว่าเจ้าคงมีแผนการหนึ่งอยู่ในใจของตัวเองแล้ว ดูจากตอนนี้คงจะยิ่งเลยเถิด”
หลินเหรานิ่งงัน และพูดอย่างไม่เข้าใจ “พี่รองหมายความว่าอย่างไร?”
เหยาเฉามองหลินเหราอย่างนิ่งงันเช่นกัน ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ข้าถามเจ้า แม่นางตู้เป็นหลานสาวของใต้เท้าเจ้าอาลักษณ์อยู่ในราชสำนัก ตระกูลตู้ก็เป็นตระกูลชั้นสูงที่ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ นางคือสตรีชั้นสูงที่ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง[1]อย่างดี เหตุใดถึงมาช่วยเจ้าดูบ้านด้วยเล่า? หญิงสาวชาวเมืองที่ชื่อเสียงคนไหนบ้างที่จะมิมีคนหยอกเย้าและตามติดเป็นขบวนยามออกจากบ้าน แล้วเหตุใดแม่นางตู้ถึงไม่พาสาวใช้ข้างกายมาด้วย?
หลินเหราพูดอย่างจริงจัง “อาซูเองก็เคยถามคำถามนี้กับแม่นางตู้แล้ว แต่ยังไม่ทันรอให้นางอธิบาย อาซูก็ตัดบทไปเสียก่อน”
เหยาเฉาพยายามอดทนอย่างมาก ยกเลิกความคิดที่อยากจะเขกศีรษะน้องเขยคนนี้เสีย
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเขาพึ่งพาได้ทุกเรื่องและจริงใจกับเหยาซู แค่ด่านของลุงใหญ่ หลินเหราอย่าหวังว่าจะผ่านไปเสียง่าย ๆ
สีหน้าอ่อนโยนของชายหนุ่มเผยให้เห็นถึงรอยแตกร้าว พูดขึ้นขุ่นเคือง “คนที่อาซูถามคือนาง เจ้าจะแย่งพูดทำไม?! หรือกลัวว่าความสัมพันธ์จะยุ่งวุ่นวายไม่พอ? เจ้าเป็นแม่นางตู้หรืออย่างไร ถึงได้ช่วยอธิบายให้นาง?! ”
หลินเหราอยากจะพูดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เหยาเฉาคิด แม่นางตู้มองเขาโดยไม่พูดสิ่งใด เขาจะทำอย่างไร?
แต่ชายหนุ่มเลือกกลืนสิ่งที่จะพูดกลับไป และลั่นสาบานอยู่เงียบ ๆ ในใจ ต่อไปจะไม่พูดมากอีก
เหยาเฉาเห็นเขาไม่พูดสิ่งใด จึงพูดด้วยความหวังดี “ดูต่อไปละกัน ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องทำให้ภรรยาของตัวเองขุ่นเคืองใจ!”
หลินเหรากำลังจะบอกว่าอาซูไม่มีทางเป็นเช่นนั้น แต่ครั้นนึกถึงสีหน้าผิดหวังและเจ็บปวดยามที่นางมองเขาในวันนี้ ทั้งยังไม่มีทีท่าอยากจะคุยกับเขา ในใจก็พลันเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมา
“พี่รอง” ชายหนุ่มเงยหน้า ใบหน้าที่นิ่งเฉยไร้ความรู้สึก ยากนักที่จะแสดงท่าทีไม่รู้จะทำอย่างไร “เช่นนั้นข้า…ควรทำอย่างไรดี?”
เหยาเฉานวดขมับพลางพูดเสียงทุ่มต่ำ “ต่อไปเจ้าต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล! สายตาที่แม่นางตู้มองเจ้า เจ้ามองไม่ออกหรือ?”
หลินเหรานิ่งเงียบ
ถ้าเขามองออกว่าแม่นางตู้มีใจให้เขาจริง ๆ ต่อให้หลบก็คงหลบไม่ทัน แล้วจะรับมือกับความหวังดีของนางได้อย่างไร?
แม้แต่พี่รองก็พูดแบบนี้…
เหยาเฉาเห็นเขาไม่มีทีท่าจะเอ่ยปาก จึงคิดในใจ ‘ซื่อบื้ออย่างไรก็ซื่อบื้ออยู่วันยังค่ำ’
เขาจัดการกับความรู้สึกแล้วย่างเท้าอีกครั้ง พาหลินเหราไปยังทิศทางตะวันตกของเมืองพลางกำชับเขาว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมองออกหรือไม่ ไม่ว่าคนภายนอกจะคิดอย่างไร ตอนนี้เจ้าทำได้แค่ต้องปลอบใจอาซูก่อน อย่าไปมาหาสู่กับแม่นางตู้อีก!”
หลินเหราตอบ ‘อื้อ’ หนึ่งครั้ง หากความวิตกกังวลยังไม่เสื่อมคลาย
กระทั่งได้ยินเหยาเฉาพูดอย่างทอดถอนใจ “เรื่องของพวกเจ้าสองคนข้าคงเข้าไปยุ่งไม่ได้ นิสัยของอาซู เรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าใครจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้ บัดนี้เด็ก ๆ ก็โตขึ้นทุกวัน เจ้าให้เด็ก ๆ ช่วยคลี่คลายความรุนแรงระหว่างเจ้ากับนางก็ได้”
หลินเหรายังคงเงียบ
เหยาเฉายังคงไม่รู้ว่าการสั่งสอนอาจื้อของหลินเหราเมื่อครู่ ได้ทำให้เหยาซูโกรธเคืองไม่น้อยอีกด้วย…
ชายหนุ่มปวดหัวอย่างหนัก เหตุใดการปลอบใจภรรยาถึงได้ยากเย็นเพียงนี้?
เมื่อเหยาเฉาเห็นท่าทางของหลินเหรายังคงครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เข้าใจ ในใจจึงยิ่งขบขันมากขึ้น พลางหยอกเย้าเขา “ข้าว่านะ อาเหรา ถ้าเหล่าพี่น้องในจวนตรวจการเห็นท่าทางเช่นนี้ของเจ้า คงจะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ! ปกติเห็นหนักแน่นจะตายไป ทำไม ตอนนี้เจ้าได้เจอกับคนที่รักษาเจ้าได้แล้วใช่ไหมเล่า?”
ใบหน้าที่เย็นยะเยือกของหลินเหราแสดงสีหน้าจนปัญญา และพูดเสียงเบาว่า “พี่รองอย่าขบขันข้า ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน แต่อาซู… นางไม่ใช่คนโวยวายโดยไร้เหตุผล ถ้านางไม่สบายใจอาจจะเป็นเพราะข้าทำผิดจริง ๆ ข้าจะกลับไปปลอบใจนางดี ๆ ”
เหยาเฉาชื่นชมนิสัยกล้าทำกล้ารับของหลินเหราไม่น้อย “พี่รองรู้จักเจ้าดี มีแค่ตระกูลเหยาของเรา ที่ไม่ยินดีกับเมียสามเมียสี่ หญิงสาวตระกูลเหยาออกเรือนกับคนที่รักเดียวใจเดียว เรื่องนี้เจ้าคงจำได้ดี”
หลินเหรามีสีหน้าจริงจัง “แน่นอน”
หลังจากพูดปลอบโยนและให้คำชี้แนะจบลง อะไรที่ควรเคาะก็เคาะไปแล้ว เหยาเฉาจึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำใกล้จะสมบูรณ์แบบแล้ว
เขาพยักหน้า “เจ้าเป็นน้องเขยของข้า ก็ถือว่าเป็นพี่น้องด้วยเช่นกัน ถ้าเจ้ามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
ผืนนภาที่สว่างไสว ดวงตาเรียวดุจลูกท้อคู่นั้นของเหยาเฉาได้ฉายความคิดออกมาชัดภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้า สีหน้าแต้มยิ้ม ทำให้หลินเหรานึกถึงเหยาซูอย่างอดไม่ได้
สีหน้าของเขาอ่อนโยนลง ความกังวลได้ล่องลอยไปตามสายลม เขาพูดเสียงเบาว่า “ข้าจำได้ ขอบคุณพี่รองมาก”
จากนั้นทั้งสองคนก็พูดคุยถึงเรื่องบ้าน พลางเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปยังทิศตะวันตก
แม้แต่หลินเหราที่ไวต่อความรู้สึกเสมอ ก็ยังไม่ทันสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังเดินย่องตามหลังพวกเขาเหมือนกับลูกแมวตัวหนึ่ง
เขาปะปนอยู่ในฝูงชน เพื่อไม่ให้สะดุดตาเพียงนั้น จึงไม่ใส่เสื้อผ้าสีดำที่ตัวเองมักชอบใส่ แต่ใส่เสื้อผ้ารัดรูปสีฟ้าทั่วไป
ครั้นเห็นหลินเหราและเหยาเฉากำลังพูดคุยกัน เด็กหนุ่มจึงได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาเบา ๆ และยังคงตามต่อไป
หลายวันนี้ในเมืองหลวงไม่ค่อยสงบนัก มักจะเกิดการจลาจลเสมอ เขาเองก็ทำได้แค่เฝ้ามองพี่รอง…
……………………………………………………………………………………………………….
[1] ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง หมายถึงหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน
สารจากผู้แปล
ขอบคุณพี่รองที่ช่วยเขกกระโหลกน้องเขยซื่อบื้อคนนี้นะคะ ไม่อย่างนั้นเจ้าท่อนไม้ผู้นี้ก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองผิดตรงไหนเสียที
ไหหม่า(海馬)