ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 296 ตู้เหิงจะเล่นลูกไม้อะไร
บทที่ 296 ตู้เหิงจะเล่นลูกไม้อะไร
บทที่ 296 ตู้เหิงจะเล่นลูกไม้อะไร
เหยาซูนั่งตัวตรงทันใด ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย จากนั้นก็มองเหยาเฉาพลางพูดว่า “จะต้องเป็นท่านพ่อและท่านแม่แน่นอน!”
อาวุโสทั้งสองคนเขียนจดหมายมาเช่นนี้มีเรื่องอะไรหรือไม่? ช่วงนี้ทางบ้านเป็นอย่างไรบ้าง? พี่ใหญ่กลับมาจากตอนใต้หรือยัง?
เหยาเฉารับจดหมายจากมือของฝูจู๋และเปิดอ่านทันที
เมื่อเห็นลายมืออันคุ้นเคย ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นก็หันกลับมาพูดกับเหยาซูว่า “ลายมือของเอ้อหลาง”
เหยาซูยื่นหน้าเข้ามามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ครั้นเห็นตัวอักษรยึกยือแต่กลับตั้งใจเขียนด้วยพู่กันอย่างบรรจง ก็เผยรอยยิ้มออกมา
คิ้วของนางโก่งขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยชื่นชม “ไม่เจอเอ้อหลางตั้งหลายวัน ดูท่าอยู่ที่บ้าน คงจะขยันน่าดู”
เหยาเฉาเบ้ปาก และพูดว่า “ขยงขยันอะไรกัน พี่ใหญ่ต้องกลับมาจากทางใต้แล้วแน่นอน ดูท่าหลายวันนี้เจ้าลูกตัวดีคงเล่นสนุกเกินไปหน่อย เลยถูกบังคับให้เขียนจดหมายมา เจ้าลิงจอมซนคนนี้จะเขียนเองได้หรือ?”
เหยาซูพลันหัวเราะออกมา ก่อนจะหันไปมองหลินเหราและพูดว่า “ท่านดูสิ พี่รองใส่ใจความเป็นอยู่ของลูกชาย จึงยกให้พี่ใหญ่ดูแล พอหันกลับมาดูท่าน ท่านกลับไม่สนใจอาจื้อมากเพียงนั้น ยังดีที่มีลุงของเขาคอยเป็นห่วง!”
หลินเหรารู้ว่านางกำลังพูดหยอกเย้า นัยน์ตาที่ดูเย็นชานั้นได้อ่อนโยนลงเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับเสียงทุ้มต่ำ “ข้ารู้ อาซู ข้าให้สัญญาว่าต่อไปข้าจะอบรมสั่งสอนอาจื้อให้เชื่อฟังเจ้ามากขึ้น ข้าทำได้แน่นอน”
เหยาเฉาปรายตามองสามีภรรยาคู่นี้แวบหนึ่ง แล้วส่งเสียง ‘ชิ’ ออกมา “เอาละ ๆ รู้ว่าพวกเจ้านั้นหวานชื่นกัน แต่อย่ามาแสดงความอบอุ่นต่อหน้าข้าได้หรือไม่? ข้ายังเป็นพ่อม่ายลูกติดอยู่นะ…ไอหยา?”
เขามองข้ามสิ่งตรงหน้าไปอย่างรวดเร็ว ยามที่พลิกจดหมายหน้าที่สองก็ร้องอุทานด้วยความสงสัย
เหยาซูเคร่งเครียดในใจ รีบยื่นหน้าเข้ามาทันที “เกิดอะไรขึ้น? ที่บ้านมีเรื่องใช่หรือไม่?”
เหยาเฉาส่ายหน้า “ไม่ได้เกิดเรื่อง พี่ใหญ่บอกว่าจะมาเปิดร้านขายผ้าในเมืองหลวง…”
เหยาซูตะลึงงันก่อนใคร จากนั้นก็ดีใจหน้าระรื่น นัยน์ตาคู่งามเปล่งประกาย “มาเปิดร้านขายผ้าในเมืองหลวง? พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ก็มาด้วยใช่หรือไม่? ท่านพ่อและท่านแม่เล่า?”
เหยาเฉาพินิจลายมือที่หวัดไปมาของลูกชายต่อ พลางพูดกับเหยาซูว่า “คนในบ้านต่างมากันแล้ว ท่านแม่และท่านพ่อก็ต้องมาด้วยสิ”
ใบหน้าของเหยาซูเผยรอยยิ้มที่สบายใจและมีความสุขทันใด ก่อนจะหันไปพูดกับหลินเหรา “ท่านพ่อท่านแม่จะมาในเมืองหลวง! พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย! พี่สะใภ้รองก็ต้องตามมาด้วย แล้วต้าหลางและเอ้อหลาง…”
หลินเหราเห็นท่าทางดีอกดีใจเหมือนเด็กน้อยของภรรยา ก็อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราต้องไปดูบ้านที่ใหญ่ขึ้นหน่อยแล้ว”
เหยาซูตอบรับ จากนั้นก็ได้ยินเหยาเฉาพูดว่า “เรื่องบ้านพวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อนหรอก ข้าจะช่วยหาด้วย ถ้าท่านพ่อและท่านแม่มาด้วย บ้านขนาดเล็กมีแค่สามประตูที่มักพบเห็นได้ง่ายคงอยู่กันไม่พอ…สองสามีภรรยาตัวน้อยอย่างพวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป”
เหยาซูพยักหน้า เอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านพ่อและท่านแม่บอกหรือไม่ว่าจะมาเมื่อไร? ในหมู่บ้านต้องเตรียมการหรือไม่? พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ละ? พี่สะใภ้รองและเด็ก ๆ ละ?”
เหยาเฉายิ้ม “อย่าเร่งนักสิ… เจ้าเด็กคนนี้นี่ ยิ่งเขียนยิ่งบิดเบี้ยว”
ตัวอักษรของเหยาเอ้อหลางไม่ตรงอย่างมาก แรกเริ่มก็บรรจงดีอยู่หรอก แต่หลัง ๆ มาต้องเอียงจดหมายอ่านเลยทีเดียว บางทีอาจเพราะเหยาเฟิงจ้องมองมาแวบหนึ่ง ใกล้ ๆ ช่วงท้ายจึงกลับมาตรงอีกครั้ง
เหยาเฉาอ่านจดหมายเหล่านั้นจบ ก็พูดกับเหยาซูว่า “พี่ใหญ่ยังต้องเตรียมการกิจการของร้านขายผ้า ท่านพ่อจะต้องจัดการเรื่องราวในหมู่บ้านให้เสร็จสิ้น คาดว่าอีกประมาณหนึ่งเดือนถึงจะมาได้ แต่พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองของเจ้าต้องพาเด็ก ๆ มาก่อน”
เหยาซูจึงรีบเอ่ยถาม “แล้วท่านแม่เล่า? จะมาด้วยกันใช่ไหม?”
เหยาเฉาส่ายหน้า “ท่านแม่บอกว่าจะมาพร้อมกับท่านพ่อ”
เหยาซูเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่อีกต่อไป และพยายามเรียบเรียงความคิดออกมา “เยี่ยม ท่านแม่จะต้องช่วยท่านพ่อและพี่ใหญ่เก็บของ พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองจะพาต้าหลางและเอ้อหลางมาก่อน โชคดีที่พวกเด็ก ๆ เป็นสหายกันได้….”
หลินเหราเติมชาในจอกที่อยู่ข้างมือของเหยาซู และพูดกับนางว่า “บังเอิญเจ้าพูดถึงกิจการโรงเตี๊ยมพอดี มีพี่สะใภ้ใหญ่พี่สะใภ้รองมาช่วย ก็คงจะราบรื่นยิ่งขึ้น”
หัวคิ้วของเหยาซูเลิกขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความดีใจ “ใช่น่ะสิ! ถึงตอนนั้นร้านขายผ้าของพี่ใหญ่คงจะเปิดที่เดียวกับโรงเตี๊ยมของเรา แขกที่แวะเวียนไปมาจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่แล้ว เมื่อกิจการเราเปิดให้บริการ ก็ยังเปิดเป็นโรงเตี๊ยมไม่ก็โรงน้ำชาถัดไปได้…”
หลินเหราตอบ ‘อื้อ’ เสียงต่ำ “แล้วแต่เจ้า”
เหยาเฉาเห็นทั้งสองคนสบสายตาและส่งยิ้มให้กันและกัน ใบหน้างดงามจึงอดเผยรอยยิ้มอย่างจนปัญญาออกมาไม่ได้ ก่อนจะสอบถามว่า “อาเหรา ปกติแล้วไม่ยักจะเห็นเจ้าเชื่อฟังคำพูดของอาซูมากเพียงนี้? เพราะข้าอยู่ที่นี่ ก็เลยเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
สภาพจิตใจของหลินเหราไม่เลวเลย ในอดีตมักจะมีนัยน์ตาที่ดูเย็นชาและเคร่งเครียด แต่วันนี้กลับเจือไปด้วยความอบอุ่น
เขาตอบกลับ “พี่รองไม่อยู่ ก็เหมือนกัน”
เหยาเฉาขบขันเล็กน้อย พลางคิดในใจ พวกเขาเป็นสามีภรรยากันมาตั้งนานหลายปี ถือว่าเป็นคู่ที่อยู่กินกันมานาน แต่ความรู้สึกกลับยิ่งอยู่ยิ่งสนิทสนมปรองดอง…
เรื่องราวบนโลกล้วนยากคาดเดา สวรรค์ย่อมรู้ว่าเหยาซูในตอนนั้นมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวมากเพียงใด
ดูท่าจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างคงจะมาจากหลินเหรา
การทอดถอนใจเช่นนี้ เหยาเฉาจึงอดตักเตือนน้องเขยไม่ได้ “ครอบครัวสมัครสมานจึงจะบรรลุผล ในสนามรบ หรือต่อให้ราชสำนักจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากเพียงใด เจ้าจะต้องชักดาบออกจากฝักอย่างชำนาญเสมอ กลับถึงบ้านก็ต้องเก็บคมดาบนั้น แล้วอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวอย่างสงบ”
หลินเหราพยักหน้า “พี่รอง ข้าเข้าใจแล้ว”
ระหว่างที่คุยกัน ชายหนุ่มก็หันมามองเหยาซู พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อาซูคือฝักดาบของข้า”
ยากนักที่หลินเหราจะแสดงความรู้สึกในใจออกมา เหยาซูถึงกับหน้าแดงเมื่อถูกเขามองโดยไม่ทันตั้งตัว จนไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไรไปชั่วขณะ
นางยกชาขึ้นดื่มแก้เขิน จากนั้นก็หยิบจดหมายที่เหยาเฉาวางไว้บนโต๊ะขึ้นมา พยักหน้าตอบรับ “อื้อ ฝักดาบ เป็นฝักดาบของท่าน…”
เหยาเฉาเฉมองไปด้านข้าง พร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างอดไม่ได้
เหยาซูเขินอายไม่น้อย ก่อนจะพูดกับพี่ชายของตนด้วยความขุ่นเคือง “พี่รอง พี่ไม่เหนื่อยหรือ เหตุใดยังไม่ไปพักผ่อนอีก?”
เหยาเฉาส่งเสียง ‘อือ’ ออกมา แล้วหาวออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุมได้ ก่อนจะพูดกับทั้งสองว่า “ข้าไปพักผ่อนละ อาเหราไปดู ๆ ศาลาว่าการเสียหน่อย ไม่ต้องอยู่เฝ้าหรอก…”
หลินเหราพยักหน้าตอบรับ “พี่รองไปพักผ่อนอย่างวางใจเถอะ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อย”
สองสามีภรรยาออกจากห้องรับรองของเหยาเฉาไป กลับมายังห้องรับรองของตัวเอง
อาซือและซานเป่าตื่นแล้ว เด็กทั้งสองคนกำลังล้างหน้า ส่วนฝูลี่อยู่เย้าหยอกกับซานเป่า ให้เขาอ้าปาก จากนั้นก็สังเกตฟันขนาดเท่าเม็ดถั่วของเขา
จึงเอ่ยถามอาซือว่า “คุณหนูอาซือ คุณชายน้อยต้องแปรงฟันหรือไม่เจ้าคะ?”
เด็กหญิงคงจะได้รับการอบรมสั่งสอนที่ค่อนข้างเข้มงวดจากครอบครัว นางจึงชี้แนะ “น้องไม่ต้องแปรงฟันตอนเช้า แต่ก่อนนอนในตอนกลางคืน จะต้องทำความสะอาดฟันให้เรียบร้อย”
ฝูลี่คุกเข่าปกป้องซานเป่าอยู่บนพื้น ไม่ให้เขาเผลอล้มลง พลางพยักหน้าราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
อาซือนั้นตาไว เห็นหลินเหราและเหยาซูเป็นคนแรก จึงรีบเช็ดหน้าแล้ววิ่งมาหาด้วยความดีใจ “ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกท่านไปห้องท่านลุงมาใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เหยาซูโน้มตัวลง ส่งยิ้มพร้อมลูบไล้แก้มที่มีหยดน้ำของเหยาซือและพูดกับนางว่า “อื้อ ข้าและพ่อเจ้าไปเยี่ยมท่านลุงมา”
อาซือเงยหน้ามองพ่อแม่พลางเอ่ยถาม “วันนี้ท่านพ่อและท่านแม่จะออกไปข้างนอกหรือไม่?”
เหยาซูตอบกลับ “พ่อเจ้าต้องออกไปข้างนอก ส่วนแม่อยู่เล่นกับเจ้าในจวน ดีหรือไม่?”
ใบหน้าของอาซือแต้มด้วยรอยยิ้มและพยักหน้า “ท่านแม่ เราไปดูปลาด้วยกันเถอะเจ้าค่ะ! จวนท่านปู่เซี่ยใหญ่มาก มีสระน้ำด้วย ในสระน้ำมีปลาตัวใหญ่เท่าแขนเชียว!”
นางจูงมือของเหยาซูและหลินเหราคนละข้าง จากนั้นก็ให้พ่อแม่ยกตัวนางขึ้นอย่างดีใจ
เหยาซูพาลูกสาวเดินไปข้างหน้า พลางเอ่ยถาม “อ่อ? ปลาใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? อาซือรู้หรือว่านั่นปลาอะไร?”
ใบหน้าขนาดเล็กของอาซือย่นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้….ข้าไม่เคยเห็น”
เหยาซูยิ้ม จากนั้นก็ปล่อยให้อาซือเดินกับหลินเหรา และเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เดี๋ยวแม่จะบอกเจ้า ดีหรือไม่?”
ซานเป่าชำเลืองมองพ่อแม่ พลางส่งเสียงร้องอ้อแอ้ออกมาเสียงดัง ความหมายก็คืออยากให้อุ้ม
ฝูลี่จึงส่งซานเป่าให้หลินเหรา แล้วทำความเคารพ ก่อนถอยออกไป
ไม่นาน อาจื้อก็กลับมา ทุกคนจึงกินอาหารเช้าด้วยกัน ไม่นานหลินเหราก็ออกไป
อาจื้อไปฝึกเขียนอักษรในห้องหนังสือ ส่วนเหยาซูนั้นพาเด็กทั้งสองคนไปนั่งเล่นในศาลา พลางครุ่นคิดถึงอนาคตอย่างเงียบ ๆ
เรื่องราวมันแตกต่างไปจากนิยายต้นฉบับโดยสมบูรณ์…
หลินเหราอยู่ข้างกายนาง เหล่าลูก ๆ ก็เติบโตอย่างมีความสุข แม้แต่ตระกูลเหยาก็เอ่ยว่าจะเข้าเมืองหลวง
ความหลงใหลที่ตู้เหิงมีต่อหลินเหรา เหยาซูรู้ชัดเจนดี เพียงแต่ไม่รู้ว่านางจะมีลูกไม้อะไรอีก?
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ตระกูลเหยาจะมาอยู่ในเมืองหลวงยกตระกูลเลย ดีจังค่ะ ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอะไรอีกแล้ว
อย่าไปกลัวค่ะอาซู เธอคือพระเจ้าของเรื่องนี้แล้ว ชะตาของนิยายเรื่องนี้อยู่ในกำมือเธอแล้วค่ะ ไม่แน่นางเอกของเรื่องเดิมอาจกลายเป็นตัวประกอบปลายแถวก็ได้นะคะ
ไหหม่า(海馬)