ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 298 ตู้เหิงหว่านแห
บทที่ 298 ตู้เหิงหว่านแห
บทที่ 298 ตู้เหิงหว่านแห
อีกด้านหนึ่ง ลู่หัวผู้ถูกตู้เหิงเบี้ยวนัดก็พาลรู้สึกโกรธเคือง
วันนี้เขาตั้งใจเตรียมตัวอย่างดี รอให้อีกฝ่ายมาตามนัด ใครเล่าจะคิดว่าหลังจากที่เขานั่งอยู่ในศาลาใกล้ทะเลสาบได้ไม่นาน คนที่มายังสถานที่นัดหมายกลับเป็นคนรับใช้ที่คาบข่าวมาจากจวนตู้ บอกว่าคุณหนูป่วย
หลังจากรอคนของจวนตู้จากไป ลู่หัวก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
อาเหลียงผู้เป็นเด็กรับใช้มีสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “นายน้อย เช่นนั้นเรากลับกันเถิดขอรับ”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของลู่หัวเริ่มบิดเบี้ยวด้วยโทสะ และกัดฟันกรอด “ทุกครั้งที่นัดกันก็มักจะอ้างว่าป่วยเสมอ เมื่อวานจู่ ๆ ก็ส่งคนมาเชิญ บอกว่าอยากเจอข้า วันนี้กลับให้ข้ามายืนรอโง่ ๆ อยู่ที่นี่เนิ่นนาน… เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว คิดว่าข้าเป็นตัวตลกหรืออย่างไร?”
อาเหลียงปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายลู่หัวมาตั้งแต่วัยเยาว์ รู้จักอารมณ์ของเขาดีว่าไม่ได้ดูสุภาพและอ่อนโยนเหมือนอย่างที่แสดงออกมา บัดนี้เมื่อเห็นสีหน้าขึงขังของเขา ในใจก็พลันรู้สึกไม่สู้ดี
เด็กรับใช้เพียงแค่ยิ้ม “คุณหนูใหญ่ในครอบครัวชั้นสูงคงไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกกระมังขอรับ? อีกอย่างแม่นางตู้ก็มีใจให้นายน้อย เป็นความสัมพันธ์แบบเหมยเขียวม้าไม้ไผ่มาตั้งแต่เล็ก…”
แผ่นอกของลู่หัวกระเพื่อมขึ้นอย่างรุนแรง ต่อหน้าคนภายนอก เขาพยายามจะข่มไม่ให้ระเบิดอารมณ์ออกมา
แต่น้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความโกรธเคือง “ความสัมพันธ์แบบเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ตั้งแต่เล็กหรือ?! ทุกครั้งที่เจอกัน นางมักจะคลุมหน้าคลุมตาไปแล้วเก้าในสิบครั้ง นางจะรู้สึกลึกซึ้งกับข้าได้อย่างไร?”
อาเหลียงรีบเอ่ยโน้มน้าว “ไอหยานายน้อย นายน้อยก็ใช่ว่าจะไม่รู้! แม่นางตู้มักมีนิสัยเช่นนี้! อย่าว่าแต่การคลุมหน้ายามที่เจอนายน้อยเลย กับคนทั่วไป ก็ไม่เคยมีผู้ใดได้ยลโฉมหน้าของนางนะขอรับ”
ลู่หัวยิ้มเย็นชา “คิดว่าตัวเองเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ เหมาะสมกับข้าดั่งกิ่งทองใบหยกเช่นนั้นหรือ?”
รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าของอาเหลียงยังไม่จางหาย ยังคงพูดต่อ “นายน้อยชอบในความหยิ่งยโสของแม่นางตู้ไม่ใช่หรือขอรับ? หากเป็นหญิงสาวทั่วไป นายน้อยย่อมไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย!”
ลู่หัวไม่พูดสิ่งใด นอกจากจิบน้ำชาท่ามกลางสายลมโชยพัดอยู่ในศาลา
เมื่ออาเหลียงเห็นอารมณ์ของเขาอ่อนลงมากแล้ว ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปแม่นางตู้จะต้องออกเรือนกับนายน้อย เมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะไม่อ่อนข้อให้นายน้อยเชียวหรือ? ถึงตอนนั้นถ้าแม่นางตู้เย็นชาเช่นนี้กับนายน้อยอีก นางเย็นชาใส่หนึ่งวัน นายน้อยก็เย็นชาใส่สิบวันไปเลยเป็นไรขอรับ ดูสิว่าใครจะยอมแพ้ก่อนกัน”
ลู่หัวแสยะยิ้มเย็นชา “พูดได้มีเหตุผลมาก”
อาเหลียงโน้มตัวลงมารินน้ำชาใส่จอกให้แก่ลู่หัว จากนั้นก็แสดงความคิดเห็นอีกครั้ง “บัดนี้นายน้อยต้องอดทนไปก่อน อีกอย่างในเมืองหลวงก็ไม่ได้มีแค่หญิงสูงศักดิ์เพียงผู้เดียว แม้จะบอกว่าภูมิหลังและโฉมหน้าของคนภายนอกเทียบเคียงแม่นางตู้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สัมผัสเข้าถึงตัวได้ง่ายกว่าไม่ใช่หรือขอรับ?”
ลู่หัวใช้พัดในมือเคาะศีรษะของอาเหลียงหนึ่งครั้งและตำหนิออกมา “ความคิดพิเรนทร์ของเจ้าช่างเยอะจริงเชียว อย่าให้ท่านพ่อได้ยินคำพูดเหล่านี้เด็ดขาด เขาแนะนำให้ข้าแต่งงานกับตู้เหิง หวังจะได้สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าอาลักษณ์ประจำราชสำนัก”
อาเหลียงยิ้ม “แน่นอน แน่นอนขอรับ!”
ลู่หัวยังคงนั่งดื่มชา กินขนมอยู่ในศาลา ในขณะที่ตั้งใจจะกลับจวนนั้น พลันเห็นเงาร่างที่ดูอรชรผู้หนึ่ง ด้านหลังมีสาวใช้ที่อายุไม่มากนักเดินตามไม่ห่าง
เขามองใบหน้าด้านข้างของคนที่ค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามา หัวคิ้วก็พลันขมวดเข้าหากัน แล้วเอ่ยถามอาเหลียงที่อยู่ข้างกาย “แม่นางที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวผู้นั้นคือผู้ใด? เหตุใดถึงได้ดูสะดุดตาเช่นนี้”
เมื่ออาเหลียงมองจนมั่นใจก็คลี่ยิ้ม “ช่างบังเอิญยิ่งนัก นายน้อยลืมไปแล้วหรือ? นั่นคือน้องสาวต่างมารดาของแม่นางตู้ เมื่อวานนายน้อยยังให้ข้ามอบของให้นางอยู่เลยขอรับ”
เจ้าตัวค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ เผยให้เห็นโครงหน้านั้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ มันช่างคล้ายคลึงกับตู้เหิงยิ่งนัก
ลู่หัวพยักหน้า โดยไม่พูดสิ่งใด
รอจนหญิงสาวผู้นั้นเดินมาถึงในระยะที่ห่างจากศาลาเพียงไม่กี่ก้าว แล้วหยุดชะงักไป เหมือนกับพบชายแปลกหน้าในศาลาโดยไม่ทันตั้งตัว
อาเหลียงกระซิบข้างหูลู่หัวด้วยเสียงเบาหนึ่งประโยค “แม่นางตู้ผู้นี้ มีนามว่าตู้หวู่ขอรับ”
ลู่หัวชำเลืองมองผู้มาเยือน ใบหน้านั้นแต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยออกไป “แม่นางตู้ บังเอิญยิ่งนัก เจ้าก็ออกมาเดินเล่นเช่นกันหรือ? มิสู้เข้ามาพูดคุยในศาลาเสียหน่อย”
ตู้หวู่มองดูอย่างลังเล นางสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็ย่างเท้าเข้าไปในศาลา
นางยอบกายทำความเคารพลู่หัว ก่อนจะขานเรียกอย่างเนิบช้า “คุณชายลู่”
ลู่หัวเองก็ยืนขึ้นทำความเคารพเช่นกัน จากนั้นก็เชิญนางนั่งลงด้วยท่าทีที่ดูสุภาพยิ่ง
อาเหลียงรีบรุดเดินขึ้นหน้า หยิบจอกชาที่สะอาดสะอ้านออกมา จากนั้นก็รินน้ำชาให้แก่ตู้หวู่
ลู่หัวกล่าวอย่างอ่อนโยน “แม่นางเชิญขอรับ”
ตู้หวู่ตอบรับด้วยความเกรงใจ และกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
รูปโฉมของนางไม่ได้งดงามดั่งเช่นตู้เหิง แต่กลับมีความออดอ้อนที่ดูโดดเด่นอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดกระโปรงยาวสีขาวที่นางสวมใส่นั้นขับให้มีทรวดทรงองค์เอวอย่างละเอียด ครั้นเห็นแล้วก็พลันอยากเข้าไปปกป้อง
ลู่หัวแอบลอบพินิจตู้หวู่โดยไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกับตู้เหิงนั้น ในใจก็พลันรู้สึกจั๊กจี้ทันใด
เขาเอ่ยปากถาม “วันนี้แม่นางตู้มีธุระข้างนอกหรือ?”
ตู้หวู่วางจอกน้ำชาในมือลง แล้วส่ายหน้าพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ไม่เจ้าค่ะ แค่ออกมาเดินเล่น ช่วงนี้อากาศค่อย ๆ ร้อนขึ้น สุขภาพร่างกายของท่านยายก็ไม่ค่อยดีสักเท่าใด จึงถือโอกาสออกมาซื้อวุ้นซานจาช่วยบำรุงภายในให้แก่อาวุโสเสียหน่อย”
ลู่หัวกวาดตามองสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังของนางแวบหนึ่ง ก็เห็นถุงกระดาษที่ถืออยู่ในมือของสาวใช้ผู้นั้นจริง ๆ
กระทั่งได้ยินตู้หวู่เอ่ยด้วยเสียงเนิบช้าว่า “ร้านขายวุ้นซานจาแห่งนั้นห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ยังเหลือเวลาอีกถมเถ ข้าจึงมาเดินเล่นแถวทะเลสาบแห่งนี้”
ลู่หัวยิ้มอย่างอ่อนโยน และเอ่ยกับตู้หวู่ว่า “การพบกันนั้นคือวาสนา ถ้าแม่นางตู้ไม่มีธุระอื่น สู้ไปนั่งเรือล่องทะเลสาบกันดีกว่า?”
ตู้หวู่แสดงท่าทางตกใจอย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามเบิกกว้างเล็กน้อย ยังคงลังเลไม่กล้าตัดสินใจ
นางกัดริมฝีปากล่างอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยอย่างลำบากใจ “เรื่องนี้…ถ้าพี่สาวข้ารู้ว่าข้าไปมาหาสู่กับคุณชาย นางจะต้องโกรธเป็นแน่”
ครั้นเอ่ยถึงตู้เหิง ในใจของลู่หัวก็พลันไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่ได้แสดงออกมาต่อหน้าตู้หวู่
เขายังไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องคู่นี้ดีพอ จึงไม่กล้าทำการบุ่มบ่าม
ลู่หัวทำได้เพียงส่งยิ้มออกมา “ขอไม่ปิดบังแม่นางแล้วกัน วันนี้ข้ามีนัดกับแม่นางตู้พี่สาวของเจ้า เพียงแต่นางส่งคนมาบอกข่าวว่าไม่ค่อยสบาย เหลือข้าที่มองดูทะเลสาบอย่างเหนื่อยหน่ายเพียงลำพังอยู่ในศาลา และด้วยความรู้สึกผิดต่อทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้”
ตู้หวู่เบิกตากว้างเล็กน้อย “พี่หญิงไม่สบายหรือเจ้าคะ?”
นางหยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบอธิบายให้แก่ลู่หัวฟังราวกับกำลังปิดบัง “พี่หญิงมักจะป่วยมาตั้งแต่เยาว์วัย บางทีอาจเพราะอาการเย็นพัดผ่านนางกระมัง”
กล่าวจบใบหน้าของนางก็ขึ้นสีแดงระเรื่อฉับพลัน เหมือนกับคนที่ไม่ถนัดเรื่องการโกหกแล้วถูกจับได้ จึงรีบก้มหน้างุด แม้แต่นิ้วมือก็เริ่มขยุ้มชายเสื้อ
ลู่หัวเห็นท่าทางของดรุณีตัวน้อย ความสนใจที่เดิมทีมีต่อแม่นางตู้ผู้นี้อยู่แล้วกลับเพิ่มยิ่งกว่าเดิม
เสียงของเขาดูอ่อนโยนและสุภาพนัก ราวกับไม่เห็นความอึดอัดใจของตู้หวู่ ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไหน ๆ แม่นางตู้ก็มาแล้ว อดทนไปนั่งเรือเป็นเพื่อนข้าที่แสนโดดเดี่ยวผู้นี้ได้หรือไม่?”
ตู้หวู่เงยหน้าขึ้น แสดงสีหน้าลังเล
ลู่หัวคลี่ยิ้มอีกครั้ง “ถ้าแม่นางตู้เป็นกังวล กลัวว่าจะถูกจวนตู้รู้เข้า ข้าจะไม่บอกผู้อื่น”
เช่นนั้นแล้วตู้หวู่จึงได้ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก
ลู่หัวกำชับอีกครั้ง อาเหลียงรีบวิ่งเข้ามา เตรียมนั่นเตรียมนี่ โชคดีที่เขายังไม่ได้ยกเลิกเรือที่จองไว้ลำนี้ ตำแหน่งขึ้นเรือก็ไม่ถือว่าไม่ให้เกียรติ
ตู้หวู่ตามลู่หัวขึ้นเรือไป คนหนึ่งก็พูดคุยอย่างสนุกสนาน อีกคนก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ เห็นแล้วเหมือนกับภาพที่ดูกลมกลืนกันอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างมีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ไม่เก่งพอจะโอ้อวดกับผู้อื่นได้
อาเหลียงไม่ได้ตามไปด้วย ครั้นส่งทั้งสองคนขึ้นเรือแล้ว ก็แค่นหัวเราะเบา ๆ อยู่ริมฝั่ง “แม่นางตู้หวู่ผู้นี้ ช่างเรื่องมากจริงแท้…แต่ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วนายน้อยจะต้องตาต้องใจกับคุณหนูคนไหน?”
เรื่องที่ตู้หวู่ไปนั่งเรือเล่นกับลู่หัวนั้น สุดท้ายก็ยังรู้ถึงหูของตู้เหิงอยู่ดี
สองคนนั้นตั้งใจจะปิดบัง แต่ตู้เหิงในชาตินี้ ไม่ได้เป็นหญิงสาวไร้เดียงสาที่มอบความไว้วางใจอย่างคนโง่เขลาเหมือนในอดีตชาติอีกแล้ว
นางส่งคนไปจับตามองตู้หวู่อย่างเงียบ ๆ หมายจะควบคุมการเคลื่อนไหวของน้องสาวต่างมารดาของตนผู้นี้ให้จงได้
อาซู่เข้ามารายงาน หากแต่นางไม่กล้าส่งเสียงดัง “รายงานคุณหนู คนที่สะกดรอยตามคุณหนูรองได้ส่งข่าวมาแล้ว บอก…บอกว่าวันนี้คุณหนูรองไปทะเลสาบ แล้วบังเอิญเจอกับคุณชายลู่…”
นางแอบลอบมองตู้เหิงแวบหนึ่ง ครั้นเห็นว่านางไม่แสดงสีหน้าใด ๆ จึงไม่กล้าพูดต่อ…
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เจ้าแผนการกันนักนะ ตู้หวู่ก็คือซวยสุดที่มาเป็นหมากเบี้ยให้สนามอารมณ์ระหว่างหญิงชายคู่นี้
ไหหม่า(海馬)