ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 305 นางไม่เชื่อว่าจะรับมือกับตู้เหิงไม่ได้
บทที่ 305 นางไม่เชื่อว่าจะรับมือกับตู้เหิงไม่ได้
บทที่ 305 นางไม่เชื่อว่าจะรับมือกับตู้เหิงไม่ได้
หลินเหราส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
เหยาซูนึกย้อนกลับไปยังพฤติกรรมของตู้เหิงในนิยายต้นฉบับ เห็นได้ชัดว่านางเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจดี เหตุใดถึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้เสียได้? สัมผัสถึงความเป็นมนุษย์เราได้โดยแท้จริง
นางเอ่ยออกมาด้วยความรังเกียจ “ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ นางทำให้ตัวเองเป็นคุณหนูใหญ่ในจวนเจ้าอาลักษณ์ดี ๆ ไม่ได้หรือไร? เหตุใดถึงต้องหาเรื่องเช่นนี้”
หลินเหราปลอบโยนเหยาซู “อาซู อย่าเพิ่งโกรธสิ โชคดีแล้วที่เจ้าและลูก ๆ ไม่เป็นอะไร เรื่องหลังจากนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้าจัดการแล้วกัน”
เหยาซูตื่นตระหนกในใจ แล้วเอ่ยถาม “ท่านจะทำอย่างไร?”
คิ้วรูปดาบทรงงามของหลินเหราค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน “ก็เผยแพร่แก่สาธารณะชน ให้นางได้รับบทลงโทษที่ควรได้รับ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เหยาซูก็อดเป็นกังวลไม่ได้ จึงเอ่ยถามว่า “แล้วท่านสืบได้อย่างไร เหตุใดถึงรู้ว่าตู้เหิงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง?”
หลินเหรากุมมือของเหยาซูอย่างแผ่วเบา แล้วอธิบายถึงต้นสายปลายเหตุอย่างง่าย ๆ จากนั้นก็ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้ามีหลักฐานในมือแล้ว ต่อให้นางดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุดแน่นอน”
เหยาซูบ่นพึมพำ จากนั้นหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน “ตอนนี้สิ่งที่ยากเพียงอย่างเดียว คือสถานะของนาง… คุณหนูของจวนเจ้าอาลักษณ์ เราแตะต้องได้หรือ? จวนตู้มีชื่อเสียงมานับร้อยปี ทั้งยังมีอำนาจมีอิทธิพลในเมืองหลวง พวกเขาไม่มีทางให้เกิดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้ขึ้นในตระกูลของตัวเองจนทำลายชื่อเสียงป่นปี้แน่”
เมื่อเผชิญหน้ากับความกังวลของเหยาซู หลินเหราก็กุมมือของเหยาซูแน่นขึ้น จากนั้นก็มองเข้าไปนัยน์ตาที่สุกสกาวของนางแล้ววิเคราะห์ให้นางฟัง “เจ้าอาลักษณ์ตู้มีอำนาจมากในราชสำนัก เดิมทีก็มีความสัมพันธ์ในรูปของคู่แข่งกับท่านน้าอยู่แล้ว ถ้าเราอยากจะฉุดตู้เหิงลงมา จะต้องเปิดสงครามกับเจ้าอาลักษณ์แน่นอน หากจุดชนวน อำนาจที่ปกติไม่ค่อยเกิดขึ้นในจวนเซี่ยจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างถล่มทลาย จึงจะยิ่งสร้างความโกลาหล”
สิ่งที่อธิบายได้อย่างชัดเจนคือการผันผวนปรวนแปรของอำนาจในราชสำนัก นัยน์ตาของชายหนุ่มไม่ได้มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย มันกลับลึกล้ำยิ่งกว่าก้นสระที่เย็นยะเยือก เฉยชาแต่มีสติปัญญา
เหยาซูติดความเด็ดเดี่ยวมาจากเขา ทั้งยังเอ่ยถามด้วยเสียงเบาอย่างไม่เกรงกลัว “เช่นนั้นเราจะควบคุมจนกลายเป็นผู้ชนะได้ใช่หรือไม่?”
หลินเหรายิ้มเล็กน้อย ในเมื่อไม่มั่นใจและไม่ปฏิเสธ จึงพูดได้แค่ว่า “คอยดูต่อไปแล้วกัน”
ศึกสงครามที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก เหยาซูรู้ว่าคงช่วยอะไรไม่ได้ นางกุมมือที่ร้อนผ่าวของหลินเหราไว้ จากนั้นก็พูดกับเขาเสียงเบาว่า “ท่านควรจะทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ไม่ว่าอย่างไร ข้าและลูก ๆ จะอยู่หลังท่าน สนับสนุนท่านเสมอ”
ความอบอุ่นระลอกหนึ่งได้ทะลักเข้ามาในจิตใจของหลินเหรา
สายตาของเขาจับจ้องมาที่เหยาซูอย่างไม่ลดละ เมื่อสบตากับนาง ทั้งสองคนเห็นตัวเองสะท้อนในสายตาของกันและกัน จนลืมว่าเวลาได้ล่วงผ่านไปนานเท่าไร
ทั้งสองคนไม่พูดสิ่งใดเนิ่นนาน
กระทั่งเวลาผ่านไป เหยาซูสลัดหลุดออกจากสถานการณ์นี้ก่อน
นางกระแอมไอเบา ๆ หนึ่งครั้ง ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย คล้ายกับเครื่องลายครามหยกขาวที่มีสีเคลือบย้อมอย่างประณีต ช่างงดงามเกินคำบรรยาย
“อีกอย่าง” นางหยิบยกหัวข้อหนึ่งขึ้นมา “เรื่องนี้ท่านเคยพูดกับท่านน้ามาก่อนใช่หรือไม่? จวนเซี่ยและจวนตู้เปิดสงครามกัน มันไม่ใช่เรื่องเล็ก…”
ครั้นหลินเหราเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนที่แสดงออกมาทางใบหน้าของภรรยา หัวใจก็พลันเต้นไม่เป็นจังหวะ
ต่อหน้าของนาง ต่อให้น่ารำคาญเพียงใด เวลานี้ก็สามารถสลัดออกจากสมองได้
ปากของเขาตอบ แต่ในใจยังคงตรึงตราอยู่กับเหยาซู “เรื่องนี้ข้าเคยพูดกับท่านน้าเมื่อนานมาแล้ว คาดว่าความสัมพันธ์ระหว่างจวนตู้ได้พังทลายลง กระทั่งมีการเข่นฆ่ากันเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือของคุณหนูแห่งจวนตู้ และมันไม่ง่ายเลย หากแต่ตอนนี้มีพยานบุคคลในครอบครอง รอแค่เลือกโอกาสที่เหมาะสม…”
ชายหนุ่มกล่าวพลางสังเกตสีหน้าของเหยาซูที่ร้อนใจอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ยากนักที่ใบหน้าอันหล่อเหลาจะแสดงความกังวล ราวกับกำลังกลัวว่าเหยาซูจะปฏิเสธ
ฝ่ามือของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “อาซู นานแล้วนะที่เรา…”
ความกังวลในใจของเหยาซูถูกท่าทางของชายหนุ่มกำจัดไปไม่น้อย กอปรกับประโยคของเขาที่เพิ่งเอ่ยนั้นทำให้แก้มทั้งสองข้างก็ยิ่งแดงระเรื่อ
ดูจากเวลา นับตั้งแต่ที่เขามาถึงเมืองหลวงจวบจนตอนนี้ พวกเขาแทบไม่มีช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยกัน…
นางเบิกตากว้างด้วยความขุ่นเคือง “ท่านกังวลอะไร?”
หลินเหราเงียบไป เหงื่อที่เปียกโชกบนฝ่ามือถูกนางเช็ดเบา ๆ ไปหมดแล้ว
ในใจของนางยังคงนึกถึงเขา เพียงแต่ในช่วงสองสามวันนี้ เกิดเรื่องราวมากมาย ทั้งสองคนจึงไม่มีเวลาที่จะได้คุยกันดี ๆ เลย
เหยาซูนึกบางอย่างได้ จึงเอ่ยถามเขาเสียงเบา “ท่านยังกินยานั้นอยู่หรือไม่?”
หลินเหราพยักหน้าอย่างจริงจัง “ยานั้นจะได้ผลหลังจากกินไปแล้วสิบห้าวัน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะมาเมื่อใดจึงกินมันเป็นปกติ”
เหยาซูขำออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พูดอย่างขุ่นเคืองใจว่า “แม้จะบอกว่ายาป้องกันการตั้งครรภ์จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ท่านก็ไม่ต้องกินทุกวันก็ได้…ไม่ลำบากเกินไปหน่อยหรือไร”
หลินเหรามองเหยาซูโดยไม่พูดสิ่งใด อีกทั้งไม่เบนสายตาไปทางอื่นจนทำให้เหยาซูหน้าแดงระเรื่อขึ้น
นางพูดเสียงเล็ก “รอตอนค่ำนะ ลูก ๆ คงหลับหมดแล้ว”
เมื่อชายหนุ่มเห็นนางพยักหน้า ก็คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจออกมาในที่สุด
กระทั่งเห็นท่าทางนั้นช่างคล้ายกับเด็กและเหมือนกับสุนัขที่เลี้ยงจนเชื่อง นัยน์ตานั้นก็แฝงไปด้วยความดีใจอย่างไร้เดียงสา
เหยาซูจึงขยับเข้าใกล้ แล้วโอบเอวสอบของหลินเหราอย่างแผ่วเบา วางปลายคางลงบนไหล่ของอีกฝ่าย และพูดอย่างทอดถอนใจ “ราชสำนักเทียบเคียงกับที่อื่นไม่ได้ ครั้นคิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมายเหล่านั้น บางครั้งข้าก็อยากเป็นบุรุษเช่นกัน จะได้ยืนเคียงข้างท่าน”
แขนทั้งสองข้างของหลินหราโอบกอดอีกฝ่าย ก่อนดึงเหยาซูเข้ามาในอ้อมกอด
เขาปลอบโยนภรรยาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อย่ากังวลไป ข้าจัดการได้ อีกอย่างยังมีพี่รองช่วยข้าอีกแรง”
เหยาซูตอบ ‘อื้อ’ เสียงต่ำคำเดียว
นางชอบช่วงเวลาที่เงียบสงบเช่นนี้ที่สุด ในอ้อมกอดคือคนที่นางรัก ราวกับว่าตราบใดที่ทั้งสองคนยังมีกันและกัน ปัญหากวนใจทุกอย่างในโลกนี้จะห่างพวกเขาไป
กระทั่งได้ยินหลินเหรากระซิบข้างหูของนางอย่างแผ่วเบา “อาซู เมื่อลูก ๆ โตแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปขึ้นเขาลงห้วยดีหรือไม่?”
เหยาซูเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เงยหน้าจากอ้อมกอดของเขา นัยน์ตาที่สุขสกาวเปล่งประกายและพูดว่า “ข้ากำลังคิดจะพูดเช่นนี้พอดี เมื่อลูก ๆ โตแล้ว เราละทิ้งความวุ่นวาย ขึ้นเขา ลงห้วย อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ด้วยกัน ไม่มีใครหาเจอ ไปซีเป่ย เพื่อดูปุยเมฆดุจหมอกควัน และแสงตะวันสีเหลืองอร่ามดั่งที่เจ้าเคยว่าไว้…”
ฝ่ามือของหลินเหราลูบเส้นผมของเหยาซูอย่างแผ่วเบา ก่อนจะตอบรับเสียงทุ้มต่ำ “เยี่ยม ยังมีสถานที่ที่อยากไปอีกหรือไม่?”
เหยาซูเอียงคอ ราวกับกำลังครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไปทางตอนใต้! ข้ายังไม่เคยเห็นหมู่บ้านริมน้ำเจียงหนานเลย สิ่งปลูกสร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่ในน้ำ ทุกคนสามารถพายเรือในเมืองได้ จะว่าไปแล้ว อาหารซูโจวก็มีแค่ในเจียงหนานเท่านั้นที่เป็นต้นตำรับโดยแท้จริง”
นัยน์ตาของหลินเหราเปล่งประกายเช่นกัน และตอบรับว่า “อื้อ ไปเจียงหนาน ได้ยินว่าโคมไฟที่นั่นงดงามมาก ยามเทศกาลโคมไฟ เห็นโคมไฟแขวนเรียงรายไปตลอดทางที่ปูด้วยหินเงิน เมื่อสะท้อนลงในน้ำ ราวกับว่าทั่วทั้งเมืองถูกล้อมด้วยโคมไฟที่ส่องแสงระยิบระยับดุจดวงดาว อาซู เจ้าต้องชอบแน่นอน”
เหยาซูมองเข้าไปนัยน์ตาที่ลึกล้ำของหลินเหรา เหตุใดถึงมองเท่าไรก็ไม่เคยพอ กระทั่งนางต้องถอนหายใจออกมาในท้ายที่สุด
หลินเหราเอ่ยถาม “เป็นอะไรไปหรือ?”
นางส่ายหน้า คิ้วยังคงโก่งขึ้นและกล่าวว่า “ก่อนหน้านั้นพี่เจี่ยงเคยพูดกับข้า นางบอกว่านางไม่รู้ว่าจะร่วมเรียงเคียงหมอนกับท่านแม่ทัพที่ฆ่าคนในสนามรบได้อย่างไร คิดว่าท่านคงจะเย็นชาเหมือนกับก้อนหินก้อนหนึ่ง แข็งเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง จึงมาถามข้าว่ากลัวหรือไม่?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของหลินเหราดุจดั่งเครื่องดนตรีอย่างดี จากนั้นก็เปล่งเสียงออกมาจากในลำคอเพื่อถามกลับ “หือ? แล้วเจ้าว่าอย่างไร?”
เหยาซูยิ้ม ความเปล่งประกายจากนัยน์ตาดุจลูกท้องคู่นั้น งดงามยิ่งกว่าโคมไฟเต็มเมืองที่หลินเหราพรรณนาออกมาเมื่อครู่
นางใช้เสียงเบากระซิบข้างหูของชายหนุ่ม “ข้าตอบว่าข้าไม่กลัว เพราะข้ารู้ว่าในใจของท่านอ่อนโยนยิ่ง อีกอย่างท่านเป็นของข้า ใช่หรือไม่?”
หลินเหราพยักหน้าอย่างไม่ลังเล มองดวงตาของนางแล้วกล่าวอย่างมั่นใจ “ใช่ ข้าเป็นของเจ้า”
เหยาซูยิ้ม แล้วกอดเขาอย่างพอใจ
ไม่ว่าในอนาคตจะต้องประสบกับความลำบากเพียงใด นางเชื่อว่าขอแค่พวกเขาสองคนยังยืนข้างกัน จะต้องแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้แน่
นางเอกนิยายที่มีบทสำคัญแล้วอย่างไร? จวนเจ้าอาลักษณ์มีอำนาจค้ำฟ้าแล้วอย่างไร? นางไม่เชื่อหรอกว่าตนจะรับมือกับตู้เหิงไม่ได้!
คิดได้เช่นนี้แล้ว นางควรสร้างกิจการของตัวเองโดยเร็วที่สุด…
………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สู้ ๆ ค่ะอาซู สร้างกิจการขยายให้ทั่วแคว้นต้าเยี่ยนไปเลย ต่อให้ยิ่งใหญ่อย่างนังตู้ก็จมโคลนได้เหมือนกัน
ไหหม่า(海馬)