ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 31 เด็กที่ไม่ได้รับการดูแลจากพ่อ
บทที่ 31 เด็กที่ไม่ได้รับการดูแลจากพ่อ
เหยาซูช่วยพี่สะใภ้ทั้งสองคนจัดอาหารบนโต๊ะ จากนั้นทั้งครอบครัวจึงเริ่มรับประทานอาหารกลางวันกันอย่างครึกครื้น
“อาซู ให้ซานเป่ามาอยู่ข้าง ๆ แม่มา”
แม่เฒ่าเหยาเห็นเหยาซูถือชามข้าวพลางมองไปที่ลูกชายก็รีบวางตะเกียบลง “เจ้าดูแลเขามาตั้งแต่เช้าแล้ว กินข้าวและพักผ่อนบ้างเถอะ”
เหยาซูยิ้มพลางตอบว่า “ท่านแม่ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ซานเป่ากำลังหลับอยู่”
พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองต่างดูแลลูกของตัวเอง เด็กทั้งสองคนมีนิสัยขี้เล่น ต้องให้ผู้ใหญ่จับนั่งบนเก้าอี้ก่อนจึงจะยอมกินข้าวดี ๆ…
พี่สะใภ้ทั้งสองมองเห็นอาจื้อและอาซือนั่งลงข้างผู้เป็นแม่ของพวกเขาอย่างเชื่อฟัง ในขณะที่อาจื้อช่วยเหลือน้องสาวของเขาโดยการตักกับข้าวให้เป็นระยะ พวกนางก็รู้สึกอิจฉามาก
พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวขึ้น “การมีน้องสาวทำให้เด็กผู้ชายดูแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ ดูอย่างเช่นต้าเป่าของพวกเราสิ เขาเปรียบเสมือนพี่ชายที่ดูแลน้องสาวได้เป็นอย่างดี”
เมื่อเหยาเฟิงได้ยินเขาก็จ้องไปที่ลูกชายของตนแล้วพูดว่า “ดูญาติผู้น้องของเจ้าสิ เขาดูแลน้องสาวของเขาเป็นอย่างดี เจ้าเองก็โตมากแล้วเหตุใดยังต้องให้มารดาคอยป้อนข้าว!”
ลูกชายของเหยาเฟิงไม่ได้กลัวบิดาของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับหัวเราะเบา ๆ และหันกลับมาคีบกะหล่ำปลีที่เขาไม่ชอบให้กับหลานชายคนรองของตระกูลเหยา “น้องชายเจ้ากินผักสิ!”
หลานชายคนรองของตระกูลเหยาพูดไม่ออก “เพราะเจ้าไม่กินถึงคีบมาให้ข้าต่างหาก!”
เด็กสองคนเริ่มก่อสงครามเล็ก ๆ ขึ้น จนมารดาทั้งสองที่ดูแลพวกเขานั้นรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า
พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวกับเหยาเฟิงอย่างปวดหัวว่า “ท่านอย่าพูดเลย! เดี๋ยวจะวุ่นวายมากกว่าเดิม!”
พี่สะใภ้รองเริ่มบ่นสั่งสอนลูกชาย “พี่ใหญ่คีบอาหารให้เจ้าด้วยความหวังดีไฉนเลยถึงนึกรังเกียจ หากโวยวายอีกจะจับแยกออกจากกัน ต่อไปห้ามกินข้าวและเล่นด้วยกันอีกเอาไหม!”
คราวนี้เด็กทั้งสองคนนั่งเงียบอย่างว่าง่าย มองหน้ากันแล้วตัดสินใจกินให้เสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที
พ่อเฒ่าเหยากับแม่เฒ่าเหยารู้สึกโล่งใจและอดหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าแปลก ๆ บนใบหน้าของหลานชาย
เหยาเฟิงเริ่มพูดอย่างมีความสุขบนโต๊ะอาหาร “ปีนี้อาซูกลับมาอยู่ที่บ้านของเรา ดังนั้นปีนี้จึงคึกคักแน่นอน พรุ่งนี้ไปเดินเล่นในเมืองด้วยกันแล้วซื้อของเตรียมงานวันปีใหม่กลับมาเถิด ใครจะไปบ้าง?”
ประโยคสุดท้ายพวกเขาหันไปพูดกับเด็ก ๆ
หลานชายคนโตของตระกูลเหยาและหลานชายคนรองเริ่มโวยวายว่าจะไป แม้กระทั่งอาจื้อและอาซือ ก็อยากไปเช่นกัน ทว่าพวกเขาไม่ได้ทะเลาะกัน กลับหันไปมองเหยาซูแทน
เมื่อพี่สะใภ้ทั้งสองเห็นว่าลูกชายทั้งสองของพวกนางเริ่มทะเลาะกัน เพราะพวกเขาถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของเหยาเฟิง พี่สะใภ้ทั้งสองก็เริ่มปวดหัวขึ้นอีกคราว พวกนางจึงพยักหน้าและตกลง “ให้พวกเจ้าไปก็ได้ แต่หยุดตะโกนได้แล้ว รีบกินข้าวเสีย!”
เด็กทั้งสองคนโห่ร้องด้วยความยินดีทันที
ตอนนี้ในความคิดของเหยาซูไม่ได้คิดเรื่องอื่น นับตั้งแต่ได้คุยกับอาจื้อ ในใจของนางก็คิดเสมอว่า ลูกของนางนั้นขาดการดูแลจากพ่อ
ตอนนี้เมื่อเห็นอาจื้อและอาซือรู้ความไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็อดที่จะแสบจมูกไม่ได้
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังรู้ตัวเองว่า ตัวเองนั้นแซ่หลินไม่ได้แซ่เหยา ถึงแม้จะอยู่ในบ้านตระกูลเหยาก็ตาม
ไม่รู้ว่าเหยาซูและลูกทั้งสองคนกำลังคิดอะไรหรือวางแผนอะไร พ่อเฒ่าเหยาจึงพูดขึ้นมาว่า “ให้เด็ก ๆ ไปกันหมดนั่นแหละ อาจื้อและอาซือก็ไปด้วยเช่นกัน พรุ่งนี้หากเกวียนนั่งไม่พอก็ให้ผู้ใหญ่สองคนอยู่บ้านแล้วค่อยรอคนอื่นกลับมา”
ทุกคนต่างพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารอย่างพอใจ
เกวียนเทียมวัวสามารถให้ผู้ใหญ่นั่งได้สองคนและเด็กสี่คนก็เต็มแล้ว พี่สะใภ้ทั้งสองจึงยอมอยู่ที่บ้าน การพาลูก ๆ ไปในเมืองก็เหมือนการเปลืองพลังชีวิตพวกนาง
เหยาซูชอบความครึกครื้นของเด็ก ๆ เหยาเฟิงไม่ยอมปล่อยให้น้องสาวดูแลเด็กทั้งสี่คนด้วยเพียงคนเดียวได้ ดังนั้นเขาจึงต้องตามไปด้วยอย่างแน่นอน
หลังจากรับประทานอาหารมื้อนี้เสร็จ เด็ก ๆ ก็เกิดความโกลาหลตื่นเต้นอีกครั้งและพูดพล่ามไม่หยุดว่าพรุ่งนี้จะไปซื้ออะไรในเมืองดี
เหยาซูช่วยพี่สะใภ้ทั้งสองเก็บจานและตะเกียบ พลันได้ยินแม่เฒ่าเหยากล่าวว่า “อาจวน อาเว่ย แล้วก็อาซูมานี่ ปล่อยให้อาเฟิงไปทำแทน”
ครอบครัวชาวบ้านไม่เคยมีผู้ชายทำงานบ้านมาก่อน แต่ตระกูลเหยานั้นแตกต่างออกไป บางครั้งเหยาเฟิงและเหยาเฉาต้องไปล้างจานและตะเกียบเพื่อให้ผู้หญิงได้นั่งพักผ่อนและดื่มชา
เมื่อเหยาเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เก็บชามเก็บตะเกียบอย่างสบาย ๆ พี่สะใภ้ทั้งสองรีบเช็ดโต๊ะให้สะอาด จากนั้นลงไปนั่งข้าง ๆ พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาพร้อมกับเหยาซู
……………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
น้อง ๆ ทั้งสองไม่น้อยใจนะคะ ถึงพ่อพวกหนูจะไม่อยู่ แต่ก็ยังมีแม่ที่ทำหน้าที่ทั้งพ่อทั้งแม่อยู่นะคะ
ไหหม่า(海馬)