ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 311 ตู้เหิงได้สัมผัสขีดสุดของหลินเหรา
บทที่ 311 ตู้เหิงได้สัมผัสขีดสุดของหลินเหรา
บทที่ 311 ตู้เหิงได้สัมผัสขีดสุดของหลินเหรา
ฮูหยินใหญ่ตู้ส่ายหัว “ในฐานะของคนเป็นบิดา นี่จะไม่ใจจืดใจดำไปเกินไปหน่อยหรือ”
ตู้จงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง “เซี่ยเซียนกำลังจ้องมองอยู่ มากไปกว่านั้นมีอีกหลายคนวางแผนจะยึดตำแหน่งขุนนางของข้า หากมีแผนการดี ๆ ข้าคงไม่มาใช้แผนการโง่ ๆ เช่นนี้หรอก”
เมื่อเห็นว่าตู้เหิงกำลังตกตะลึง และไม่อาจคาดเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ฮูหยินใหญ่ตู้ก็ไม่ได้สนใจนางและกล่าวออกมาว่า “ข้าจะเข้าวังเพื่อหารือเรื่องนี้กับพระสนมกุ้ยเฟยเสียก่อน แล้วค่อยคิดวางแผน”
แม้นางจะกล่าวว่าไม่มีวิธีใดที่จะช่วยตู้เหิงได้ แต่ก็ยังคงหาหนทางเพื่อที่จะจัดการเรื่องนี้อยู่
ตู้เหิงสะอื้นไห้อยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่ฮูหยินใหญ่ตู้ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านย่า…เหิงเอ๋อร์ ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ตู้มองหลานคนนี้ด้วยสายตาเย็นชา ท้ายที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น “เจ้าไม่สามารถอยู่เฉย ๆ เพื่อรอความตายมาหาตัวได้ การคบหากับนายน้อยของตระกูลลู่มันไม่ดีตรงไหนหรือ? วิธีไหนที่พอจะสามารถคิดและทำเองได้ก็ต้องทำ จะพึ่งพาคนอื่นทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเจ้า จะเป็นได้อย่างไร”
ตู้เหิงเช็ดคราบน้ำตาของตนเอง ย้อนนึกถึงคำพูดของฮูหยินใหญ่ตู้ในใจอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไร
ฮูหยินใหญ่ตู้ตัดสินใจพาร่างกายที่เจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ส่งตราประทับเข้าวัง อีกทั้งยังกล่าวกับตู้จงว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเจ้าคือคนของราชสำนัก เมื่อพบเจอเรื่องราวเช่นนี้ ไม่ควรตื่นตระหนก อีกทั้งต้องคิดให้รอบคอบว่าจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร! ไม่ใช่จะมาละทิ้งลูกแล้วคิดว่าจะเกิดผลดีกว่าเดิม”
ตู้จงส่งแม่ของเขากลับไปด้วยความเคารพ ก่อนจะกลับไปที่ห้องหนังสือ
ภายในห้องหนังสือ ตู้เหิงเช็ดน้ำตาของตนเองแล้วทำใจให้สงบลง
ตู้จงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ายังจะมานั่งทำอะไรตรงนี้ อย่ามาขวางหูขวางตาข้า”
ตู้เหิงลุกยืนขึ้น ใบหน้าซีดขาวปรากฏรอยฝ่ามือสีแดงประทับอยู่ ความอ่อนแอบนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไป นำมาซึ่งความเย็นชาบางอย่างที่ถูกเผยให้เห็น
“หากท่านพ่อไม่ได้คิดที่จะยอมรับบุตรสาวของตนเอง ท่านก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อข้าเช่นนี้ มันคงเป็นการดีที่จะรักษาตำแหน่งทางการของท่านเอาไว้ ท่านย่าเข้าวังไปคราวนี้ก็เพราะชื่อเสียงของบุตรีจวนตู้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ตู้จงกระตุกยิ้มเย้ยหยันอย่างเย็นชา “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ที่จวนตู้ได้กินดีอยู่ดีเลี้ยงดูเจ้า ทำให้เจ้ามีฐานะสูงศักดิ์ ก็นับได้ว่าทำดีที่สุดแล้ว และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำลายชื่อเสียงของตระกูลเพราะลูกไม่รักดีอย่างเจ้า”
ตู้เหิงเงยหน้าขึ้นจ้องมองตู้จง พร้อมกับส่ายศีรษะ “ในสายตาของท่านพ่อ ข้าคนนี้คงหมดความสำคัญแล้ว ถึงอย่างไรก็เลี้ยงลูกสาวไว้เพื่อการแต่งงานอยู่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
ตู้จงได้ยินคำพูดของนาง ความรู้สึกอับอายก็ผุดขึ้นในใจทันใด เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วกล่าวว่า “อกตัญญู ใจดำอำมหิต! เจ้าควรจะออกจากตระกูลเราไปนานแล้ว วัน ๆ สร้างแต่ปัญหาไม่จบไม่สิ้น!”
เมื่อตู้เหิงได้ยินคำพูดของบิดาผู้ให้กำเนิด ในใจก็มีเพียงแต่ความเงียบงัน จิตใจเจ็บช้ำกว่าครั้งก่อนที่ถูกลู่หัวทรยศเสียอีก
นางโค้งคำนับและกล่าวอย่างไร้ความรู้สึกว่า “ในเมื่อในใจของท่านพ่อคิดเยี่ยงนี้ เช่นนั้นแล้วเหิงเอ๋อร์ก็ขอตัว”
ตู้เหิงหมุนกายเดินออกไป ร่างที่ดูอ่อนแอหากแต่แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ค่อย ๆ หายไปลับไปจากสายตาของตู้จง
คิ้วของตู้จงขมวดเข้าหากัน เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งที่ตู้เหิงยังเป็นเด็กนั้นนางน่ารักและบริสุทธิ์เพียงใดยามเอ่ยเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ อย่างเชื่อฟัง
รอบตัวเขาใช่ว่าจะไม่มีบุตรสาว แต่ไฉนบุตรสาวคนนี้ถึงได้หัวแข็ง ดื้อรั้น และไม่เชื่อฟังเช่นนี้ได้!
ตู้เหิงกลับไปที่เรือนเล็ก ๆ ของนางด้วยใบหน้าซีดเซียว
คนรับใช้ในจวนทุกคนต่างตื่นตระหนก ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น เพียงแต่ได้ยินเรื่องที่นายท่านโกรธเคือง เรียกหาคนรับใช้เข้าไปยังห้องหนังสือ และยังทำให้ฮูหยินใหญ่ตู้ตกใจเป็นอย่างมาก
เมื่อคนรับใช้ในเรือนของตู้เหิงเห็นนางกลับมา อีกทั้งบนใบหน้านั้นแฝงไปด้วยความทุกข์ใจ จึงตะโกนออกมาว่า “คุณหนู เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ ได้ยินมาว่าฮูหยินใหญ่ตู้ออกจวนไปแล้วหรือ”
สายตาของตู้เหิงเต็มไปด้วยความเย็นชา แผ่นหลังที่ตั้งตรงทำให้ผู้คนรอบข้างต้องกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ในเวลาเดียวกันเสียงดังโวยวายในเรือนเล็ก ๆ ก็ได้เงียบลง
ครั้นแม่นมเดินออกจากมาจากในห้องเห็นตู้เหิงมีท่าทางไม่สบอารมณ์ จึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวกับคนรับใช้ทั้งหลาย “แยกย้าย แยกย้ายกันไปได้แล้ว ไม่มีอะไรให้ทำแล้วหรืออย่างไร มัวแต่มายืนทำสิ่งใดกันอยู่”
แม่นมเป็นหญิงชราที่มีลักษณะน่าเกรงขามมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพียงแค่นางเอ่ยปาก สาวใช้ทั้งหมดก็แทบจะแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทางราวกับผึ้งแตกรัง
ในเรือนนี้จึงเหลือเพียงแค่แม่นมและอาซู่ที่นิ่งงัน ไม่ได้พูดอะไรออกมา คอยอยู่ข้างตู้เหิงเท่านั้น
ตู้เหิงมองหญิงต่างวัยที่เหลืออยู่ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความกลัดกลุ้มใจที่ไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้ ไม่ว่าชาติก่อน หรือชาตินี้ พวกเขาเป็นคนที่จะไม่ทอดทิ้งและคอยอยู่เคียงข้างนางเสมอ
“แม่นม อาซู่ พวกเจ้าตามข้ามา”
ทั้งสองคนขานรับและตามตู้เหิงเข้าไปในห้องนอน ประตูก็ได้ปิดลง
แม่นมเริ่มเอ่ยขึ้นความเป็นกังวลใจ “คุณหนูเจ้าคะ วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น หลายวันมานี้ท่าทางคุณหนูดูไม่ค่อยสบายใจเลย ข้าน้อยคิดว่า…”
ตู้เหิงพยักหน้าและยื่นมือที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรังออกมา
แม่นมมองเห็นเล็บมือที่ฉีกขาดก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ “คุณหนู! มือของท่าน…ทำไมเล็บมือทั้งหมดถึงได้ฉีกขาดเช่นนี้ เจ็บหรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วอาซู่ก็ได้กุลีกุจอวิ่งไปเอายามาทาให้ตู้เหิง
ภายในใจของตู้เหิงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่สุดแสนจะทรมาน จนกระทั่งกลับเข้ามาในห้องนอน ถึงสัมผัสความเจ็บปวดจากนิ้วทั้งสิบที่ไม่ต่างกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจ
นางพูดกับทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “แม่นม อาซู่ มีเพียงแค่เจ้าสองคนที่คอยอยู่เคียงข้างข้า”
อาซู่หยิบยาขึ้นมา แม่นมได้ใช้ยาทาแผลให้ตู้เหิงอย่างสม่ำเสมอด้วยความระมัดระวัง นางก็ได้พูดขึ้นว่า “ข้าน้อยอยู่ดูแลคุณหนูมาตั้งเเต่คุณหนูเกิด และหลังจากนี้ก็จะอยู่ดูแลคุณหนูต่อไปจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของข้าน้อยจะหมดลง อาซู่ก็จะคอยอยู่ดูเเลท่านเช่นเดียวกัน”
ตู้เหิงตอบรับด้วยเสียงเบา ๆ
อาซู่มองดูสีหน้าที่ดูดีขึ้นกว่าสองสามวันที่ผ่านมาของตู้เหิง แล้วถามขึ้นว่า “คุณหนู มันเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
อาซู่เงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ครั้งหนึ่งข้าเคยจ้างวานคนให้ไปตามรังควานเหยาซู แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีบางอย่างผิดพลาด เจ้าสองคนนั้นลักพาตัวลูกของนางไป เรื่องราวจึงบานปลายและร้ายแรงมากกว่าเดิม ข้าได้ส่งโจวหลายไปจัดการเรื่องนี้…จนกระทั่งตอนนี้ โจวหลายมาสารภาพกับข้าว่าหลักฐานคำให้การทั้งหมดตอนนี้ได้ส่งถึงพระราชสำนักแล้ว”
หลังจากที่แม่นมและอาซู่ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก ถ้าเรื่องนี้ถูกคนภายนอกรับรู้เข้า คงทำให้ชื่อเสียงของตู้เหิงเสื่อมเสีย
ตอนนี้จักรพรรดิก็ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว คุณหนูของนางจะยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่?!
แม่นมเกิดความกระวนกระวายขึ้นในใจ นางพยายามสุดความสามารถที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเอง เพื่อที่จะไม่ทำให้ตู้เหิงเป็นกังวลไปมากกว่าเดิม
ตรงกันข้ามกับอาซู่ที่มีอาการตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัด และพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “แล้วคุณหนู…คุณหนูจะทำเยี่ยงไรเจ้าคะ ที่นายท่านเรียกคุณหนูเข้าไปคุยวันนี้ก็เพื่อจะหารือว่าจะทำอย่างไรต่อในวันข้างหน้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ตู้เหิงแสยะยิ้มจนเผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชา พร้อมกับส่ายหน้า “ท่านพ่อน่ะหรือ เขาทอดทิ้งข้าตั้งนานแล้ว คงเกลียดข้าจนอยากจะตัดความสัมพันธ์พ่อลูกไปเสียให้สิ้น”
แม่นมและอาซู่มองตากัน ทั้งสองเห็นความสับสนและลุกลี้ลุกลนในดวงตาของกันและกัน
อาซู่ลุกลี้ลุกลน นางคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วจริง ๆ ได้เพียงแต่พูดว่า “คุณหนูได้ล่วงเกินคุณชายหลินและแม่นางเหยา….ทั้งสองเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา ถ้าคุณหนูไปร้องขอคุณชายหลินกับแม่นางเหยาให้ทั้งสองท่านไม่ต้องสอบสวนคุณหนูแล้วจะได้หรือไม่เจ้าคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของตู้เหิงเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า นางหันไปหาอาซู่และกล่าวว่า “ต่อให้เขามีจิตใจดีมีเมตตา อย่างไรก็ต้องสอบสวนข้าอยู่ดี”
นางทั้งตีลูกของเขา อีกทั้งเกือบจะทำร้ายภรรยาของเขา ทำร้ายหลินเหราถึงขีดสุด เขาจะให้อภัยได้อย่างไร
ชาตินี้ชะตาคงลิขิตให้นางไม่ได้ครองคู่กับเขาอีกแล้ว…
………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ไม่ต้องโทษชะตาฟ้าลิขิตหรอก โทษตัวเองเลยนังตู้ที่กระเหี้ยนกระหือรือจะพรากสามีจากภรรยาเขา แล้วก็อวดเก่งคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์แล้วจะทำอะไรกับเขาก็ได้
ไหหม่า(海馬)