ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 316 แผนการของจักรพรรดิ
บทที่ 316 แผนการของจักรพรรดิ
บทที่ 316 แผนการของจักรพรรดิ
เรื่องคดีของตู้เหิง เหมิงฉิงจะช่วยให้นางพ้นโทษ เเต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างเปิดเผย
ถึงแม้ว่าคดีนี้จักรพรรดิจะมีรับสั่งให้เขาเป็นคนจัดการ แต่ตัวเหมิงฉิงก็รู้ดีว่าจักรพรรดิยังคงไว้ใจเซี่ยเชียนมากกว่า
ถ้าหากเขากล้าออกหน้าช่วยตู้เหิงอย่างโจ่งแจ้ง เช่นนั้นก็คงจะทำให้จักรพรรดิขุ่นเคืองพระทัยไม่ใช่น้อย
เขาคิดว่าการกระทำทั้งหมดจำเป็นต้องทำอย่างลับ ๆ ภายใต้เงาอันดำมืด
เช้าตรู่ของวันนี้ จักรพรรดิราวกับจะนึกขึ้นได้และกล่าวถามว่า “เหมิงฉิง ไม่กี่วันก่อนข้าไม่ได้ให้เจ้าพิจารณาคดีหรือ เหตุใดถึงยืดเยื้อมาจนวันนี้”
ไม่กี่วันมานี้ขุนนางตู้เกิดป่วยขึ้นมากะทันหัน จึงต้องพักรักษาตัวอยู่ที่จวน แต่ก็ไม่เห็นขุนนางคนใดเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย หากจักรพรรดิไม่ได้พบหลินเหราในตอนเช้า พระองค์ก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
เหมิงฉิงรุดขึ้นหน้า และทูลกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท คดีนี้ยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่ ตอนนี้กระหม่อมกำลังตรวจสอบอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เด็กหนุ่มมีอายุยังไม่มาก ชุดขุนนางที่เขาสวมใส่ทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วน แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะปิดบังความอ่อนเยาว์ของเขาไว้ได้
เพียงแต่ว่าใบหน้านั้น ยังไม่ได้ปรากฏสีหน้าที่หนักแน่นและมั่นคง คงต้องรอให้โตมากกว่านี้
จักรพรรดิทอดพระเนตรเหมิงฉิงที่มีความคล้ายคลึงกับองค์รัชทายาทองค์ก่อนถึงเจ็ดส่วน ทำให้ตัวเขาเองค่อนข้างจะเอ็นดูเด็กคนนี้อยู่ไม่น้อย จึงตรัสด้วยรอยยิ้ม “คดีง่าย ๆ แบบนี้เหตุใดจึงยังไม่สรุปผลอีก เมื่อเทียบกับพ่อของเจ้าแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันนัก”
ในท้องพระโรง เห็นทีจะมีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่กล้าพูดถึงรัชทายาทองค์ก่อนเช่นนี้
เหมิงฉิงเห็นจักรพรรดิกล่าวถึงพ่อของตนเอง สีหน้าจริงจังบนใบหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาส่ายศีรษะและเอ่ยว่า “เหมิงฉิงไร้ความสามารถ ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง”
จักรพรรดิหัวเราะออกมา “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีตรงไหนที่ยังไม่เข้าใจก็ค่อย ๆ เรียนรู้ นี่เป็นเวลาสำหรับพิจารณาคดียามเช้าพอดี เหล่าขุนนางแม่ทัพก็ต่างอยู่ที่นั่น ดังนั้นเจ้าสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และขอคำแนะนำจากพวกเขาได้”
เหมิงฉิงขานรับ
เขามองไปยังขุนนาง คิ้วค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน “ถึงแม้ว่าคดีนี้จะไม่ซับซ้อน ทั้งยังมีคำสารภาพจากผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ยังมีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง”
ทั้งหมดล้วนตั้งใจฟังด้วยลมหายใจแผ่วเบา เซี่ยเซียนเองที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ไม่มีข้อยกเว้น
เหมิงฉิงเอ่ยเสียงดัง “คนที่ชี้ตัวแม่นางตู้คือคนใช้จากบ้านของมารดานาง มีนามว่าโจวหลาย เดิมทีคำให้การของเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ข้าได้ถามคนในจวนทั้งหมดแล้ว โจวหลายไม่เคยไปมาหาสู่กับคุณหนูตระกูลตู้มาก่อน และแม่นางตู้เองก็บอกกับข้าเป็นครั้งที่สามแล้วว่านางไม่รู้จักโจวหลาย”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทุกคนในห้องโถงก็เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าอ๋องน้อยคนนี้จะสร้างปัญหาให้กับเซี่ยเชียนเสียแล้ว
เมื่อเห็นเหมิงฉิงจ้องมองเซี่ยเชียน เขาจึงถามขึ้นว่าว่า “ใต้เท้าเซี่ย ท่านจับคนใช้ของตระกูลโจวได้จากที่ใด และท่านใช้วิธีไหนจึงทำให้เขาสารภาพออกมา คนใช้ที่ไม่รู้ตัวอักษรหนึ่งคนสามารถลงนามบนคำให้การของตัวเองได้ด้วยหรือ”
ถึงเเม้เซี่ยเชียนจะถูกถามเช่นนี้ เเต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้เเสดงถึงความตื่นตระหนกแต่อย่างใด กลับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “โจวหลายลงมือฆ่าคน อีกทั้งยังมีพยานบุคคล มากไปกว่านั้นเขายังยอมรับว่าเป็นคำสั่งของเเม่นางตู้ จะไม่ใช่เรื่องจริงได้อย่างไร”
เหมิงฉิงหัวเราะและส่ายศีรษะ “ไม่ ไม่ ไม่ เท่าที่ข้าได้รู้มา แม่นางตู้ผู้นี้ไม่เคยติดต่อกับหยางซินซึ่งเป็นผู้ตายมาก่อน แค่ถามนางว่าเหตุใดนางถึงส่งคนใช้ของตระกูลโจวไปฆ่าคนที่เเม้เเต่นางเองก็ไม่เคยพบเห็น”
เซี่ยเชียนกวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ท่านอ๋องน้อยทราบจากที่ใดมาว่าแม่นางตู้กับหยางซินไม่เคยรู้จักกัน”
เหมิงฉิงตอบ “ได้มาจากการสอบสวน”
เซี่ยเชียนส่ายหน้า หากแต่น้ำเสียงยังคงไม่แปรเปลี่ยน “คำให้การที่มีอยู่ในมือของท่านอ๋องนั้นไม่น่าเชื่อถือ เหตุใดถึงจงใจตรวจสอบความสัมพันธ์ของแม่นางตู้กับหยางซิน ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะปกติเท่าไรนัก”
เซี่ยเชียนเคยเป็นสหายของอดีตองค์รัชทายาท และเขาก็ยังเฝ้ามองเหมิงฉิงเติบโตขึ้นมา เซี่ยเชียนเองก็รักและเอ็นดูเหมิงฉิงมาก ท่านอ๋องน้อยเองก็เคารพเซี่ยเชียนเป็นอย่างมากเช่นกัน
กระทั่งวันเวลาผ่านไป ใครจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าทั้งสองคนจะมีช่วงเวลาขัดแย้งกันในท้องพระโรงเช่นนี้
เหมิงฉิงยอมถอยหลังหนึ่งก้าว “ใต้ท้าวเซี่ยพิจารณาถูกแล้ว เหมิงฉิงพิจารณาไม่รอบคอบเอง”
จักรพรรดิก็ทรงทราบดีว่าความสัมพันธ์เมื่อก่อนของทั้งสองคนนั้นไม่ได้แย่อะไร แต่มาในวันนี้กลับค่อย ๆ ย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
ภายในพระทัยของจักรพรรดิไม่ต้องการให้หลานชายและขุนนางที่ไว้วางใจมากที่สุดเหินห่างและหวาดระแวงกัน ดังนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนบรรยากาศในท้องพระโรง “ถ้าเจ้ารู้ว่ายังมีจุดไหนที่ยังทำได้ไม่ดี ก็ต้องเรียนรู้จากผู้อื่น ครั้นเจ้ายังเด็ก เจ้าเองก็เรียกใต้เท้าเซี่ยว่าอาจารย์เซี่ย แต่ตอนนี้เจ้าเติบโตขึ้นมากแล้ว ไม่เรียกเขาเช่นนั้นแล้วหรือ รีบจัดการคดีให้เสร็จเสีย อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อเช่นนี้”
เหมิงฉิงขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศในท้องพระโรงสงบลง แต่ทว่าภายใต้เงามืดที่มองไม่เห็น กระเเสน้ำก็เริ่มไหลเชี่ยว
วันรุ่งขึ้น สาส์นบังคมทูลของเหมิงฉิง ถูกส่งไปที่โต๊ะขององค์จักรพรรดิ
พระองค์เปิดสาส์นขึ้นมาอ่าน แล้วกล่าวกับกงกงว่า ตัวอักษรของเหมิงฉิงคล้ายกับองค์รัชทายาทองค์ก่อน หลังจากที่อ่านเนื้อหาในสาส์นจบ ก็ได้เเต่ขมวดคิ้วและนิ่งไปครู่หนึ่ง
ต๋ากงกงสังเกตว่าพระพักตร์ของจักรพรรดิดูไร้ซึ่งโทสะ จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิวางสาส์นไว้บนโต๊ะ ขมวดพระขนงและตรัสว่า “ตัวอักษรของเหมิงฉิงก็ได้รับการสอนโดยเซี่ยเชียน แต่หลายปีผ่านไป…”
ต๋ากงกงรินชาเก๊กฮวยหนึ่งถ้วยให้กับจักรพรรดิ แล้วยิ้มอย่างปลอบโยน “ฝ่าบาทอย่าพูดถึงงานอันยุ่งเหยิง อย่างน้อยงานพิจารณาคดีก็ยังมีอีกมากมาย ถ้าหากว่าทรงกลุ้มใจในทุก ๆ เรื่อง เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทแก่ลงไวขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิทรงพระสรวลลั่น “กงกง ข้ายังอายุยังน้อยอยู่เลย จะแก่ได้อย่างไร”
ต๋ากงกงหัวเราะออกมาเบา ๆ “ความสัมพันธ์ของท่านอ๋องน้อยกับใต้เท้าเซี่ยไม่ค่อยดีนัก ฝ่าบาทจึงเป็นกังวล ทว่าหากวันหนึ่งทั้งสองคนกลับมาปรองดองกัน พระองค์ก็ยังกลุ้มใจอยู่ดี เรื่องกลุ้มใจบนโลกนี้ไม่มีวันสิ้นสุดหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ พระองค์ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปทอดพระเนตรยังกงกง และกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านที่ปกติไม่ค่อยจะเปล่งเสียงพูด กลับมีความคิดเช่นนี้ ทำให้ข้าประหลาดใจเสียจนต้องหันไปมองทีเดียว”
ต๋ากงกงยิ้มและกล่าวว่า “การอยู่เคียงข้างฝ่าบาท ข้าก็เปรียบเหมือนสุนัขที่โง่เขลาตัวหนึ่งที่ได้เรียนรู้เเละได้รับปัญญาจากพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่ได้ยินกงกงกล่าวเช่นนั้น จักรพรรดิก็อดที่จะสรวลลั่นไม่ได้
หลังจากที่หัวเราะเสร็จ ก็หยิบสาส์นของเหมิงฉิงขึ้นมาอ่านอีกครั้ง ถอนหายใจและกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูดไม่ผิดเลย ข้าไม่เห็นว่าทั้งสองคนนั้นกำลังแข็งข้อต่อกันอยู่ แต่พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ร้อนหรือเย็น เช่นนี้แหละดีที่สุดแล้ว”
ภายในใจขันทีรู้ว่าสิ่งที่ตนได้กล่าวไปนั้นดีแล้ว ถ้าเกิดยังต่อบทสนทนาต่อไปอาจจะทำให้ย่ำเเย่กว่าเดิม
เขาจึงหยุดพูด และฟังจักรพรรดิตรัสอย่างสบายใจ “เจ้าดูเจ้าเด็กเหมิงฉิงนี่เสีย ปากก็บอกว่าเคารพใต้เท้าเซี่ย เชื่อฟังข้า พอลับหลังไปก็ให้หญิงสาวจากตระกูลตู้เป็นแพะรับบาป ไม่รู้ว่าจริง ๆ เเล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่”
เมื่อได้ยินที่จักรพรรดิตรัสเช่นนั้น ขันที่ก็ถามกลับด้วยความสงสัย “คดีของท่านอ๋องจบแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เขาถอนหายใจ “ยังไม่เสร็จหรอก เจ้าเด็กคนนี้พยายามปัดเรื่องไปให้คนของตระกูลตู้ นางมีนามว่าตู้หวู่ กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องน้องสาวเกลียดพี่สาว ใช้เงินเป็นจำนวนมาก และเรียกคนใช้ของตระกูลโจวมาใส่ร้าย…”
กงกงหัวเราะ “ฝ่าบาท บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ยากที่จะคาดเดาว่าสตรีในจวนหลังนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่”
ฝ่าบาทชำเลืองมองต๋ากงกง ส่ายหัวแล้วพูดว่า “จริงหรือไม่จริงข้าก็ไม่อาจรู้ ตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กเหมิงฉิงกำลังคิดจะทำอะไร”
กล่าวเสร็จ เขาทำเครื่องหมายคำสองคำบนสาส์น และโยนลงบนกองเอกสารที่ได้รับการพิจารณาแล้ว
ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างทำได้เพียงถอนหายใจในใจโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะนี่หมายความว่าฝ่าบาทจะปล่อยแม่นางตู้เหิงไป แต่ฝั่งของใต้เท้าเซี่ยยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป
การเป็นจักรพรรดิไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ในหลาย ๆ ด้านให้สมดุล และต้องหาวิธีเอาใจขุนนาง…
………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
นังตู้หลุดคดีแล้วสินะ แต่อย่าได้ใจไป ครั้งต่อไปคงไม่หลุดง่ายขนาดนี้หรอก
ไหหม่า(海馬)