ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 326 การสนทนายามค่ำคืนของสองสามีภรรยา
บทที่ 326 การสนทนายามค่ำคืนของสองสามีภรรยา
บทที่ 326 การสนทนายามค่ำคืนของสองสามีภรรยา
ในคืนที่ฝนตกกระหน่ำ
เซี่ยเชียนกลับมาถึงจวนก่อนเวลาอาหารค่ำ สมาชิกทุกคนจึงได้รับประทานอาหารร่วมกันที่ห้องโถง เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงฤดูร้อนจึงมีพายุฝนฟ้าคะนองเป็นช่วง ๆ ระหว่างพวกเขาไม่ได้มีบทสนทนามากนัก หลังรับประทานมื้อค่ำเสร็จสิ้นต่างก็แยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง
หลินเหราและเหยาซูพาลูก ๆ ทั้งสามคนอาบน้ำ แปรงฟัน เตรียมตัวจะเข้านอน
ซานเป่านับวันดูเหมือนจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ถึงแม้ว่าเด็กน้อยจะยังไม่สามารถพูดได้ ทว่าเขาสามารถฟังการสนทนาของผู้ใหญ่รู้เรื่อง ปากก็พยายามจะแสดงความต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็พูดได้แค่พยางค์เดียว ทำให้เป็นที่ขบขันของผู้ที่ได้พบเห็น
อาซือสวมชุดจงอีที่ดูสะอาดและอ่อนนุ่ม กำลังหยอกล้อกับน้องชายอยู่บนเตียง “ซานเป่า เรียกพี่สาวสิ”
ดวงตากลมโตของทารกน้อยจ้องมองอาซืออย่างไม่กระพริบตา นัยน์ตาดำทั้งสองข้างกลมงามราวกับไข่มุก สะท้อนแสงสวยงามภายใต้โคมไฟ “แอะ แอะ”
อาซือที่พยายามแก้ไขอย่างอดทน “ไม่ใช่แอะ พี่สาว เจ้าพูดตามข้า พี่สาว”
บางทีซานเป่าอาจจะรู้ว่าอาซือกำลังสอนตนอยู่ เด็กน้อยพยายามพูดซ้ำอยู่หลายรอบ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
เด็กตัวโตและตัวเล็กนั่งอยู่บนขอบเตียง บางครั้งอาซือก็เช็ดน้ำลายให้น้องชาย และพยายามที่จะแก้ไขพยางค์ที่น้องออกเสียงไม่ได้
หลังจากอาจื้อเก็บกวาดเสร็จก็เข้าห้องมา เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวน้องชายก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ “ซานเป่า พูดผิดแล้วนะ เจ้าพูดไม่เหมือนกับพี่สาวเลย ทำไมเจ้าถึงยังจะพูดตามอยู่”
เด็กทารกทำไขสือและจดจ่ออยู่กับอาซือที่เล่นกับตน
อาจื้อจ้องมองน้อง ๆ ที่เล่นกันอย่างสนุกสนาน จากนั้นเด็กชายลงไปนั่งข้าง ๆ น้อง ๆ ของเขาแล้วอุ้มซานเป่าเอาไว้ในอ้อมแขน
เหยาซูเก็บเสื้อผ้าที่เด็ก ๆ ใส่ไปในวันนี้ แล้วก็ไปจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับวันพรุ่งนี้ของเด็ก ๆ บริเวณตู้เสื้อผ้า โดยที่ไม่ลืมถามความคิดเห็นของอาซือ “เอ้อเป่า พรุ่งเจ้าอยากใส่อะไร”
อาซือที่กำลังง่วนอยู่กับการพูดคุยกับน้องชาย จึงตอบออกมาทันทีโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดใด ๆ
หลินเหราที่เดินเข้ามาหาภรรยาของเขากล่าวด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เจ้าถามนางเช่นนี้ ไยเจ้าถึงไม่ถามข้าบ้างว่าพรุ่งนี้ข้าอยากใส่อะไร”
เหยาซูหันหน้ากลับมา ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปยังชายหนุ่ม “แน่นอนว่าข้าหยิบอะไรได้ ท่านก็ต้องใส่สิ่งนั้น เอ้อเป่าเป็นเด็กช่างเลือก หากไม่ให้นางเลือกตัวที่นางชอบ เช้าวันพรุ่งคงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสียเวลาไปครึ่งค่อนวัน”
หลินเหราขยับเข้าไปใกล้ภรรยาของเขา ภายใต้แสงเทียนที่มืดสลัวกลับเผยให้เห็นถึงใบหน้างดงาม ซึ่งแตกต่างจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง
ชายหนุ่มกล่าวกับเหยาซูเบา ๆ “ข้าก็ช่างเลือกนะ เหตุใดเจ้าไม่สนใจกันบ้าง”
เหยาซูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หญิงสาวขมวดคิ้ว แล้วไปหยิบเสื้อสีเข้มให้หลินเหรา “เสื้อผ้าของท่านก็เหมือนกันแทบทุกตัว เช่นนั้นพรุ่งนี้ใส่ตัวนี้ดีไหม”
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบเสื้อที่ภรรยาส่งให้ แรงมือกดลงบนผ้านุ่ม ๆ ทำให้นิ้วมือขาวที่เรียวยาวดูมีพลังมากขึ้น
เหยาซูที่สังเกตเห็นความแตกต่างของสีผิว พลันพิจารณาสามีอย่างถี่ถ้วนและกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่านขาวขึ้นมาก”
หลินเหราชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาบอกนั้นหมายถึงสีผิวของตน “อะไรนะ”
เหยาซูจับมืออีกข้างของหลินเหรามาเปรียบเทียบกับมือของตัวเอง นางหัวเราะและกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่ท่านกลับมาถึงใหม่ ๆ สีผิวของท่านดูเหมือนจะเข้มกว่านี้ ทำไมผ่านมาเพียงแค่ไม่กี่เดือนก็มองไม่ออกแล้ว”
หลินเหรามองท่าทางของเหยาซูที่กำลังเปรียบเทียบสีผิวของเขากับของตัวเองอย่างจริงจัง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
นี่มันมีอะไรให้น่าเปรียบเทียบกัน
ทว่าตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเหยาซูมาเป็นเวลาหนึ่ง เขาเองก็รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ทำลายความสุขของผู้อื่น จึงตอบว่า “ตอนที่ข้าอยู่ซีเป่ยข้าฝึกฝนทุกวัน ส่วนใหญ่แดดจัดยิ่งนัก เป็นธรรมดาหากจะโดนแดดเผา แสงแดดเมืองหลวงไม่แรงมากนักก็คงจะทำให้ขาวขึ้นมาบ้าง”
หญิงสาวไม่พอใจกับการเปรียบเทียบสีผิวของตนกับสามี เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ ไม่ได้สนใจทางด้านนี้ หญิงสาวจึงพับแขนเสื้อขึ้นประสานแขนทั้งสองข้างเข้าด้วยกันพลางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อย่างไรข้าก็ขาวกว่า”
หลินเหรายิ้มออกมา และจับแขนเรียวของภรรยาไว้
ดวงตาที่ลึกซึ้งของชายหนุ่มมองดูดวงตาของเหยาซูอย่างใจจดใจจ่อ ราวกับว่าเขาสามารถสัมผัสถึงความสุขและอารมณ์ที่ผ่อนคลายของนางได้อย่างง่ายดาย
น้ำเสียงที่แหบเล็กน้อยเอ่ยตอบข้างหูของนาง “อื้ม เจ้าขาวที่สุด วันนี้ข้าสอนอาซืออ่านกวี วันหลังข้าจะสอนนางว่า ‘เมฆาหอมหวล จันทร์กระจ่างนวล เย็นเยือกจับใจ’[1]”
ใบหน้าของเหยาซูขึ้นสีแดงระเรื่อ
นี่คือหนึ่งบทกวีความรักระหว่างคนสองคนที่มีให้กัน ในคืนฝนตกเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองยืนอยู่ใกล้ ๆ กับมุมมืดของตู้เสื้อผ้าไม้ เมื่อชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วเบา พลันเต็มไปด้วยเสน่ห์ และอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เหยาชูดึงแขนของเขากลับมาและพูดอย่างโกรธเคือง “ข้าบอกให้ท่านสอนคัมภีร์คุณธรรม แล้วทำไมท่านไม่สอน”
ไม่รู้ว่าเรียนรู้มาจากเหยาเฉาหรือไม่ หลินเหราจึงได้มีสีหน้าแววตาหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้ ชายหนุ่มยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าก็สอนคำภีร์คุณธรรมกับนาง สอนให้ลูกสาวอ่านบทกวี ข้าไม่มีคุณธรรมเยี่ยงใดเล่า”
เหยาซูที่โดนสามีตอกหน้าเช่นนี้ สีแดงบนใบหน้าก็ค่อย ๆ แผ่ซ่านไปถึงใบหู และไม่รู้ว่าจะโต้แย้งกลับไปอย่างไรดี
ความงามภายใต้แสงเทียนคือความงามโดยเนื้อแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของนางอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ดวงตาของหลินเหราไม่อาจละสายตาจากใบหน้าใสกระจ่างของหญิงสาวได้
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ได้กล่าวขึ้นมา “อาซู ฝนตกหนักเยี่ยงนี้ ต้นท้อในลานบ้านจะทนไหวหรือไม่”
หัวข้อบทสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวเองก็ตามไม่ทัน “อะไรนะ”
หลินเหราค่อย ๆ จับมือของเหยาซู ดวงตาที่นุ่มลึกของชายหนุ่มดูเหมือนจะสามารถดึงดูดให้ลุ่มหลง ชายหนุ่มเอ่ยกระซิบแผ่วเบา “วันก่อนเจ้าบอกว่าจะรอให้ลูกท้อเล็ก ๆ เติบโตไม่ใช่หรือ วันนี้ฝนตกหนักเยี่ยงนี้ พวกเราออกไปดูลูกท้อเล็ก ๆ ของเจ้ากันเถอะ”
ได้ยินเช่นนั้น เหยาซูก็หัวเราะออกมา
โชคดีที่คนที่ต้องการอยู่อย่างสันโดษมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมา เหยาซูจับมือของชายหนุ่มเบา ๆ “ท่านไปบอกกับลูก ๆ ข้าจะไปเอาเสื้อคลุม”
สีหน้าของหลินเหราดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มปล่อยมือของภรรยาแล้วหมุนตัวเดินไปที่เตียง
ทันทีที่ชายหนุ่มจากไป เหยาซูรู้สึกเย็นเล็กน้อยที่หลังมือของนาง จากนั้นนางก็ลังเลเล็กน้อยที่จะให้ความอบอุ่นกับมือของเขา
เหยาซูหยิบผ้าคลุมสองตัว ตัวหนึ่งสีเข้ม ตัวหนึ่งสีอ่อน ถือเอาไว้อยู่หน้าประตู
ผ่านไปไม่นาน ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่ถือโคมไฟก็เดินกลับมาถึงด้านหน้าของเหยาซู ชายหนุ่มจับมือของหญิงสาวและยกยิ้มช้า ๆ “ไปกันเถอะ ลูก ๆ จะเข้านอนเอง”
เหยาซูเดินออกจากประตูไปพร้อมกับชายหนุ่ม
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักพัดพาอากาศแห้งและร้อนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาออกไป เมื่อก้าวพ้นประตูหลินเหราช่วยเหยาซูสวมเสื้อคลุม และผูกปมที่หน้าอกของนางอย่างชำนาญ
เสียงสายฝนดังกระหึ่ม แต่เพราะทั้งสองอยู่ใกล้กัน เหยาซูจึงไม่จำเป็นต้องพูดเสียงดังเพื่อให้สามีได้ยิน “ท่านก็ใส่ด้วย”
ชายหนุ่มส่ายหัว “ข้าไม่หนาว”
ดวงตาของเหยาซูหรี่ลงเล็กน้อย แต่คำพูดของหญิงสาวกลับนุ่มนวล “เอาไว้กันฝน ไม่ได้ใส่ไว้กันลม”
หลินเหราส่ายหัว แต่เมื่อได้ยินหญิงสาวกล่าวอีกประโยคว่า “เสื้อคลุมของเรา เป็นเสื้อคู่”
ชายหนุ่มจึงสวมเสื้อคลุมทันที
เหยาซูที่อยู่ข้าง ๆ จึงหัวเราะร่าจนตัวงอ หลินเหราเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจจากนั้นก็หัวเราะตาม จับมือเหยาซูอีกครั้งแล้วเดินต่อ
ข้างห้องพักมีระเบียงทางเดิน ทั้งสองคนไม่ได้โดนฝนจนเปียก จึงเดินไปตามทางเพื่อไปยังลานบ้าน
สายลมพัดน้ำฝนเข้ามาสาดกระเซ็น ด้วยทั้งสองคนสวมเสื้อคลุม จึงมีเพียงแก้มและผมของพวกเขาเท่านั้นที่เปียกประปราย ยามลมพัดผ่านจึงทำให้รู้สึกเย็นสบาย
ทั้งสองคนได้ลืมเรื่องต้นท้อไปแล้ว เพียงแค่ยืนเคียงข้างกันที่ปลายระเบียงทางเดิน มองดูม่านฝนที่โปรยปรายอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ ราวกับแยกโลกทั้งใบออกจากพวกเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหยาซูจับมือของหลินเหราแล้วถามชายหนุ่มขึ้นว่า “ทำไมท่านไม่พูดอะไรเลย”
…………………………………………………………………………………………………….
[1] วรรคหนึ่งในบทกวี 月夜 (เยว่เย่) ของ 杜甫 (ตู้ฝู่) เป็นกวีเอกชื่อดังของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ถอดความออกเป็นปัจจุบันจะได้ความว่า ‘สายหมอกทำให้มวยผมของเจ้าเปียกปอน แสงจันทร์เจิดจ้าทำให้แขนขาวดุจหยกเย็นยะเยือก’ กวีนี้พูดถึงหญิงสาวที่คิดถึงสามีของตนเองที่อยู่แสนไกล หญิงสาวยืนอยู่เนิ่นนาน สายหมอกทำให้มวยผมของนางเปียกปอน สายลมเย็นยะเยือกท่ามกลางแสงจันทร์คงจะทำให้นางหนาวเหน็บ
สารจากผู้แปล
จะรอซานเป่าพูดได้นะคะ เอ้อเป่าสู้ๆ กับการสอนน้องนะ
จะว่าไปพี่เหรานี่ก็อ้อร้อกับภรรยาพอตัวเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)