ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 342 ไปเยี่ยมเซี่ยเชียน
บทที่ 342 ไปเยี่ยมเซี่ยเชียน
บทที่ 342 ไปเยี่ยมเซี่ยเชียน
เหยาซูและคนอื่น ๆ ออกไปต้อนรับ ซึ่งก็เห็นพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยามาถึงแล้วจริง ๆ
อาวุโสทั้งสองท่านเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าแต่อย่างใด เมื่อถูกพวกเด็ก ๆ เข้ามาห้อมล้อม ใบหน้าก็พลันแต้มรอยยิ้มเบิกบานใจ
เหยาซูเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็ตะโกนเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่!”
พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาไม่ได้เจอกับบุตรสาวคนเล็กมานาน จึงขานเรียกด้วยความดีใจ “อาซู!”
แม่เฒ่าเหยาจูงมือหลานชายและหลานสาวเดินมาหาเหยาซู แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอบอุ่น “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เหตุใดถึงไม่อ้วนขึ้นเลย? ใบหน้าก็แหลมเล็กเสียขนาดนั้น ปกติไม่ค่อยได้กินข้าวดี ๆ หรือไร?”
อาซือแก้ต่างแทนแม่ของตนอยู่ด้านข้าง “ท่านแม่กินข้าวอิ่มดีเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างยิ้มอย่างใจดี
เหยาซูเดินรุดขึ้นหน้า จากนั้นก็พูดกับแม่เฒ่าเหยาด้วยรอยยิ้มแช่มชื่นว่า “เหตุใดท่านแม่ถึงอยากให้คนอื่นอ้วนละเจ้าคะ? อ้วนเกินไปจะดูไม่งามนะ…”
แม่เฒ่าเหยาเบิกตากว้าง “ใครบอก! ข้าว่าเจ้า อาจื้อ และอาซือเจ้าเด็กสองคนนี้ ควรจะอ้วนกว่านี้ถึงจะดี!”
ซานเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของเหยาซูไม่ยอมให้ถูกมองข้าม จึงส่งเสียง “แอะ แอะ” ออกมา ทั้งยังยื่นแขนขอให้อุ้มไปทางผู้เป็นยายอีกด้วย
สะใภ้ใหญ่เหยาพูดกับสะใภ้รองเหยาด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ยังบอกอยู่เลยว่าซานเป่ากลัวคนไม่รู้จัก ดูจากตอนนี้ เด็กน้อยคนนี้ฉลาดยิ่งนัก! จำผู้อื่นได้ด้วย”
ทุกคนไม่ได้กล่าวทักทายอยู่หน้าประตูนานนัก ชั่วครู่ต่างพาอาวุโสทั้งสองคนเข้าไปในห้องโถงกลาง
พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาเดิน ๆ หยุด ๆ ไปตลอดทาง แต่กลับไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด เขาดึงตัวเด็กๆ มาพูดคุยครู่หนึ่ง แล้วจึงให้ทุกคนแยกย้าย
แม่เฒ่าเหยาเก็บกระเป๋าที่นำมาด้วยอย่างลวก ๆ พลางพูดกับพ่อเฒ่าเหยาด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้านั้นท่านไม่ยอมมา พอมาตอนนี้ บอกว่าอยู่กับหลาน ๆ ดีกว่า ใช่หรือไม่?”
พ่อเฒ่าเหยาไม่ได้ปากแข็ง เขากลั้วหัวเราะหึๆ “ใช่ ใช่ ใช่ เจ้าพูดถูกทั้งนั้น”
แม่เฒ่าเหยาเบิกตากว้าง “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? ท่านพูดความจริงสิ ท่านคิดว่าเมืองหลวงสบายสู้หมู่บ้านตระกูลเหยาไม่ได้ใช่หรือไม่?”
พ่อเฒ่าเหยาเติบโตอยู่ในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก แต่ต่อมาผู้เป็นปู่ได้ลาออกแล้วกลับหมู่บ้านตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในหมู่บ้าน
นิสัยของเขาไม่ถือว่าแข็งกร้าวมากนัก ปกติก็มักจะดูอบอุ่นอยู่แล้ว ครั้นเห็นภรรยาเอาจริงเอาจังกับตัวเอง จึงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น “เมืองหลวงย่อมดีไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่…ไม่รู้ว่าควรจะไปมาหาสู่กับสหายเก่าของท่านปู่ดีหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงค่อนข้างกลุ้มใจเล็กน้อยก็เท่านั้น”
มือของแม่เฒ่าเหยาที่กำลังวุ่น ๆ อยู่พลันหยุดชะงัก แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เหตุผลนี้อย่างนั้นหรือ?”
พ่อเฒ่าเหยาพยักหน้า
กระทั่งเห็นภรรยาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ปกติท่านก็เป็นคนใจกว้างคนหนึ่ง เหตุใดพอถึงวัยนี้ กลับดื้อรั้นเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ได้เล่า?”
พ่อเฒ่าเหยาที่กำลังช่วยเก็บสัมภาระจึงเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างอดไม่ได้ “หืม? พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
สีหน้าของแม่เฒ่าเหยาอ่อนโยนลง แล้วถามว่า “บิดาท่านมีปัญหากับสหายเหล่านี้ใช่หรือไม่?”
พ่อเฒ่าเหยาส่ายหน้า “ไม่มีแน่นอน”
หญิงชราคลี่ยิ้ม แล้วคลี่ผ้าปูที่นอนที่สะอาดนั้นออก พลางตอบกลับ “ในเมื่อไม่ได้มีปัญหากับผู้อื่น แล้วจะกลัวการปฏิสัมพันธ์ด้วยเหตุใด? หากไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานานแล้ว เช่นนั้นก็ยิ่งง่ายใหญ่ เพียงหาเหตุผลง่าย ๆ สักอย่าง แล้วส่งจดหมายถึงหน้าบ้านก็สิ้นเรื่อง จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะอาเหยา หรืออาเหรา ต่างก็มีตำแหน่งขุนนางอยู่กับตัว จะกลัวคนอื่นดูถูกทำไมกัน?”
พ่อเฒ่าเหยาครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าที่ภรรยาพูดก็มีเหตุผล จึงคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้ค่อยว่ากัน เราจัดการของในบ้านก่อนดีกว่า!”
แม่เฒ่าเหยาหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง แล้วอดยิ้มไม่ได้ มือที่กำลังคว้านู่นจับนี่ก็หยุดชะงักลง จากนั้นก็พึมพำออกไป “ดูเหมือนทุกคนจะต้อนรับเราสองคนอย่างดีเชียว! พวกเด็ก ๆ เข้าใจแผนการนานแล้ว…”
อาวุโสทั้งสองคนมักจะปฏิบัติต่อกันและกันเช่นนี้เสมอ มีทะเลาะบ้างเป็นครั้งคราว มากสุดก็คงจะเป็นแม่เฒ่าเหยาที่ชอบบ่นจู้จี้จุกจิก ทว่าพ่อเฒ่าเหยาก็ฟังโดยไม่ได้หงุดหงิดแม้แต่น้อย
วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตกค่ำทุกคนต่างรวมตัวกันพร้อมหน้าเพื่อเฉลิมฉลอง วันต่อมาก็ได้แขวนป้าย ‘จวนเหยา’ ในที่สุด
ด้วยเหตุนี้เหยาซูจึงตั้งใจถามหลินเหรา ว่าชายหนุ่มอยากจะย้ายออกไปหรือไม่ ซึ่งคนหลังส่ายหน้าพลางพูดว่า “จวนเหยาก็ดี จวนหลินก็ดี มันก็เป็นแค่ป้ายเท่านั้น ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายและพี่สะใภ้ ทุกคนต่างก็อยู่กันอย่างสุขสบาย ญาติของเจ้าคงไม่ใช่ญาติของข้าหรอกนะ?”
ดวงตาคู่งามมองไปยังหลินเหราด้วยสายตาที่ใสสุกสกาว ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่ยอมพูด
หลินเหราจึงอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ จากนั้นก็โอบรอบเอวของนาง พลางถามเสียงต่ำ “เรื่องนี้เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี? หือ?”
เหยาซูกัดริมฝีปากล่าง ดวงตาโค้งในรัศมีของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ทั้งยังงดงามเหมือนกับทะเลสาบที่ชวนให้หลงใหลก็มิปาน
หลินเหรากล่าวเสียงแหบแห้ง “ถ้าเจ้ามองข้าเช่นนี้อีก วันนี้เราจะไม่ได้ออกไปนะ”
เหยาซูรีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีความหมายอื่น ข้าก็รู้สึกว่าคำพูดของท่านช่างสมเหตุสมผล”
หลินเหรายิ้มอีกครั้ง จากนั้นก็ดีดหน้าผากที่เนียนใสของเหยาซูเบา ๆ “พูดอะไรก็ไม่รู้!”
เหยาซูกอดหลินเหรากลับ ก้มหน้าซบซอกคอของเขา แล้วสูดดมกลิ่นอันคุ้นเคยจากตัวของหลินเหรา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ญาติของข้าก็คือญาติของท่าน…ข้าชอบพูดกับท่านเช่นนี้ เหมือนกับเราคือคนคนเดียวกัน ไม่แบ่งแยกข้าหรือท่าน”
น้ำเสียงของหลินเหราทุ้มต่ำดั่งเครื่องดนตรีชั้นเยี่ยม ทั้งยังเย็นชุ่มฉ่ำชวนเคลิบเคลิ้มดุจดวงจันทร์อันเจิดจรัสและเย็นสบายในยามราตรีของฤดูคิมหันต์ “อาซู เราเป็นสามีภรรยากัน มีร่างกายเป็นหนึ่งเดียว ไม่แยกจากกันใช่หรือไม่?”
เหยาซูทอดถอนใจออกมายาว ๆ ทำได้แค่กอดเขา โดยไม่พูดสิ่งใดอีก
กระทั่งไม่รู้ว่านานเพียงใด หลินเหราเพิ่งจะได้สติ “พวกลูก ๆ ยังรออยู่ วันนี้จะไม่ออกไปข้างนอกจริง ๆ หรือ?”
เหยาซูจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาดอกท้อคู่นั้นกะพริบทันใด “ไป ไป ไป รีบไป! ไม่ง่ายเลยที่ท่านน้าจะมีเวลา ตกลงกันแล้วว่าจะไปหาเขา…”
สองสามีภรรยาเก็บของไว้ก่อนแล้ว จึงไม่พูดคุยให้เสียเวลาอีก หยิบของขวัญที่เตรียมให้เซี่ยเชียน แล้วออกจากจวนไป
อาซือพาซานเป่ามาเล่นในลานบ้าน อาจื้อไปจวนเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อย หลินเหราก็บังคับรถม้า พาภรรยาและลูกตรงไปยังจวนเซี่ยทันที
แม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่ช่วงวันหยุดของเซี่ยเชียน แต่กลับไม่ต้องไปจัดการเรื่องหยุมหยิมในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน จักรพรรดิก็ไม่ได้เรียกตัวเขาเข้าวัง วันนี้จึงตั้งใจสอนหนังสืออาจื้ออยู่ในจวน
หลินเหราไม่ต้องไปปฏิบัติภารกิจจึงว่างมาพบเซี่ยเชียน เขาได้ปรึกษากับเหยาซูว่าจะพาเด็ก ๆ มาเยี่ยมเซี่ยเชียนด้วยกัน
เมื่อมาถึงทิศตะวันออกของเมือง ทะลุถนนไปสองสามสายจนมองเห็นรูปปั้นสิงโตสองตัวตรงหน้าจวนเซี่ยอยู่ไกล ๆ พ่อบ้านเซี่ยหมิงก็ได้มารออยู่หน้าประตูนานแล้ว
ครั้นเห็นรถม้า เขาก็รุดหน้าสองสามก้าว แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดก็มาถึงเสียที เราเฝ้ารออยู่หลายวัน ยังคุยกันอยู่เลยว่ากลัวคุณชายและฮูหยินจะออกจากเมืองหลวงไม่ได้ จึงไม่ยอมมาเยี่ยมขอรับ!”
เหยาซูพาเด็กลงจากรถม้า เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พ่อบ้านหมิงอย่าเอ่ยขบขัน ก่อนหน้านั้นก็รับปากไปแล้วว่าจะมาเยี่ยมจวนเซี่ยอยู่บ่อย ๆ แต่หลังจากที่เข้าไปอยู่บ้านใหม่มีเรื่องจุกจิกให้แก้จนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ ตอนนี้ถ้าไม่ว่าง จะรีบมาเช่นนี้หรือ?”
เซี่ยหมิงไม่เห็นครอบครัวของหลินเหราเป็นคนนอกแต่อย่างใด ยามพูดคุยจึงค่อนข้างเป็นกันเองมาก ได้แต่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝูหยา ฝูลี่ทั้งสองคนก็บ่นอยู่ข้างหูข้าทุกวัน ข้าว่าครั้งนี้คุณชายและฮูหยินต้องพาพวกนางไปด้วยเสียแล้วละขอรับ!”
หลินเหรามีสีหน้าอ่อนโยน เหยาซูส่งเสียงหัวเราะ เมื่ออาซือได้ยิน จึงปรบมือเล็ก ๆ นั้นและกล่าวว่า “ความคิดของลุงหมิงยอดเยี่ยมมาก! พี่ฝูหยา พี่ฝูลี่กลับบ้านกับเราเถอะ!”
เซี่ยหมิงนิ่งงันไป แล้วมองไปยังใบหน้ากลมคลึงของอาซือ จากนั้นก็โน้มตัวลงไปหยิกแก้มอันขาวผุดผ่องของนางด้วยรอยยิ้ม “ได้สิขอรับ! พาสาวใช้ในจวนทั้งสองคนไปด้วยไม่มีปัญหา แต่ต้องให้สาวใช้คนนี้ชดใช้เอง”
อาซือกลั้วหัวเราะ “คิก ๆ”
ทุกคนเข้าไปในจวนเซี่ย ครึ่งเดือนที่ไม่ได้มาเยือน ภูเขาปลอมยังคงเป็นฉากอันคุ้นเคย แม้แต่บรรดาคนรับใช้ก็ยังเข้ามาทำความเคารพหลินเหราอย่างคุ้นเคย ยิ่งทำให้อบอุ่นมากขึ้น
เซี่ยหมิงพาครอบครัวหลินเหราเข้าไปด้านใน พลางกล่าวว่า “นายท่านกำลังสอนหนังสือคุณชายน้อยอยู่ในห้องหนังสือ คาดว่าอีกครึ่งชั่วยามถึงจะเสร็จ สู้ไปนั่งในศาลาดีกว่าหรือไม่ขอรับ? เป็นสถานที่ที่นายท่านชอบไปดื่มชาอ่านหนังสือ วันนี้แดดแรงก็จริง แต่ที่แห่งนั้นกลับเย็นสบาย”
คำพูดเช่นนี้หมายความว่าเขาไม่ได้เห็นทั้งสองเป็นคนนอกโดยสิ้นเชิง หลินเหราและเหยาซูจึงย่อมไม่คัดค้าน
เซี่ยหมิงออกคำสั่งให้คนรับใช้ไปยกชาและขนมเข้ามา จากนั้นก็พาพวกเขาไปยังศาลาข้างทะเลสาบ..
…………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดูท่าทางญาติสนิทมิตรสหายทางพ่อเฒ่าเหยาน่าจะเป็นคนใหญ่โตอยู่พอตัวนะคะ
ตอนนี้ท่านปู่เซี่ยจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
ไหหม่า(海馬)