ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 344 ตู้เหิงจัดการร้าน
ตอนที่ 344 ตู้เหิงจัดการร้าน
ตอนที่ 344 ตู้เหิงจัดการร้าน
หลินเหราหยุดพูดในทันที ในที่สุดก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ
เหมิงฉิงเป็นพระโอรสของรัชทายาทองค์ก่อน เซี่ยเชียนมีมิตรภาพที่ไม่ธรรมดากับรัชทายาทองค์ก่อน บัดนี้ต้องการให้เขาเฝ้าดูความทะเยอทะยานของเหมิงฉิงที่ค่อย ๆ แสดงออกมา กระทั่งผลักดันทั้งสองคนให้เข้าไปในสถานการณ์ที่ตรงกันข้าม
โดยที่ไม่รู้ว่าในใจของเซี่ยเชียนนั้นสับสนเพียงใด
แต่ตราบใดที่เซี่ยเชียนยังจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ความสัมพันธ์ส่วนตัวจะไม่มีวันทำให้เขาสั่นคลอน
อีกฝ่ายเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อครั้งคดีความของตู้เหิง เหมิงฉิงได้ลงแรงเต็มที่ บัดนี้ผ่านไปนานเพียงนี้ พวกเขาควรจะมีการเคลื่อนไหวบ้าง”
หลินเหราพยักหน้า “ท่านน้าวางใจเถิดขอรับ ท่านอ๋องน้อยไม่ได้ติดต่อกับตู้เหิงกว่าเดือนเศษแล้ว ตราบใดที่ทั้งสองคนไปมาหาสู่กัน ย่อมไม่มีทางหนีพ้นสายตาของเราแน่นอน”
เซี่ยเชียนตอบรับหนึ่งคำโดยไม่พูดสิ่งใดอีก
ชาเมล็ดเฉียวขมที่ตระเตรียมไว้สำหรับอาจื้อและอาซือเด็กน้อยทั้งสองคนได้ถูกยกเข้ามาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ในครัวก็ยังยกขนมเปี๊ยะไส้หวานอมเปรี้ยวเข้ามาอีกด้วย ช่างเข้ากับฤดูร้อนยิ่ง
หลินเหราเรียกภรรยาและลูก ๆ กลับเข้ามาในศาลาอีกครั้ง ทุกคนล้วนมีสีหน้าแช่มชื่น ภายในศาลามักจะมีเสียงหัวเราะที่สดใสของเด็ก ๆ ดังออกมาเป็นระยะ ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งผืนทะเลสาบอันเงียบสงบไร้เกลียวคลื่น
ไม่ว่าเหตุการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวายเพียงใด อย่างน้อยในจวนเซี่ยเวลานี้ก็ยังคงปรองดองและสงบสุขดี
ดั่งที่หลินเหราและเซี่ยเชียนเคยกล่าวไว้ เหมิงฉิงไม่มีทางช่วยคุณหนูใหญ่แห่งจวนตู้โดยไม่มีสาเหตุ ดูจากตอนนี้ที่ตู้เหิงรอดพ้นจากจวนตู้ ประกอบกับเจตนารมณ์ที่ค่อนข้างคาดเดาได้ยากของเหมิงฉิง
แต่ถึงกระนั้นลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ตราบใดที่จับตามองตู้เหิงไว้อย่างดีแล้ว ไม่ว่าฝั่งเหมิงฉิงนั้นจะเคลื่อนไหวอะไรก็ไม่มีทางรอดพ้นสายตาของหลินเหราและคนอื่นไปได้
สองสามวันนี้หลินเหราส่งคนไปเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของตู้เหิงอยู่ในความมืดโดยตลอด เพียงแต่ตู้เหิงไม่รู้ตัวเท่านั้น
หลังจากที่เจ้านายและสาวใช้ทั้งสามคนได้ลงหลักปักฐานอยู่ในบ้านหลังใหม่ ตู้เหิงก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับจัดการร้านในครอบครองของตัวเอง หมู่บ้านในชนบทก็ยุ่งวุ่นวายไปช่วงระยะหนึ่ง
ทรัพย์สมบัติที่ติดตัวทำให้สภาพจิตใจของสามนายบ่าวมีความมั่นใจขึ้นไม่น้อย
เช้าตรู่วันนี้ อาซู่เห็นตู้เหิงตื่นตั้งแต่เช้า จึงรีบมาปรนนิบัติล้างหน้าหวีผมให้นางทันที
หลังจากที่ตู้เหิงล้างหน้าเสร็จ นางก็มองดูใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์และสดใสเหมือนกับดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำในกระจก หากแต่กลับเหม่อลอยไปชั่วขณะ
เสียงของอาซู่เรียกสติของนางที่ล่อยลอยออกไปข้างนอกกลับมา “คุณหนู วันนี้จะออกไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ตู้เหิงได้สติกลับมา แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ต้องไปเยี่ยมเยือนแน่ แต่ไม่ใช่วันนี้”
อาซู่จึงถามขึ้นด้วยจิตใต้สำนึก หมู่บ้านที่คุณหนูพูดถึง ไม่ใช่ที่ที่เดียวกับที่ตัวเองพูดเมื่อครู่
หลายวันนี้นางเคยได้ยินถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูและท่านอ๋องน้อยอยู่ราง ๆ บัดนี้มีแค่นางและแม่นมที่อยู่ข้างกายคุณหนู เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ตู้เหิงไม่เคยปิดบังพวกนางอย่างจริงจังอีก
เพียงแต่เหมืองแร่เหล็ก…
ทุกครั้งที่นึกถึงภาพที่คุณหนูต้องใช้สิ่งของที่สามารถคร่าชีวิตได้ในมือต่อสู้กับคนที่มีอำนาจในเมืองหลวง อาซู่ก็อดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
นางไม่อยากแสดงความกระวนกระวายใจของตัวเองออกมา จึงได้แต่ก้มหน้า เตรียมเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ตู้เหิงต้องใส่วันนี้อย่างเงียบ ๆ
กระทั่งได้ยินตู้เหิงพูดว่า “อาซู่ วันนี้ไปโรงจำนำเป็นเพื่อนข้าสักรอบสิ”
สาวใช้ตัวน้อยตอบรับ “เจ้าค่ะ”
โรงจำนำถือว่าเป็นสถานที่ที่ตู้เหิงสามารถสร้างเม็ดเงินในมือได้ดีที่สุด
ที่แห่งนี้ปักหลักอย่างมั่นคงอยู่ในเมืองหลวงตั้งแต่ที่ผู้เป็นแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ มีความน่าเชื่อถือ หลายปีมานี้มีลูกค้ารายใหม่จำนวนไม่น้อยเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่มารดาของตู้เหิงจากโลกนี้เร็วเกินไป นางรับช่วงต่อเมื่อครั้งยังวัยเยาว์ ดังนั้นภายในร้านย่อมต้องมีคนที่คิดไม่ดีอย่างแน่นอน อีกทั้งตระกูลโจวก็ยังแสดงสีหน้าถมึงทึง อยากช่วงชิงความนิยมไปจากมือของนางใจจะขาด
วันนี้ตู้เหิงต้องการแก้ไขเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น
อาซู่เข้าใจความคิดของคุณหนู จึงตั้งใจเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่งดงามที่สุดออกมาหนึ่งชุด
เมื่อครั้งที่อยู่ในจวนตู้ก่อนหน้านั้น ทุกเดือนในจวนจะต้องเย็บเสื้อผ้าใหม่ ๆ สองสามชุดมาให้คุณหนูเสมอ โดยทั่วไปคุณหนูที่เป็นสายเลือดโดยตรงจะได้ห้าชุด ส่วนบุตรสาวต่างมารดาจะได้สองชุด แต่เพื่อแสดงถึงความเท่าเทียมระหว่างสายเลือดโดยตรงกับบุตรสาวอนุภรรยา ตู้เหิงและตู้หวู่ต่างก็ได้รับเสื้อกันคนละสามชุด
ตู้เหิงออกมาเพียงลำพัง เงินที่มีก็ยังใช้จ่ายไม่หมด ดังนั้นจึงให้ช่างตัดเย็บมาส่งเสื้อผ้าให้ถึงสิบชุดในหนึ่งเดือน
แค่ในเรื่องของเสื้อผ้า นางก็รู้สึกอิสระมากแล้ว
เมื่อแต่งกายเรียบร้อย นางก็พาอาซู่และแม่นมนั่งรถม้าไปโรงจำนำทันที
ยามเช้าตรู่ ภายในร้านยังไม่มีลูกค้าสักเท่าไร มีแค่ลูกจ้างเฝ้าอยู่ด้านหลังตู้คนหนึ่ง ถือไม้ขนไก่อย่างเกียจคร้าน ปัดกวาดเศษฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนตู้เป็นครั้งคราว
ครั้นเห็นว่ามีหญิงสาวแต่งกายดูมีฐานะผู้หนึ่งเดินเข้ามา ข้างกายมีสาวใช้หนึ่งคนและแม่นมหนึ่งคนติดตามมาด้วย ลูกจ้างผู้นั้นไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงแค่กล่าวทักทาย “ลูกค้ามาจำนำหรือว่ามาซื้อสินค้าล่ะขอรับ?”
เขาเคยชินกับผู้ดีมีเงินไม่ก็ขุนนางชั้นสูงที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ออกมาข้างนอกสร้างความฮือฮาเสียใหญ่โต ทว่ามาโรงจำนำก็เพื่อขายสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ จึงทำให้ค่อย ๆ หมดศรัทธาในคนกลุ่มนี้ คิดว่าถึงแม้พวกเขาจะดูสูงส่ง ความจริงแล้วไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา กระทั่งยังสู้คนธรรมดาเหล่านั้นไม่ได้ด้วยซ้ำไป
เมื่อตู้เหิงเห็นท่าทางของลูกจ้าง นางกลับไม่ได้หงุดหงิดใจ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้าออกมา”
ลูกจ้างมองนางด้วยท่าทางจะยิ้มก็ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง แล้วครุ่นคิดในใจ ‘บนผ้าคลุมหน้าของแม่นางผู้นี้ต่างก็ถูกปักด้วยอัญมณี แต่กลับร่อนเร่พเนจรมาจนถึงโรงจำนำเลยหรือ?’
เขาแค่กล่าวอย่างเกียจคร้าน “ลูกค้าต้องการสิ่งใด บอกผู้น้อยได้เลย อัญมณีหลายขนาด ผู้น้อยเห็นมานับไม่ถ้วน สามารถตั้งราคาได้ขอรับ”
คนในโรงจำนำมีไหวพริบดี ตู้เหิงผู้นี้จะรู้สักเท่าไรกันเชียว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าการเปิดร้านทำกิจการเช่นนี้ จะสามารถทำเช่นนี้ได้
อาซู่ที่อยู่ข้างกายทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงรีบออกหน้าตำหนิ “ช่วยเบิกตาต่ำช้าของเจ้าดูให้ดี ๆ! คุณหนูของเราคือเจ้าของร้านนี้ ไม่ใช่พวกตกอับที่มาจำนำสิ่งของอะไรเทือกนั้น!”
ไม้ขนไก่ในมือของลูกจ้างหยุดชะงักทันใด ตามมาด้วยเสียง ‘ตึง’ เสียงหนึ่ง ไม้ขนไก่ด้ามนั้นถูกเขาวางลงบนตู้
เขายืดตัวตรง ปัดชายแขนเสื้อ แล้วเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ได้ยินมานานแล้วว่าอุปนิสัยของเจ้าของร้านของเราไม่ธรรมดา มีสถานะเป็นถึงคุณใหญ่ของตระกูล ครั้นเจอะเจอวันนี้ กลับเป็นข้าน้อยที่ตาถั่ว! จำไม่ได้เสียนี่ ข้าน้อยสมควรตาย! สมควรตาย!”
ขณะที่พูด มือทั้งสองข้างของเขาได้เงื้อขึ้น แล้วตบหน้าของตัวเองเบา ๆ
ตู้เหิงรู้สึกรังเกียจวิธีการของพวกชาวบ้านทั่วไป แต่บัดนี้นางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของจวนตู้อีกแล้ว วันข้างหน้าจะต้องติดต่อสัมพันธ์กับคนเหล่านี้มากขึ้น จึงข่มความไม่พอใจในใจไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เถ้าแก่ไม่อยู่หรือ?”
เถ้าแก่ออกไปดื่มเหล้าตั้งแต่เมื่อวาน แล้วเพิ่งเมาหัวราน้ำกลับมาเมื่อตอนรุ่งสาง แต่ลูกจ้างไม่อาจพูดความจริงได้ จึงทำได้แค่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เพิ่งได้รับสมบัติที่ถูกส่งมาจากคนที่อยู่ทางตอนใต้ตั้งแต่เมื่อวาน จึงทำการลงกลอนคลังสินค้าไว้ตลอดทั้งคืน แล้วยังบอกว่าเช้าวันนี้จะต้องไปเชิญผู้เชี่ยวชาญมาทำความสะอาด จะได้เอามาวางขาย…”
หลังจากพล่ามมาครึ่งวัน ตู้เหิงก็หมดความอดทน คิ้วโก่งราวกิ่งหลิวค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน “จะบอกว่าเขาไม่อยู่เช่นนั้นหรือ?”
ลูกจ้างพยักหน้า โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ไม่อยู่ ไม่อยู่ขอรับ!”
ตู้เหิงกลับไม่ได้สร้างความลำบากใจให้อีกฝ่าย แค่นั่งอยู่หน้าโต๊ะภายในร้าน แม่นมถลึงตาใส่ลูกจ้างแวบหนึ่ง แล้วออกคำสั่งว่า “มัวยืนอึ้งอะไรอีก? คุณหนูมาถึงที่แล้ว ยังไม่รีบไปยกชาเข้ามาอีก?”
ลูกจ้างเชื่อฟังด้วยจิตใต้สำนึก รีบวิ่งไปเตรียมชาหลังร้านทันที
เขายกใบชาที่ผ่านการแปรรูปเมื่อปีที่แล้วเข้ามา แล้วชงชาให้ตู้เหิงด้วยท่าทางเงอะงะ จากนั้นตู้เหิงก็ยกถ้วยชาขึ้นมาดมครู่หนึ่ง แล้ววางมันลงทันที
ไม่มีกลิ่นของใบชาแม้แต่น้อย
สีหน้าของนางดูห่างเหิน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าทำงานในร้านมานานแค่ไหนแล้ว?”
ลูกจ้างตื่นตกใจกับกลิ่นอายที่แผ่ขยายออกมาจากตัวของตู้เหิง ก่อนจะตอบกลับอย่างซื่อสัตย์ “รายงานเจ้านาย ทำมาสองปีแล้วขอรับ”
ดวงตาคู่งามของตู้เหิงกวาดมองเบา ๆ แล้วถามอีกว่า “ได้ยินมาว่าเถ้าแก่เป็นลุงของเจ้า?”
เมื่อเห็นนางรู้เรื่องนี้ ลูกจ้างก็เริ่มอึดอัดใจ ทำได้แค่กลั้วหัวเราะแล้วพยักหน้ายอมรับ
ตู้เหิงไม่พูดมากความนัก ศักดิ์ศรีที่ควรให้เพียงพอแล้ว จากนั้นก็นำฝาถ้วยที่อยู่ในมือวางบนถ้วยชา จนเกิดเสียงกระทบกันดังกึกก้อง แล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคงคุ้นเคยกับร้านมากทีเดียว พาข้าเดินชมสักรอบสิ บันทึกการซื้อขาย แล้วก็บัญชี นำออกมาให้หมด”
ลูกจ้างคิดว่าเจ้านายคนใหม่ผู้นี้เป็นเพียงคุณหนูใหญ่ที่ดูบอบบาง ที่มาวันนี้คาดว่าคงเป็นอารมณ์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว คาดไม่ถึงว่านางจะจริงจัง มาตรวจร้านเช่นนี้
กระทั่งนึกถึงของเก่าชิ้นหนึ่งที่พวกเขาลักลอบนำออกไป บัญชีก็ยังไม่ได้จัดการให้สมดุล ลูกจ้างถึงกับเหงื่อตกเลยทีเดียว
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิสู้เจ้านายนั่งลงก่อนเถิด ข้าจะให้คนไปเรียกเถ้าแก่มา จะได้พาคุณหนูเดินตรวจร้านอย่างละเอียดหนึ่งรอบ แล้วก็คลังสินค้าของเรา ภายในคลังแห่งนี้มีสมบัติที่มีราคาต่ำไม่น้อยเลยทีเดียว…”
สีหน้าของตู้เหิงยิ่งเย็นชาลง แม่นมที่ยืนอยู่ข้างกายเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “คำสั่งของคุณหนู กล้าดีอย่างไรถึงปฏิเสธ? เอาบัญชีและบันทึกออกมาเดี๋ยวนี้!”
จะว่าไปแล้ว เถ้าแก่ร้านและลูกจ้างเป็นเพียงแค่คนทำงานให้เจ้านาย ถ้าไม่ยอมฟังคำสั่ง ประโยคเดียวของตู้เหิงย่อมสามารถกำจัดพวกเขาสองคนได้ทันที
ลูกจ้างจนปัญญา ทำได้แค่หยิบบัญชีและบันทึกการซื้อขายออกมาอย่างกระเหม็ดกระแหม่
แม่นมรับของเหล่านั้นไป ไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลข แค่กวาดตามองทีละหน้า แล้วคำนวณตัวเลขเหล่านั้นในใจหนึ่งรอบ
ไม่นาน ปัญหาของบัญชีก็กระจ่างชัด
นางกระซิบข้างหูของตู้เหิงเบา ๆ สองสามประโยค ซึ่งตู้เหิงพยักหน้าเพียงเบา ๆ สายตาค่อย ๆ เย็นชาขึ้นทีละน้อย
ลูกจ้างเฝ้ารออย่างอกสั่นขวัญแขวนเนิ่นนาน ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “เจ้านาย จะเดินดูในร้านสักรอบหรือไม่ขอรับ?”
ตู้เหิงลุกขึ้นยืน ส่งสัญญาณให้อาซู่เก็บสิ่งของจำพวกบัญชีที่วางอยู่บนโต๊ะไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่ดูร้านแล้ว สองสามวันนี้ข้าได้ยินว่าทางร้านกลั่นแกล้งลูกค้า พยายามกดราคาสินค้าจำนำให้ต่ำลง จากนั้นก็ขายออกไปในราคาที่สูงขึ้น พวกเจ้าคงทำมาไม่น้อย คิดว่าถ้าแบ่งกัน ข้าจะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งให้มันผ่านไปได้ แต่คิดไม่ถึง พวกเจ้าจะขี้เกียจทำให้มันยุติธรรมเพียงนี้”
ลูกจ้างเริ่มมีเหงื่อผุดซึมทั่วทั้งตัว
เจ้านายคนใหม่ที่มีรูปโฉมงดงามดั่งภาพวาดผู้นี้กลับมีวาจาที่ออกมาเหมือนมีดทิ่มแทงผู้อื่น กระทั่งได้ยินเสียงหัวใจของลูกจ้างเต้นเร็วรัว “วันนี้ปิดร้านเสีย เจ้าไปเรียกเถ้าแก่มา แล้วรอคนของศาลาว่าการมาที่นี่”
เมื่อโพล่งคำพูดนี้ออกมา นายและบ่าวทั้งสามเดินจากไปโดยไม่หันกลับ ทิ้งลูกจ้างที่กำลังประคองโต๊ะและทรุดนั่งลงไปกับพื้น เหงื่อเย็นผุดซึมจนเปียกชุ่ม…
………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะทำกิจการเลี้ยงตัวเองก็ทำไป แต่อย่ามาล้ำเส้นกิจการของอาซูก็พอ
ไหหม่า(海馬)