ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 346 จัดการหลินเหราและคนอื่นอย่างไร
บทที่ 346 จัดการหลินเหราและคนอื่นอย่างไร
บทที่ 346 จัดการหลินเหราและคนอื่นอย่างไร
หลังจากที่เหมิงฉิงเข้ามา ลู่หัวและตู้เหิงก็ยืนขึ้น เดินเข้ามาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “รีบนั่งลงเถอะ เหตุใดจะต้องมากพิธีเช่นนี้”
เหมิงฉิงอายุไม่มากนัก หากจะบอกว่ายังอ่อนเยาว์ ก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
เพียงแต่เขาได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก พละกำลังจึงมากกว่าลู่หัวที่มีอายุมากกว่าเขาสามปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีดำ ทำให้เดาอายุของเขาไม่ออกแม้แต่น้อย เพียงแค่เบนสายตามายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ดูสุขุมรอบตัวของเขา
ประกอบกับความทะเยอทะยานของชายหนุ่มที่ถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี อย่าว่าแต่ในราชสำนักเลย แม้แต่การแสดงออกโดยทั่วไป ก็ยังทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ที่ควบคุมอารมณ์ตนให้เป็นไปตามหลี่[1]และจงรักภักดีต่อบ้านเมือง
ตู้เหิงครุ่นคิดอย่างทอดถอนใจ ‘มิน่าเล่าคนเช่นนี้ เมื่อชาติที่แล้วถึงได้หัวเราะทีหลังดังกว่า นั่งครองบัลลังก์ที่แย่งมาจากในมือของผู้เป็นอาอย่างมั่นคง’
การแข่งขันกับเขาไม่ต่างไปจากการแสวงหาในสิ่งที่ขัดกับผลประโยชน์ของผู้อื่น นางจะไปเทียบชั้นได้อย่างไร?
ทั้งสามคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ลู่หัวโบกมือและส่งสายตาให้คนรับใช้ออกไป ก่อนกล่าวกับเหมิงฉิงด้วยความเคารพ “ท่านอ๋องน้อย ข้าสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานในครัวคงจะยกเข้ามา”
เหมิงฉิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
ตู้เหิงนั่งลงข้างกาย โดยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน ทำได้แค่รอให้เขาชี้แจ้งถึงคำเชิญในวันนี้
ใครเล่าจะคิดว่าเหมิงฉิงที่ดูสุขุมมากเป็นพิเศษเช่นนี้จะพูดคุยสบาย ๆ กับตู้เหิงได้ “แม่นางตู้คงจะสบายดี? ไม่เจอกับแม่นางตู้หลายวัน นึกไม่ถึงว่าแม่นางตู้จะเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้”
ตู้เหิงกล่าวด้วยท่าทีเกรงใจ “ขอบคุณท่านอ๋องน้อยที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าสบายดี เพียงแต่ไม่ทราบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ท่านอ๋องน้อยกล่าวถึงนั้นหมายความว่าอย่างไร?”
เดิมทีเหมิงฉิงเกิดมาพร้อมกับหน้าตาอันหล่อเหลาและสง่าผาเผย ในดวงตาที่ดูคล้ายรัชทายาทองค์ก่อนฉายความปีติยินดีออกมาแวบหนึ่ง จริงใจและไม่หลุกหลิก “แม่นางตู้งดงามขึ้นมากทีเดียว”
ในใจของตู้เหิงมีความระแวดระวังต่อเขาอย่างมาก เวลานี้จึงค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา ความเย็นชาที่ฉายชัดในดวงตาเปล่งประกายนั้นอ่อนโยนลงเล็กน้อย
นางกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ท่านอ๋องน้อยก็ชมเกินไปเจ้าค่ะ”
เหมิงฉิงยิ้มอย่างสดใส จากนั้นก็เติมชาให้กับตู้เหิงด้วยตัวเอง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เห็นกิริยาที่ดูสง่างามของแม่นางแล้ว ที่ผ่านมาคงจะมีชีวิตราบรื่น แม้ว่าปากของข้าจะใคร่ถามเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วแค่เป็นห่วง หวังว่าแม่นางตู้จะไม่ถือสา”
หากมิใช่เพราะทั้งสองคนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ตู้เหิงคิดว่าการไปมาหาสู่กับเหมิงฉิงถือว่าไม่เลวนัก อย่างน้อยก็รู้จักการปกปิดอย่างรู้ความได้มากกว่าลู่หัว ทั้งยังรู้จักเติมชาให้แก่นางอีกด้วย
นางกล่าวขอบคุณอย่างเกรงใจ แล้วเอ่ยปาก “ท่านอ๋องน้อยภารกิจรัดตัว ยังเป็นห่วงความเป็นอยู่ของข้าอีก ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนักเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนกล่าวทักทายกันและกัน บรรยากาศค่อย ๆ เป็นหนึ่งเดียวกัน เพียงแต่ลู่หัวที่ฟังอยู่ด้านข้างกลับขมวดคิ้วอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ความรู้สึกไม่พอใจอย่างลับ ๆ ถึงได้เพิ่มขึ้นในจิตใจ
เขาพยายามอดทน สุดท้ายก็กล่าวว่า “ยามอู่แล้ว ข้าลงไปดูด้านล่างดีกว่า เหตุใดอาหารถึงยังไม่ขึ้นมา”
กล่าวจบ เขาก็ออกจากห้องอาหารส่วนตัวไป แล้วลงไปชั้นล่างจริง ๆ
ตู้เหิงเห็นท่าทางหมดความอดทนของลู่หัวตั้งนานแล้ว ต่อให้ไม่พอใจเหมิงฉิงอยู่ภายในที่แห่งนี้อย่างไรเขาก็ทำได้แค่ต้องอดกลั้นไว้
บางทีอาจเพราะต้องการกันท่าลู่หัว นางจึงพยายามให้ความสนใจต่อเหมิงฉิง ไม่ได้มีท่าทีจะปฏิเสธแม้แต่น้อย
หลังจากที่ลู่หัวจากไป เหมิงฉิงก็มองไปทางตู้เหิงอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแวบหนึ่ง แล้วหยิบจอกชาในมือขึ้นมาจิบหนึ่งอึก
เขาไม่มีท่าทีจะกล่าวสิ่งใดต่อ
ตู้เหิงหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องน้อยมีจุดประสงค์อะไรเจ้าคะ?”
คิ้วรูปดาบของเหมิงฉิงเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ข้าพอใจกับความคิดของแม่นางก็ช่างเถอะ แต่มิรู้ว่าอาหัวไปล่วงเกินอะไรแม่นาง แม่นางจึงใช้ข้าเป็นที่ระบายอารมณ์ใส่เขาเช่นนั้น?”
ตู้เหิงประหลาดใจกับไหวพริบของอีกฝ่าย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริงจังของเหมิงเฉิง ความระแวดระวังที่นางควรมีกลับได้รับการผ่อนคลายไม่น้อย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าและคุณชายลู่ไม่เคยมีความแค้นและบุญคุณอะไรต่อกัน ท่านอ๋องน้อยคิดมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
เหมิงฉิงเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ตระกูลของแม่นางปากไม่ตรงกับใจแต่ไหนแต่ไร วันนี้ข้าได้ตระหนักแล้ว”
ตู้เหิงหัวเราะออกมา
ลู่หัวที่ไปตามอาหารก่อนหน้านั้น เดิมทีตั้งใจจะกลับมาถามเหมิงฉิงว่าอยากดื่มสุราหรือไม่ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขาอยู่หน้าประตู จึงอดรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจไม่ได้
เขาขมวดคิ้วแล้วเดินลงไปชั้นล่าง พลางคิดในใจ ‘ดูท่าจะสนุกมากเสียด้วย เช่นนั้นก็เอาสุราสักไหมาเพิ่มความสนุกสุดเหวี่ยงไปเลยเป็นอย่างไร!’
ตู้เหิงไม่ได้สนใจกับความรู้สึกของลู่หัว ไม่ว่าจะอดีตชาติก็ดี ชาตินี้ก็ดี นางมีความสัมพันธ์กับบุรุษน้อยมาก แต่กับชายหนุ่มที่มีลีลาการสนทนาไม่ธรรมดาอย่างเหมิงฉิงที่เพิ่งจะเจอกันไม่กี่ครั้ง กลับพูดคุยกับเขาได้
ไม่นาน นางก็เริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเหมิงฉิง
บางทีอาจเพราะเขาไม่ใช่คนที่หน้าไหว้หลังหลอก เพียงแต่การแย่งชิงอำนาจ ต้องมีกลยุทธที่ซ่อนอยู่ภายใน ถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะกลยุทธ์ลับหรือกลยุทธ์เปิดเผย ครั้นเปรียบเทียบบัลลังก์กับชีวิต จะต้องโยนทิ้งไว้เบื้องหลัง
สถานะในเวลานี้ของเหมิงฉิง อีกทั้งความทะเยอทะยาน ได้ตัดสินความไร้วาสนาและความจริงใจอย่างตรงไปตรงมาที่เขาแสดงออกมาในวันนี้อย่างสิ้นเชิง
เมื่อครั้งอดีตชาติเหมิงฉิงมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ทำได้ทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมาย หลังจากที่เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ถอนรากถอนโคนเชื้อสายของจักรพรรดิองค์ก่อนจนสิ้นซาก นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ราชวงศ์พึงมีหรือ?
ในทางกลับกันความมีน้ำใจและมีคุณธรรมในชาตินี้ สายเลือดของรัชทายาทองค์ก่อน สุดท้ายก็ต้องพบเจอกับหายนะ กระทั่งอ่อนแอเกินไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ความคิดเช่นนี้ทำให้ตู้เหิงค่อย ๆ ได้สติ กระทั้งได้ยินเหมิงฉิงเอ่ยถามนาง “แม่นางตู้กำลังคิดสิ่งใดหรือ?”
ตู้เหิงอึ้งงันเล็กน้อย มองเหมิงฉิงก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเบา “ข้ากำลังคิดว่า ท่านอ๋องน้อยเป็นคนเช่นไรกันแน่เจ้าค่ะ”
เหมิงฉิงคลี่ยิ้ม ในใจที่เดิมทีก็ไม่ได้ใส่ใจ เหมือนถูกสายลมพัดเป็นเกลียวคลื่น
เขาหาข้ออ้างลุกขึ้น แล้วเดินมาเปิดหน้าต่างอีกบาน ให้สายลมในฤดูร้อนพัดเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วพูดกับตู้เหิงว่า “แม่นางตู้ไม่คิดจะร่วมมือกับข้าแล้วใช่หรือไม่? ถึงตอนนี้จึงได้ครุ่นคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไร มันไม่สายเกินไปหรือ”
ตู้เหิงตัดสินอยู่ในใจ แล้วส่ายหน้าพลางพูดว่า “ท่านผิดแล้ว ยามที่ตัดสินใจว่าจะยกสิ่งของที่อยู่ในมือให้กับท่านอ๋องน้อย ก็ต้องยอมรับนิสัยใจคอของท่านให้ได้ วันนี้แค่คิดไปเรื่อยเท่านั้น ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
นางกล่าวอย่างเนิบนาบเชื่องช้า ราวกับมารยาทความเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ได้ฝังอยู่ในสายเลือดแล้ว วันนี้ได้หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง ก็ไม่ได้สูญเสียความเป็นตัวเองและคุณสมบัติของตัวเองแต่อย่างใด
ส่วนความดื้อรั้นที่ติดตัวนับตั้งแต่ที่ออกจากจวนตู้ ก็ค่อย ๆ แสดงออกมา
ในใจของเหมิงฉิงค่อนข้างมีความสนใจต่อตู้เหิง ถ้าไม่ใช่เพราะตำแหน่งพระชายาเอกและพระชายารองของตัวเองมีคนครอบครองไปแล้ว เขาก็ตั้งใจจะรับหญิงสาวที่งดงามและเฉลียวฉลาดเช่นนี้มาอยู่ในตำหนักหลังของตัวเอง
ต่อไปก็อภิเษกสมรสใหญ่โต เขาไม่อยากให้มีปัญหาใหม่เข้ามาแทรกเหมือนก่อนหน้านั้น
เหมิงฉิงทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “แม่นางตู้เฉลียวฉลาดมาก ไม่ทราบว่าต่อไปใครจะเป็นผู้โชคดีที่ยอมให้แม่นางตู้อยู่ร่วมกันอย่างเต็มใจ เป็นบัวพันกลีบที่รู้ภาษา[2]”
ตู้เหิงประหลาดใจกับคำพูดที่เขาโพล่งออกมาเช่นนี้
เหมิงฉิงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ก้มหน้าหลุบต่ำ สีหน้าที่แสดงออกมาถูกบดบังอยู่ในเงามืดครึ่งหนึ่ง ทำให้ตู้เหิงมองไม่ชัด
นางใช้คำพูดนี้มาอธิบายถึงคำชื่นชมที่จะมีหรือไม่มีอย่างชัดเจน แล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านอ๋องน้อยเป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยากยิ่งในเมืองหลวง และเป็นรัชทายาทของเชื้อพระวงศ์ ไฉนจะไม่เข้าใจคำว่า ‘บัวพันกลีบที่รู้ภาษา’?”
เหมิงฉิงยิ้ม โดยไม่พูดสิ่งใด
ตู้เหิงไม่ได้สนใจเขา เหมิงฉิงเองก็รู้ดี เพียงแต่ยังคงประหลาดใจ จึงกล่าวถาม “ถ้าข้าล่วงเกินแม่นาง แม่นางตู้เลือกที่จะไม่ตอบได้ แต่ข้าอยากรู้”
ตู้เหิงปรายตามองเขาเงียบ ๆ
“แม่นางตู้สนใจอาหัวจริง ๆ หรือ?”
คนถูกถามหัวเราะเบา ๆ หนึ่งเสียง กระทั่งเห็นฟันสีขาวเล็ก ๆ ที่แสดงออกมาภายใต้การปิดกั้นของริมฝีปากแล้วส่ายหน้า
เหมิงฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นแม่นางก็มีคนในใจแล้วใช่หรือไม่?”
ถ้านางไร้ที่พึ่งพิงและมีแผนการแล้ว เหมิงฉิงคิดว่า ถ้าหลายปีหลังจากนั้นเขามีกิจการใหญ่โตแล้ว บางทีอาจจะพระราชทานแต่งตั้งนามของตู้เหิงก็ได้
แต่ตู้เหิงกลับไม่ศรัทธา ได้แต่กล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านอ๋องน้อยถามเช่นนี้ เกินไปจริง ๆ ท่านอ๋องน้อยมักจะเป็นบุรุษที่ให้ความสำคัญกับการพูดและการวางตัวไม่ใช่หรือเจ้าคะ? เหตุใดถึงยังถามด้วยถ้อยคำที่เสียมารยาทเช่นนี้”
เหมิงฉิงยิ้ม โดยไม่พูดสิ่งใดอีก
ตู้เหิงมีคนในใจแล้วจริง ๆ เพียงแต่คนที่อยู่ในใจนั้น ต่อให้เหมิงฉิงเดาอย่างไรก็เดาไม่ออก
ชาติที่แล้วหลินเหราไม่เคยจงรักภักดีเฉกเช่นตอนนี้ แต่ได้รับความดีความชอบในด้านทหารจากซีเป่ยไม่น้อย
หลังจากที่เหมิงฉิงขึ้นรับตำแหน่ง เขาก็ค่อย ๆ แสดงศักยภาพของตัวเองออกมา ยามนั้นในระหว่างที่จักรพรรดิองค์ใหม่พยายามหยั่งรากอย่างมั่นคง เหมิงฉิงได้อาศัยจังหวะนี้ใช้หลินเหรา ให้ชายหนุ่มไปสร้างความมั่นคงให้กับชาติบ้านเมืองเพื่อเขา
แต่ชาตินี้ หลินเหราและเหยาเฉาได้รับคัดเลือกให้เป็นทหารใต้บัญชาของจักรพรรดิ ทั้งยังมีเซี่ยเชียนบุรุษที่ยากจะรับมือผู้นี้ ไม่รู้ว่าเหมิงฉิงจะสามารถแสดงความทะเยอทะยานของตัวเองได้อย่างราบรื่นหรือไม่?
และไม่รู้ว่าหากเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ในสักวัน จะจัดการกับหลินเหราและคนอื่นอย่างไร?
ตู้เหิงครุ่นคิดเช่นนี้ รู้สึกว่าเหตุการณ์ในราชสำนักนั้นกำลังปั่นป่วน ส่วนเส้นทางในภายภาคหน้าของตัวเอง ยังคงเต็มไปด้วยความไม่รู้และหลงทางอยู่เช่นนั้น…
…………………………………………………………………………………………………….
[1] ควบคุมอบรมตนให้เป็นไปตามหลี่ เป็นหนึ่งในคำสอนขงจื่อ ที่ให้ปฏิบัติตนตามจารีตประเพณี ศีลธรรมและมารยาทอันดีงาม
[2] “解语之花” เป็นบัวพันกลีบที่รู้ภาษา ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมากมายถึงขนาดเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของอีกฝ่าย
สารจากผู้แปล
ไม่แน่ว่าชาตินี้ลู่หัวอาจจะไม่เหมือนชาติเดิมก็ได้
ตู้เหิงจะหาทางลงจากหลังเสือยังไงหนอ หรือว่าชาตินี้จะจบไม่สวยกันนะ
ไหหม่า(海馬)