ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 348 ขุนนางต่างความคิด
บทที่ 348 ขุนนางต่างความคิด
บทที่ 348 ขุนนางต่างความคิด
ข่าวการสิ้นพระชนม์จากอาการป่วยของพระสนมกุ้ยเฟยแพร่สะพัดออกมา ตอนนั้นตู้เหิงอยู่ในจวน กำลังฟังเถ้าแก่คนใหม่ของโรงจำนำรายงานสถานการณ์ของกิจการในช่วงสองสามวันนี้
เด็กรับใช้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ใบหน้าดูตื่นตกใจ ก่อนจะพูดกับตู้เหิงว่า “แม่นางตู้ มีข่าวจากในวังแจ้งว่าพระสนมกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้วเจ้าค่ะ!”
ตู้เหิงลุกพรวดขึ้น จอกชาที่ร้อนจัดในมือได้พลิกคว่ำอย่างฉับพลัน ลวกมือที่ขาวเนียนของนางจนแดงเถือกเป็นวงกว้าง
“ไอ้หยา” อาซู่อุทานด้วยความตกใจ แล้วรีบเรียกคนรับใช้ไปนำที่ประคบเย็นมาประคบมือให้คุณหนู
ตู้เหิงกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดบนหลังมือแต่อย่างใด ยังคงยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม ไม่พูดสิ่งใดเนิ่นนาน
อาซู่เห็นหลังมืออันขาวเนียนของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีตุ่มน้ำพองขึ้นมา ดวงตาจึงแดงก่ำด้วยความร้อนใจอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะตะโกนใส่คนรับใช้ “เร็วหน่อย! เร่งมือหน่อยสิ ไม่เห็นหรือว่ามือของคุณหนูโดนลวกจนพองหมดแล้ว!”
ตู้เหิงเหมือนจะตื่นตระหนกตกใจกับเสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนใจของนางก็มิปาน จึงมองไปทางอาซู่ นัยน์ตานั้นว่างเปล่า แล้วพูดว่า “อาซู่ ข้าฟังผิดไปใช่หรือไม่? ท่านป้า ท่านป้าไม่อยู่แล้วหรือ?”
เถ้าแก่ของโรงจำนำรู้ว่านายหญิงของตัวเองมีสถานะไม่ธรรมดา แต่คาดไม่ถึงว่า นางจะเป็นหลานสาวของกุ้ยเฟยในวัง จึงได้แต่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง แม้แต่ลมหายใจก็ยังไม่กล้าพ่นออกมา
ตู้เหิงและคนรับใช้ไม่สนใจเขาชั่วคราว เพราะกำลังตื่นตกใจกับข่าวร้ายกะทันหันนี้
อาซู่กุมข้อมือคุณหนูของตัวเองด้วยความปวดใจ แล้วพูดเสียงต่ำว่า “คุณหนู เสียใจด้วยเจ้าค่ะ…สุขภาพของพระสนมกุ้ยเฟยในวังไม่ดีขึ้นเลย วันนี้ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องมาถึงเจ้าค่ะ”
ใบหน้าอันงดงามของตู้เหิงฉายแววเจ็บปวดและขมขื่น นัยน์ตาค่อย ๆ ฉายแววความเสียใจ มือที่ได้รับบาดเจ็บก็ราวกับไร้ความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ยังคงกุมมือของอาซู่ไว้แน่น
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มันไม่ควรเร็วเช่นนี้ ไม่ควรเร็วเช่นนี้…ยามได้เจอกับท่านป้าคราวที่แล้ว สีหน้าของนางยังสดใสอยู่เลย หมอหลวงยังกล่าวเลยว่านางมีชีวิตได้อย่างน้อยสองปี…”
เมื่อชาติที่แล้วหลังจากที่นางออกเรือน กุ้ยเฟยก็สิ้นใจ ซึ่งก็คือหลังจากนั้นอีกสองปี
ใบหน้าของอาซู่เต็มไปด้วยความเศร้าใจและขมขื่น แต่นั่นกลับเป็นเพราะท่าทางของตู้เหิง
นางกล่าวปลอบโยนด้วยเสียงต่ำ “คุณหนู เสียใจด้วยเจ้าค่ะ…พระสนมกุ้ยเฟยเองก็คงไม่อยากเห็นคุณหนูเป็นเช่นนี้”
เถ้าแก่โรงจำนำเห็นว่าถ้าตัวเองอยู่ที่นี่ต่อคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงแอบขยิบตาให้อาซู่ แล้วตัวเองก็แอบถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ
คนรับใช้ยกผ้าประคบเย็นเข้ามาอีกครั้ง อาซู่ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายออกไป จากนั้นก็ใช้ผ้าประคบหลังมือที่โดนน้ำร้อนลวกให้แก่ตู้เหิง พลางกล่าวด้วยเสียงเบา “คุณหนู ให้ข้าดูมือของคุณหนู…”
ตู้เหิงยื่นมือขวาออกมาอย่างว่าง่าย
ผ่านไปไม่นาน นางก็กล่าวถามเสียงต่ำ “อาซู่ เจ้าบอกหน่อยสิ เหตุใดท่านป้าถึงไม่รอเจอข้าสักครั้งก่อนสิ้นใจ? นางลืมข้าไปแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่?”
อาซู่รู้ว่าในใจของตู้เหิงมีกุ้ยเฟยอยู่ สิ่งที่ทำให้ตู้เหิงยากจะรับได้กับการสิ้นชีพอาการป่วยของกุ้ยเฟยก็คือ กุ้ยเฟยไม่มีคำบอกลาก่อนสิ้นใจให้แก่นางแม้แต่คำเดียว
สาวใช้ไม่รู้ว่าจะปลอบใจตู้เหิงได้อย่างไร ทำได้เพียงพูดว่า “เมื่อครั้งคุณหนูยังวัยเยาว์ คุณหนูได้เติบโตอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของพระสนมกุ้ยเฟย ต่อมาเป็นเพราะเรื่องอื่น พระสนมจึงได้รู้สึกไม่คุ้นเคยต่อในจวนอีก ไม่ยอมให้คุณหนูเข้าวังบ่อยนัก เรื่องนี้คงโทษคุณหนูไม่ได้”
อาซู่พูดถูกต้อง ในอดีตชาติ กุ้ยเฟยต้องห่างเหินกับตู้เหิงเนิ่นนานหลายปี สาเหตุเพราะตระกูลตู้ แต่ในชาติที่แล้วตู้เหิงค่อย ๆ คลายปมในใจของกุ้ยเฟย และได้อยู่ในช่วงสุดท้ายในชีวิตของผู้เป็นป้า
คาดไม่ถึงว่าชาตินี้แม้แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิตนางก็ไม่ขอเจอตน
นัยน์ตาของตู้เหิงค่อย ๆ รื้นด้วยหยาดน้ำตา และไหลรินอาบแก้มที่เนียนใสของนางอย่างเชื่องช้า “อาซู่ ข้าควรอยู่เป็นเพื่อนท่านป้า ทำไมข้าถึงไม่ยอมไปอยู่กับท่านป้า? ถ้าข้าไม่เห็นแก่ตัวเช่นนั้น ท่านป้าคงไม่จากไปพร้อมกับปมในใจเช่นนี้…”
หัวใจของอาซู่สุดจะทนไหว ทำได้เพียงพูดเสียงแผ่วเบาอย่างต่อเนื่อง “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณหนู ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูนะเจ้าคะ ที่องค์ชายน้อยทรงสิ้นพระชนม์ตั้งแต่วัยเยาว์ นั้นเป็นความผิดของจวนตู้ ไม่เกี่ยวกับคุณหนู อีกอย่างการสิ้นพระชนม์ของพระสนมในครั้งนี้ ก็ไม่มีผู้ใดคาดคิด….”
ตู้เหิงกำหมัดด้วยความเจ็บปวด น้ำตาหลั่งรินเป็นสาย “ไม่รู้การเข้าวังของท่านย่าในคราวนี้ นางไปพูดอะไรบ้าง! กลัวจะเป็นเรื่องความโปรดปรานในจวนตู้อีกน่ะสิ เดิมทีท่านป้าทนความยั่วยุไม่ไหวอยู่แล้ว เหตุใดท่านย่าถึงไม่ยอมคิดไตร่ตรองเพื่อบุตรสาวของตัวเองบ้าง?”
ยากนักที่จะได้เห็นคุณหนูในท่าทีอ่อนแอเช่นนี้ ถึงแม้อาซู่จะปวดใจก็ได้แต่จนปัญญา ทำได้แค่ร้องไห้เป็นเพื่อนตู้เหิงอย่างเงียบ ๆ
นายและบ่าวร้องไห้กันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายแม่นมก็เข้ามาปลอบใจตู้เหิงครู่หนึ่ง แล้วโน้มน้าวให้นางกลับเข้าห้อง
ช่าวการสิ้นใจจากอาการป่วยของกุ้ยเฟยสร้างความปั่นป่วนต่อราชสำนักไม่น้อย
ในวังหลังตอนนี้ ตำแหน่งจักรพรรดินียังคงว่าง กุ้ยเฟยที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดต้องสิ้นพระชนม์ไปอีกคน ประกอบกับท่าทีของจักรพรรดิที่ไม่มีความกระตือรือร้นในการคัดเลือกสนม ในวังหลังจึงไม่มีนางสนมหน้าใหม่มานานแล้ว
นางสนมหน้าใหม่เพียงคนเดียวในตอนนี้คือสาวใช้ที่ตระกูลเซี่ยส่งเข้าไป ตอนนี้กำลังเป็นที่โปรดปราน ตำแหน่งก็ค่อย ๆ เลื่อนสูงขึ้น
เหล่านางสนมที่เหลือจึงนั่งไม่ติด
วันที่สองหลังจากที่กุ้ยเฟยจากไป จักรพรรดิกำลังปรึกษาหารือเรื่องการจัดงานศพกับฝ่ายพิธีอยู่ในราชสำนัก แต่กลับมีคนเอ่ยเรื่องคัดเลือกสนมอย่างคลุมเครือ
ผู้ที่เสนอคือใต้เท้าจ้าวแห่งกรมพิธีการ พี่ชายของจิ้งเฟย[1]
“กราบทูลฝ่าบาท พิธีการฝังศพของพระสนมกุ้ยเฟย ฝ่ายพิธีการได้ร่างกำหนดการไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญฝ่าบาททรงตรวจทานพ่ะย่ะค่ะ”
ใต้เท้าจ้าวถวายสาส์นเบื้องหน้าด้วยความเคารพ ต๋ากงกงรับไปแล้วถวายแด่จักรพรรดิ
จักรพรรดิอ่านอย่างละเอียดหนึ่งรอบ กำหนดการไม่แตกต่างจากกำหนดการของกุ้ยเฟยในอดีตสักเท่าใด ไม่จำเป็นต้องให้เขาทำการแก้ไขอะไรมากนัก
กุ้ยเฟยอยู่ร่วมกับเขาในวังมานานหลายปี แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้มีความลึกซึ้งต่อกันมากนัก แต่กลับมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน
พระองค์ตั้งใจแต่งตั้งพระราชทินนามให้แก่กุ้ยเฟย เพื่อให้พิธีฝังศพนั้นออกมางดงามที่สุด แล้ววางแผนจะสละราชบัลลังก์
คาดไม่ถึงว่าใต้เท้าจ้าวกลับเอ่ยปาก “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเพิ่งจะทรงลุกขึ้นยืน ทำได้เพียงต้องประทับกลับลงไป พระพักตร์แสดงความกระวนกระวายใจที่ยากจะสังเกตเห็น “เชิญกล่าว”
ใต้เท้าจ้าวรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าวอย่างฉะฉาน “บัดนี้นางสนมที่อยู่ในวังหลังต่างก็เริ่มไร้ชีวิตชีวา หลังการสิ้นพระชนม์ของพระสนมกุ้ยเฟย ตอนนี้แม้แต่ผู้ที่จะเป็นเสาหลักก็ยังหาไม่ได้ กระหม่อมคิดว่า เมื่อวังหลังสงบลง ฝ่าบาทน่าจะทรงมีเวลาและให้ความสนใจกับราชวงศ์มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
พระขนงของจักรพรรดิได้ขมวดกันอย่างฉับพลัน
พระองค์สูดอากาศเข้าลึก ๆ ครุ่นคิดในพระทัยว่าจะขับไล่ไอ้พวกสัตว์ตัวขนอย่างแซ่จ้าวออกจากตำแหน่งที่สำคัญในราชสำนักได้อย่างไร แต่ยังคงควบคุมสีพระพักตร์ไว้ได้ “ข้ารู้ ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไหม?”
ใต้เท้าจ้าวยังคงกล่าวอย่างไม่ลดละ “ฝ่าบาท บัดนี้ถึงเทศกาลตวนอู่แล้ว ซึ่งเป็นวันที่ดีในการพบหน้ากันและขจัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป วังหลังเองก็ควร…”
สีพระพักตร์ของจักรพรรดิค่อย ๆ หม่นหมองลง สาส์นกราบทูลในพระหัตถ์ถูกขยำแน่น ในที่สุดก็โยนใส่ใต้เท้าจ้าว “จ้าวปิ่ง ข้าเพิ่งเสียกุ้ยเฟยไป! เทศกาลตวนอู่เป็นวันที่ดีเช่นนั้นหรือ? หือ? ให้จิ้งเฟยกลับบ้านไปสักสองสามวันอยู่กับครอบครัวเจ้าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นอย่างไร?!”
ใต้เท้าจ้าวเห็นจักรพรรดิกำลังกริ้ว จึงรีบคุกเข่าลง “กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนี้ ได้โปรดฝ่าบาทระงับโทสะเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่กรมพิธีการคุกเข่าลง ขุนนางฝ่ายพิธีการที่อยู่ด้านหลังก็ทยอยกันคุกเข่าลงพื้น “ฝ่าบาท ที่ใต้เท้าจ้าวกล่าวเพราะเห็นแก่บ้านเมืองของเจียงหนาน หวังว่าฝ่าบาทจะทรงให้อภัยแก่ใต้เท้าจ้าวที่เสียมารยาทพ่ะย่ะค่ะ!”
มีข้าหลวงผู้หนึ่งได้กล่าวทัดทานไว้ “สิ่งที่ใต้เท้าจ้าวกล่าว สมเหตุสมผลไม่น้อย บัดนี้วังหลังต่างก็ไร้ชีวิตชีวา ฝ่าบาททรงมีรัชทายาทอย่างองค์ชายใหญ่เพียงพระองค์เดียว น่าจะเตรียมการไว้นะพ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์ของจักรพรรดิแทบจะระเบิดสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา
เขาคิดว่าความสัมพันธ์กับกุ้ยเฟยคือการเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ได้มีความลึกซึ้งมากนัก แต่กลับรู้สึกเสียใจไม่น้อยกับการจากไปของหญิงสาวที่อยู่ร่วมกับเขามานานหลายปี แต่หลังจากที่นางจากไปไม่นาน ชายังไม่ทันเย็นชืด ก็มีขุนนางหลายคนในราชสำนักคิดจะเติมเต็มวังหลังให้แก่เขาเสียแล้ว?
ดูท่าบุรุษผู้นี้คงจะตัดสินใจไว้นานแล้ว รอเพียงแต่ให้กุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์จากอาการป่วยเท่านั้น!
จักรพรรดิบันดาลโทสะอยู่ในพระทัย โชคดีที่ภายในราชสำนักยังมีเซี่ยเชียนยืนอยู่ข้างกาย
เขาในฐานะผู้นำฝ่ายกลาโหมจึงต้องแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีดำขอบม่วง เดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าแผนการในตอนนี้คือการนำพระศพของกุ้ยเฟยฝังในสุสานของเชื้อพระวงศ์ เรื่องอื่นเราค่อยปรึกษาหารือกันทีหลังพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิพยักพระพักตร์ “ขุนนางเซี่ยพูดถูก”
ครั้นขุนนางในราชสำนักเห็นพวกเขาสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่นานก็สร้างความโกลาหลให้แก่การคัดเลือกใหญ่ ในใจพลันเกิดความไม่ยินยอมคิดจะส่งเสียงออกไป กลับถูกจักรพรรดิดักทางไว้เสียก่อน
“ข้าและพระสนมเอกของข้าเป็นสามีภรรยาที่มีความลึกซึ้งต่อกัน แม้ว่ากุ้ยเฟยจะไม่ได้ครองตำแหน่งฮองเฮา แต่กลับเป็นคนข้างกายของข้าที่ยากจะมีใครแทนที่ได้! วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว ก่อนที่จะฝังร่างของกุ้ยเฟย อย่าให้ข้าได้ยินเรื่องการคัดเลือกคนเข้าวังหลังอีก”
ครั้นเห็นจักรพรรดิใช้คำว่า ‘สามีภรรยา’ คำนี้ ขุนนางที่รู้ดีแก่ใจว่าเขาไม่ได้มีความลึกซึ้งต่อกุ้ยเฟยมากนักก็ทำได้แค่กลืนคำที่จะพูดลงไป แล้วทยอยกันก้มหน้าตอบรับ
จักรพรรดิอดกลั้นความไม่สบอารมณ์ไว้ในใจ แล้วจ้องเขม็งมายังภาพที่แสนวุ่นวายฉากนี้ เบื้องล่างของบันไดหยก กวานบนศีรษะของขุนนางที่ก้มหัวเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกรังเกียจในใจ
เห็นได้ชัดว่านี่คือท้องพระโรงของเขา คนกลุ่มนี้เป็นขุนนางของเขา ทว่าจนถึงบัดนี้เขากลับไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้
ฉลองพระองค์สีทองอร่ามถูกสะบัดจนเกิดเป็นรัศมีหนึ่ง พร้อมกับพระองค์ที่เสด็จออกจากท้องพระโรงโดยไม่หันกลับมาทอดพระเนตร
กระทั่งมีเสียงแหลมเสียดแก้วหูของต๋ากงกงดังขึ้นด้านหลัง “ถอย…“
เขาวิ่งตามจักรพรรดิที่มีสีพระพักตร์ถมึงทึงออกไป ก่อนจะตามทัน จากนั้นได้หันกลับไปมองเซี่ยเชียนที่มีสีหน้านิ่งเฉยแวบหนึ่ง แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายในเงียบ ๆ ยังดีที่ในราชสำนักมีใต้เท้าเซี่ยอยู่หนึ่งคน มิเช่นนั้นวันนี้คงไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………
[1] จิ้งเฟย คือตำแหน่งสนมเอกชั้นเฟยที่อยู่รองลงมาจากกุ้ยเฟย
สารจากผู้แปล
ชาตินี้กุ้ยเฟยรู้ถึงเรื่องระยำตำบอนของเธอหรือเปล่านังตู้ถึงได้โกรธจนไม่อยากเจอหน้า ตายแล้วก็ไม่ให้มาเผาผี
ใต้เท้าจ้าวหาเรื่องเหรอ ตอนนี้นอกจากสหายคู่พระทัยแล้วฮ่องเต้ก็ไม่พร้อมรับใครทั้งนั้นแหละ
ไหหม่า(海馬)