ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 355 เหยาเฉาถูกรังเกียจ
บทที่ 355 เหยาเฉาถูกรังเกียจ
บทที่ 355 เหยาเฉาถูกรังเกียจ
เมื่อเหยาเฉายกน้ำอุ่นที่สะอาดอ่างหนึ่งเข้ามาในห้องหนังสือ เพียงแวบเดียวที่เห็นผ้าพันแผลสีขาวบนหน้าอกของเสี่ยวเว่ยมีเลือดซึมออกมาอีกครั้ง ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ทำไมเลือดยังออก เจ้าขยับตัวมั่วซั่วใช่หรือไม่?”
สีหน้าของเสี่ยวเว่ยไม่สู้ดีนัก ก่อนจะพูดเสียงแข็ง “เปล่าเสียหน่อย!”
เหยาเฉาสังเกตสีหน้าของเสี่ยวเว่ยอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเหมือนจะขุ่นเคืองไม่น้อย จึงได้แต่พูดอย่างจนปัญญา “ข้าไปเพียงครู่เดียว เจ้าทำอะไร? แผลถึงได้ปริเช่นนี้ หือ?”
เสี่ยวเว่ยไม่พูดสิ่งใด แต่ใบหน้านั้นยังคงความไม่สบอารมณ์
เหยาเฉาจึงต้องแกะผ้าพันแผลอย่างจำใจ แล้วทำการใส่ยาลงบนบาดแผลที่ปริออกของเขาซ้ำอีกรอบ จากนั้นก็หยิบผ้าพันแผลผืนใหม่มาพันทับกันไปมา สุดท้ายก็มัดเป็นปมอยู่บนหน้าอกของเสี่ยวเว่ย
เขาพูดเสียงต่ำ “เอาละ ต่อไปก็อย่างขยับตัวมั่วซั่วอีกล่ะ เข้าใจหรือไม่?”
เด็กหนุ่มยังคงแสดงท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างนั้น
เหยาเฉาจึงได้แต่ยิ้มอย่างจนปัญญา ก่อนใช้ผ้าสะอาดที่ถืออยู่ในมือซับเหงื่อบนหน้าของเขา กระทั่งเช็ดมาถึงมือขวาของเสี่ยวเว่ย สายตาอันเฉียบคมเหลือบไปเห็นรอยขีดข่วนที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าว่าอยู่ว่าทำไมอยู่เฉย ๆ แผลเจ้าถึงปริได้ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เสี่ยวเว่ยดึงมือขวาของตัวเองกลับมา และขมวดคิ้วแน่น “ท่านไม่ต้องสนใจ!”
เหยาเฉาจ้องเขม็งไปยังเสี่ยวเว่ยครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มคิดย้อนกลับว่าเมื่อครู่ตัวเองได้พูดยั่วโมโหอะไรเด็กหนุ่มหรือไม่
เขาทอดถอนใจเบา ๆ แล้วใช้น้ำเสียงในเชิงปรึกษาพูดขึ้น “ข้าไม่ได้จำกัดอิสระของเจ้า แค่สองสามวันนี้บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดี มันปริได้ง่าย ต้องขยับน้อย ๆ เข้าใจหรือไม่?”
เสี่ยวเว่ยมีนิสัยชอบให้ใช้ไม้อ่อน ครั้นเห็นท่าทางของเหยาเฉาดูอ่อนโยนลง แรงต่อต้านในใจของเขาก็ไม่ได้มากเพียงนั้นแล้ว
แต่ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยยังไม่สบอารมณ์ “บาดแผลของข้า เป็นแผลที่ข้าทำเอง และมันก็คือร่างกายของข้า จะปริหรือไม่ปริ เกี่ยวอะไรกับผู้อื่น?”
เหยาเฉาคล้อยตามความหมายของเขา “ใช่ ใช่ ใช่ เจ้าอยากทำอะไรก็ได้ ข้าไม่สนใจเจ้าหรอก แต่ในช่วงสองสามวันนี้เจ้าต้องอดทน ให้บาดแผลค่อย ๆ ดีขึ้น ถือว่าคลายความละอายใจให้ข้าแล้วกัน”
เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้ว “ท่านจะละอายใจอะไร?”
เหยาเฉามองตาของเด็กหนุ่ม “ข้าละอายใจอะไร? ก็ข้าเป็นคนทำให้เจ้าบาดเจ็บทั้งตัวเช่นนี้ เจ้าว่าข้าจะละอายใจอะไรได้อีกเล่า?”
หัวคิ้วของเสี่ยวเว่ยขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม ก่อนจะพูดอย่างหมดความอดทน “ข้าบอกแล้ว ว่าแผลนี้ข้าเป็นคนสร้างเอง! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเซ่อซ่าเข้าไปได้ฟังบทสนทนาของพวกเขาสองคน ก็คงไม่ต้องถูกองครักษ์จับได้ แล้วได้รับบาดเจ็บเช่นนี้หรอก!”
สีหน้าของเหยาเฉาอ่อนโยนลง นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกที่เสี่ยวเว่ยไม่เข้าใจ
ร่องรอยบนหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็ดูอ่อนลง ประกอบกับน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยขึ้นคำหนึ่ง “เด็กโง่”
เสี่ยวเว่ยมองนัยน์ตาดอกท้อที่ฉายแววอ่อนโยนคู่นั้นอย่างไม่ละสายตา ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เมินหน้าไปทางอื่นก่อนจะพูดด้วยความอึดอัด “ข้าสิบเจ็ดปีแล้ว ไฉนถึงยังเป็นเด็ก? ลูกชายของพี่ต่างหากที่เป็นเด็ก”
เหยาเฉากล่าวเสียงแผ่วเบา “สิบปีและสิบเจ็ดปี มันต่างกันเท่าไรกันเชียว? บางครั้งเจ้าก็ยังสู้ลูกชายข้าไม่ได้ อย่างน้อยยามเอ้อหลางหิวก็ตะโกนบอกว่าหิว เจ็บก็ร้องโอดครวญว่าเจ็บ แล้วเจ้าล่ะ?”
เสี่ยวเว่ยหันกลับมา แล้วพูดด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “พี่กำลังสั่งสอนข้าหรือ? เมื่อครู่พี่โกรธแล้วครั้งหนึ่ง นี่พี่ยังจะโกรธอีกหรือ?”
เหยาเฉาตะลึงงันไปชั่วขณะ ตกใจที่เขาคิดเช่นนี้ แต่ครั้นนึกย้อนกลับไปยังบุคลิกขี้โมโหคล้ายกับตัวเม่นของเด็กหนุ่ม จึงได้เข้าใจ
เขามองตาของเสี่ยวเว่ย แล้วพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้จะสั่งสอนเจ้า เมื่อครู่ข้าโกรธ ก็ไม่ได้ระบายอารณ์ใส่เจ้า”
เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้ว “ไม่ระบายใส่ข้า แล้วจะระบายใส่ใคร? ที่นี่มีแค่ข้ากับท่านสองคน หรือว่าระบายใส่ตะเกียงน้ำมัน ระบายใส่อ่างน้ำใบนี้เช่นนั้นสิ?”
เหยาเฉาหัวเราะเบา ๆ “ใช่ ที่นี่มีแค่เจ้ากับข้าสองคน ความโกรธของข้าย่อมระบายใส่ตัวข้าเอง”
คราวนี้เป็นฝ่ายเสี่ยวเว่ยที่ต้องตะลึงงัน
กระทั่งได้ยินเหยาเฉาพูดว่า “เรื่องในครั้งนี้ เป็นข้าเองที่คิดไม่รอบคอบ เหมิงฉิงมีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์ รอบตัวจะต้องมีองครักษ์เฝ้ารักษาอยู่ไม่ห่าง ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในตอนนี้กำลังปั่นป่วน เขายิ่งต้องระมัดระวังตัว ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ข้าไม่น่าให้เจ้าตามไปชานเมืองด้วยเลย สุดท้ายก็ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ”
ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แล้วถามเขา “เจ้าไม่โกรธที่ข้าสร้างความเดือดร้อน จนแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนั้นหรือ?”
เหยาเฉาขมวดคิ้ว “เป็นไปได้อย่างไรเล่า?”
ทั้งสองคนมองกันและกันครู่หนึ่ง จู่ ๆ เหยาเฉาก็โพล่งออกไป “เมื่อครู่เจ้าโกรธเพราะเรื่องนี้?”
เสี่ยวเว่ยไม่พูดสิ่งใด แค่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์
ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความเข้าใจ แล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าจะโกรธมันก็สมควร ปฏิบัติการแทนข้าตั้งหลายอย่างจนได้รับบาดเจ็บ กลับมาข้ายังพาลโกรธใส่เจ้าอีก มันน่าโมโหอยู่หรอก แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็อย่าใช้กำปั้นทุบเตียง ร่างกายของเจ้ายังบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย…”
เสี่ยวเว่ยพูดด้วยความกลุ้มใจ “รู้แล้ว รู้แล้ว!”
เรื่องที่เขาไม่ได้อธิบายกับเหยาเฉาคือ แม้ว่าเหยาเฉาจะตำหนิที่เขาทำไม่ดี แต่เขาก็ไม่เคยโกรธเหยาเฉาเพราะเรื่องนี้
เขาแค่รู้สึกว่า ตัวเองจะต้องระมัดระวังมากขึ้น ต้องช่วยพี่รองให้มากกว่านี้…
ครั้นเห็นเสี่ยวเว่ยไม่ได้มีสีหน้าเย็นชามากเพียงนั้นแล้ว เหยาเฉาจึงแอบโล่งใจเงียบ ๆ ไม่โทษกล่าวที่เขาว่าเสี่ยวเว่ยเป็นเด็ก อย่างน้อยเอ้อหลาง ก็ไม่ได้มีความคิดเป็นเด็ก ๆ ที่ต้องให้เขาคาดเดาไปมา จึงยอมประนีประนอมด้วยความอดทน
ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยมีญาติ อีกทั้งสหายคนสนิทก็ยังน้อย นิสัยก็คร่ำครึ
คิดได้เช่นนี้ เหยาเฉาจึงพูดขึ้น “ประจวบเหมาะกับที่เจ้าบาดเจ็บและต้องพักรักษาตัวพอดี เราควรจะนำเรื่องที่พูดกันไว้ก่อนหน้านั้นเสนอในที่ประชุมด้วย”
เสี่ยวเว่ยตะลึงงัน “เรื่องอะไร?”
เหยาเฉาเผยรอยยิ้ม “จะเรื่องอะไรอีก? ก่อนหน้านั้นข้าให้เจ้าออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอก จึงไม่ได้เจอกับท่านพ่อและท่านแม่ของข้า อาวุโสทั้งสองคนก็ไม่เคยหยุดบ่นว่าอยากเจอเจ้าแม้แต่ครั้งเดียว”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดเด็กหนุ่มชัดเจนนักว่าเขาอยากให้พ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยายอมรับเสี่ยวเว่ยเป็นลูกชายอีกคน
แต่ทั้งสองฝ่ายยังต้องได้รับการขัดเกลา และจะต้องได้รับความยินยอมจากเสี่ยวเว่ย เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันหลังจากนี้
ครั้นเสี่ยวเว่ยเห็นเขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จึงอดใคร่สงสัยไม่ได้ “เจอท่านลุงกับท่านป้า…ข้าจะต้องทำสิ่งใดหรือไม่?”
เหยาเฉายิ้ม “ให้เจ้าทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ? อยู่ดื่มชาและพูดคุยเป็นเพื่อนพวกเขาได้หรือไม่เล่า?”
สีหน้าของเสี่ยวเว่ยค่อย ๆ แสดงความแปลกใจ
ถ้าให้เขาไปทะเลาะกับผู้อื่น ต่อสู้กับศัตรู มันคงง่ายยิ่งกว่า การดื่มชาและกินขนมกับผู้อาวุโส เขาช่างเหมือนกับสาวใหญ่ขึ้นเกี้ยว ถือว่าเป็นครั้งแรกจริง ๆ
เหยาเฉาเห็นถึงความแข็งกระด้างของเด็กหนุ่ม จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลสิ เจ้าเองก็เคยเจอเอ้อหลางแล้ว พรุ่งนี้ตามเขาไปเที่ยวเตร่สักวันสิ กลางคืนค่อยคุยเรื่องอื่น”
ดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือกิ่งยอดหลิว ท้องฟ้ามืดสนิท เหยาเฉาจึงพาเสี่ยวเว่ยไปพัก
เหยาเฉาทิ้งอุปกรณ์จำพวกมีด กรรไกร ยาจินชวงไว้ในห้องหนังสือ ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาเก็บแต่เช้า ตอนนี้ทำได้แค่ต้องเฝ้าเสี่ยวเว่ยอย่างระมัดระวัง พาเขาไปยังห้องรับแขก
“เราทำความสะอาดห้องไว้นานแล้ว ภรรยาของข้ารู้ว่าเตรียมไว้ให้เจ้า จึงตั้งใจเย็บผ้าห่มใหม่ทั้งเตียง แล้วยังนำผ้าห่มอะไรเหล่านั้นไปตากแดดให้หนึ่งรอบ ….แต่คิดว่าตอนนี้เป็นฤดูคิมหันต์แล้ว เจ้าคงไม่ต้องใช้ผ้าห่ม”
เหยาเฉากำลังจะหยิบผ้าห่มที่ปูอยู่บนเตียงออกไป แต่กลับได้ยินเสี่ยวเว่ยพูดว่า “อย่าวุ่นวายเลย ข้านอนบนพื้นก็ได้”
เขาไม่ค่อยเจอใครที่มีความหวังดีเช่นนี้ ได้ยินสะใภ้รองเหยาตั้งใจเย็บและนำมันออกไปตากแดดให้ จิตใต้สำนึกเสี่ยวเว่ยจึงไม่อยากให้เหยาเฉาเก็บออกไปเช่นนี้
ชายหนุ่มได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จึงช่างมัน แค่ตรวจสอบมุ้งอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ ให้ความใส่ใจและตั้งใจเหมือนกับยามที่ปฏิบัติต่อเอ้อหลาง “เจ้าบาดเจ็บอยู่ กลางคืนไม่ต้องสวมชุดจงอี ข้าดึงมุ้งมาปิดแล้ว ไม่มีทางโดนลมแน่นอน ที่นี่ยังมีเสื้อผ้าสะอาด ๆ ชุดหนึ่ง พรุ่งนี้ก็ใส่…”
หลังจากกำชับเรื่องเหล่านี้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็วางตะเกียงน้ำมันในมือลงบนโต๊ะ แล้วพูดต่อ “ข้าเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาเต็มทีแล้ว ในห้องขาดก็แต่ชา แต่การดื่มชายามราตรีไม่ดีนัก ข้าจะไปรินน้ำเปล่าให้ เจ้าจะได้ไม่สะดุ้งตื่นกระหายน้ำกลางดึก”
เสี่ยวเว่ยหยุดชะงักทันที แล้วมองเหยาเฉาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “เหตุใดท่านต้องจู้จี้เช่นนี้ด้วย?”
เขาไม่ชอบบุรุษพูดมาก นับตั้งแต่เหยาเฉาเอ่ยถึงเรื่องเสื้อผ้า ครั้นเห็นเขาเริ่มพูดจุกจิกเรื่องน้ำชาและน้ำเปล่า ตนจึงอยากให้เหยาเฉารีบออกไป
ชายหนุ่มถึงกับสำลัก นัยน์ตาดุจดอกท้อคู่นั้นเบิกโพลง และพูดว่า “เหตุใดถึงได้จู้จี้? แล้วที่ข้าคอยกำชับ เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเว่ยยิ้ม “ไม่ได้ยิน ข้าจะนอน”
เหยาเฉาหัวเราะเบา ๆ แล้วมองเข้าไปในมุ้งที่เด็กหนุ่มถอดเสื้อนั่งอยู่ จากนั้นก็ดับไฟตะเกียงน้ำมัน ทำให้แสงสว่างในห้องมืดสนิทลงอีกครั้ง
เขาพูดเสียงต่ำ “เอาละ ไม่รบการนอนของเจ้าละ รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
เสี่ยวเว่ยตอบรับหนึ่งเสียง ยืนส่งแผ่นหลังของเขาให้เดินจากไป กระทั่งปิดประตูลานบ้านอย่างเบามือ
เขาโยนเสื้อผ้าที่สกปรกลงบนพื้น แล้วเอนกายนอนหงายอยู่บนเตียง บนตัวมีผ้าห่มผืนใหม่ที่เหยาเฉาพูดถึง
เสี่ยวเว่ยหลับตาสัมผัสกับความอ่อนนุ่มที่ได้รับ แล้วหันข้างไปสูดดม กลิ่นอายแดดค่อย ๆ ทำให้เขาเคลิ้มหลับไปในที่สุด
ดูท่าไม่เพียงแต่พี่รองที่ดีแล้ว คนในตระกูลของพี่รอง ก็ดีมากเช่นกัน…
………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหมือนรับอุปการะเด็กกำพร้าเข้าตระกูลมาอีกคนหนึ่งเลย ในที่สุดเสี่ยวเว่ยก็มีบ้านแล้วนะ
ไหหม่า(海馬)