ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 357 การกระทำของหลินเหรา
บทที่ 357 การกระทำของหลินเหรา
บทที่ 357 การกระทำของหลินเหรา
เหยาเฟิงและเหยาซูลงใต้ครานี้ได้เก็บเกี่ยวสินค้ากลับมามากมาย
ปีนี้ทางตอนใต้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองสงบสุข คนเลี้ยงไหมไม่ต้องประสบกับความลำบากอะไรเพียงนั้นแล้ว ทำให้ได้รับเส้นใยในปริมาณมากกว่าปีก่อน ๆ
ตอนนี้ไม่มีการสู้รบกันในราชสำนักแล้ว กระทั่งกิจการผ้าไหมของทางตอนใต้ก็ดีขึ้นไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นช่างฝีมือจำนวนมากต่างก็รังสรรค์ผ้าไหมอันงดงามรูปแบบใหม่ออกมาอีกมายมาย
การนำเข้าสินค้าก่อนหน้านั้น เหยาเฟิงมักจะเลือกใช้วัสดุผ้าที่ราคาจับต้องได้ แต่คราวนี้เขาคำนึงถึงร้านขายผ้าที่พวกเขาจะเปิดตัวในเมืองหลวง วัสดุผ้าที่บางเบาและหรูหรานั้นจำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก
ประกอบกับในปีนี้ผ้าไหมค่อนข้างเป็นที่จับตามอง เหยาซูจึงต้องยอมเสียเงินกว่าครึ่งไปกับผ้าไหม
ระหว่างทางกลับ สองพี่น้องปรึกษาหารือเกี่ยวกับกิจการร้านขายผ้าในอนาคตว่าจะทำกันอย่างไร หลังจากผ่านการพูดคุยปรึกษากันแล้ว ทั้งสองคนจึงเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย
ช่วงเวลาที่กลับบ้าน เป็นช่วงสายลมสารทฤดูพอดี ทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นมาก
เมื่อรถม้าหยุด คนรับใช้ในจวนก็มาช่วยทั้งสองคนขนของ เหยาซูสั่งให้พวกเขายกผ้าไหมที่มีราคาแพงที่สุดบนรถคันหนึ่งเข้าไป ขณะที่กำลังนำคนมาขนผ้า เสียงที่เต็มไปด้วยความปีติยินดีของอาจื้อและอาซือก็ดังขึ้น “ท่านแม่! ท่านแม่!”
เหยาซูไม่สนใจสินค้าตรงหน้าอีก รีบหันกลับไปมอง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มออกมาทันใด
เด็กทั้งสองคนโผมาตรงหน้าของเหยาซู แล้วกอดขาของนางซ้ายคนหนึ่งและขวาคนหนึ่ง จากนั้นก็พูดซ้ำไปมา “ท่านแม่ ในที่สุดท่านแม่ก็กลับมา! ในที่สุดท่านแม่ก็กลับมา!”
เหยาซูลูบศีรษะของบุตรชายและบุตรสาว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ แม่กลับมาแล้ว มานี่มา ให้แม่ดูหน่อยสิ พวกเจ้าสองคนสูงขึ้นเพียงไหนแล้ว?”
อาจื้อกอดอก ส่งเสียงหัวเราะก่อนจะพูดว่า “ข้าสูงขึ้นครึ่งคืบ ส่วนน้องยังไม่สูงขึ้นขอรับ”
อาซือเบิกตากว้างมองพี่ชายแวบหนึ่ง แล้วแย่งพูด “ท่านแม่! ต่อให้ข้าจะไม่ได้สูงขึ้น แต่ก็อ้วนขึ้นนะเจ้าคะ!”
เหยาซูหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นก็บีบแก้มที่เนียนนุ่มของเด็กหญิงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างขบขัน “อ้วนขึ้นหรือ? เหตุใดแก้มของเจ้าถึงยังกลมไม่พอ? หือ?”
ในขณะที่นางกำลังพูดคุยกับเด็กทั้งสองคน ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบเงยหน้าขึ้นฉับพลัน
กระทั่งเห็นชายหนุ่มที่ทำให้นางถวิลหาทุกเช้าค่ำ กำลังยกเท้าข้ามธรณีประตู แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ตรงมาทางนาง
เหยาซูคลี่ยิ้ม อ้าปากกำลังจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่ง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยออกมาก็ถูกหลินเหราสวมกอดเสียแล้ว
“ไอหยา ไม่ใช่สิ ท่านช้าก่อน…”
นางพ่นลมหายใจเบา ๆ
นี่มันข้างนอกนะ อีกทั้งยังอยู่หน้าประตูตระกูลเหยาด้วย คนก็พลุกพล่าน ไม่เพียงแต่ตระกูลของตนที่เห็นแล้ว คนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปมาเหล่านั้นก็ล้วนเห็นกันหมด
เหยาซูถูกหลินเหรากอดรัดแน่นจนใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อทันที
น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นข้างหูของนาง โดยไม่ให้เด็กทั้งสามคนได้ยิน “อาซู ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที”
หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความคนึงหาอยู่ลึก ๆ ในน้ำเสียงของหลินเหรา นัยน์ตาจึงเปล่งประกายออกมาโดยไม่สนใจผู้อื่นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัวแล้วกอดตอบเขา
“ข้ากลับมาแล้ว ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน ก็ไม่นานมาก…”
หลินเหราไม่พูดสิ่งใด แต่ในใจกลับครุ่นคิด แค่หนึ่งเดือนก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนคิมหันต์นี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
อาจื้อและอาซือตื่นตกใจกับการกระทำของผู้เป็นพ่อ หลินเหราแทบจะเบียดพวกเขาสองพี่น้องออกไป แล้วกอดเหยาซูเอาไว้แน่นเลยทีเดียว
สองพี่น้องทำได้แค่ต้องปล่อยมือ สบตากัน ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือยิ้มดี
สุดท้ายก็เป็นอาจื้อที่เป็นฝ่ายดึงชายเสื้อของผู้เป็นพ่อ แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรามาก่อนนะขอรับ!”
หลินเหราจึงได้ผละออกจากเหยาซู เมื่อปรายตาขึ้นก็เห็นผู้คนเหล่านั้นพากันหยุดยืนอยู่ริมถนนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เหยาซูเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มและพูดบางอย่างกับหลินเหรา ผู้คนที่มองดูคู่รักชายก็หล่อหญิงก็งามเหล่านั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่าการกอดกันของพวกเขามีอะไรไม่ถูกต้อง ตรงกันข้ามกลับชื่นชมคู่รักคู่นี้อยู่เงียบ ๆ ในใจ
เหยาเฟิงคอยสั่งเด็กรับใช้ให้ขนสินค้าอยู่อีกด้านหนึ่ง และกำลังถูกเหยาต้าหลางเกาะแกะอยู่ตลอดเวลา จึงไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น
สุดท้ายก็เป็นหลินเหราที่พาเด็กทั้งสองเดินเข้าไปกล่าวทักทายเขาก่อน
หลินเหราช่วยขนของพลางพูดว่า “พี่ใหญ่ ลำบากพี่แย่”
เด็กทั้งสองคนก็พากันขานเรียกผู้เป็นลุงตาม ๆ กัน
เหยาเฟิงที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางกลับมา ทว่าเมื่อเห็นน้องเขยมาช่วย ก็รีบเข้ามาขวางไว้ “อาเหรา เจ้าไม่ต้องยก เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
หลินเหรากลับไม่สนใจเขา ยกผ้าที่เหลืออยู่บนรถลงมาตามใจตัวเอง กระทั่งมีคนรับใช้มายกต่อเข้าไปในจวน
รอจนจัดการเสร็จสิ้น เขาจึงพูดกับเหยาเฟิงว่า “พี่ใหญ่ก็เกรงใจเกินไป ถึงอย่างไรก็ครอบครัวเดียวกัน”
เหยาเฟิงยิ้มอย่างสดใส พลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
สินค้าถูกขนย้ายเข้าไปหมดแล้ว กลุ่มคนก็พากันเข้าไปในจวน จังหวะนั้นบังเอิญเจอกับแม่เฒ่าเหยาที่กำลังอุ้มซานเป่า และพาสะใภ้ทั้งสองคนเดินออกมา
เหยาเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่! เข้าไปเถอะขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว!”
ทุกคนจึงได้กลับเข้าไปในห้องโถงกลางอีกครั้ง
แม่เฒ่าเหยาสั่งให้คนรับใช้มารินชา พลางเร่งเร้าให้สองพี่น้องนั่งลง ก่อนจะเอ่ยปาก “รีบดื่มน้ำเสียสิ ดูพวกเจ้าสองคน ปากของอาเฟิงแห้งผากไปหมดแล้ว! อยู่ข้างนอกไม่ค่อยได้ดื่มน้ำใช่หรือไม่?”
เหยาเฟิงยิ้มอย่างไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งได้ยินเหยาซูพูดขึ้น “พี่ใหญ่บังคับเกวียนตลอด ได้รับความลำบากไม่น้อย คราวต่อไปถ้าต้องไปนำสินค้าจากทางตอนใต้อีก พาคนขับไปด้วยสักคนคงจะดีนะเจ้าคะ”
สะใภ้ใหญ่เหยาเองก็ปวดใจกับสามี จึงพูดคล้อยตามอยู่ข้างกาย “เหตุผลนี้ดี ตอนนี้ตระกูลของเราก็มีฐานะแล้ว จะทำเองไปด้วยเหตุใด?”
เหยาเฟิงเห็นดังนั้น ทำได้แค่พยักหน้า “ดี ๆ ๆ คราวต่อไปเราจะไม่บังคับเกวียนเองแล้วตกลงไหม?”
ทุกคนจากกันไปนาน จะเล่าเรื่องอย่างไรก็เล่าไม่จบ แต่เพราะไม่เจอพ่อเฒ่าเหยา เหยาซูจึงเอ่ยถาม “ท่านพ่อเล่า? ไม่อยู่บ้านหรือเจ้าคะ?”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แม่เฒ่าเหยาก็อยากจะขบขันอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็พูดกับสองพี่น้องว่า “พวกเจ้าไม่รู้ ยามที่เราเพิ่งมาถึงเมืองหลวงก่อนหน้านั้น พ่อของเจ้าหงุดหงิดมาก สหายที่ปู่ของพวกเจ้าเคยรู้จักก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่ายังติดต่อหรือขาดการติดต่อไปแล้ว? แล้วจะให้ติดต่อกันอย่างไร? สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็สนิทกับผู้อื่น แม้แต่บ้านก็ไม่รู้จักกลับแล้ว!”
สะใภ้ใหญ่ได้ส่งยิ้มให้แก่เหยาเฟิงเช่นกัน “เป็นเช่นนี้จริง ๆ หลังจากที่ท่านพ่อกินมื้อค่ำเสร็จแล้ว ก็ออกไปทันที บอกว่าจะไปตกปลายามราตรีกับสหายของเขา แล้วพาเอ้อหลางกับเสี่ยวเว่ยไปด้วย”
ทุกคนเล่าเรื่องที่เสี่ยวเว่ยมาอยู่ในจวนหนึ่งรอบ
เมื่อเหยาเฟิงได้ยินก็แสดงสีหน้าจนปัญญาออกมา “นี่มันก็ค่ำมากแล้ว ตกปลาอะไรตอนนี้?”
เหยาซูรับซานเป่ามาจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่นานแล้ว สองแม่ลูกเล่นกันอย่างมีความสุข ส่วนหลินเหรามองภรรยาและลูกจากด้านข้างด้วยสีหน้าอบอุ่น
เมื่อเขาเห็นเหยาเฟิงถามเช่นนี้ จึงตอบกลับประโยคหนึ่งว่า “ทางตอนใต้ของเมืองมีทะเลสาบแห่งหนึ่ง สองสามวันนี้เกิดฝนตก ปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย ปลาก็พากันแหวกว่ายอยู่เต็มไปหมด”
เห็นได้ชัดว่าเหยาเฟิงจะคิดไม่ถึงว่าน้องเขยที่มักจะพูดน้อย วันนี้จะพูดคุยด้วยท่าทีสบายใจกับคนในตระกูล จึงโยนเรื่องที่ผู้เป็นพ่อออกไปตกปลาทิ้งข้างหลัง แล้วพูดกับหลินเหราว่า “ช่วงนี้อาเหรายุ่งมากหรือไม่?”
หลินเหราเอ่ยอย่างจริงจัง “พี่รองและข้าผลัดเวรกัน แม้ว่าในวังจะมีเรื่องราวไม่มากนัก แต่กลับต้องมีคนอยู่เฝ้าระวังสักหนึ่งคน”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แม่เฒ่าเหยาจึงได้หัวเราะออกมาระลอกหนึ่ง สะใภ้ใหญ่เหยาและสะใภ้รองเหยาก็หัวเราะเช่นกัน
เหยาเฟิงไม่เข้าใจว่าพวกนางหัวเราะอะไร เหยาซูเองก็ประหลาดใจ หันไปมองผู้เป็นแม่และพี่สะใภ้ทั้งสองของตัวเอง
สุดท้ายก็เป็นสะใภ้ใหญ่เหยาที่ทนไม่ไหว พูดกับเหยาซูว่า “อาซูไม่รู้ วันแรกที่เจ้าออกเดินทาง อาเหราต้องย้ายเข้าไปอยู่ในวัง สี่ถึงห้าวันถึงจะกลับบ้านมาเยี่ยมเด็ก ๆ และพูดคุยกับท่านพ่อและท่านแม่”
ดวงตาคู่งามของเหยาซูเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “อยู่ในวัง?”
หลินเหราส่งเสียงกระแอมไอเบา ๆ หนึ่งเสียง แล้วรีบอธิบาย “มันค่อนข้างสะดวก”
สะใภ้รองเหยาพูดต่อ “หากเป็นเช่นนี้แล้วยังไม่คุ้มกับการหัวเราะ…”
เหยาซูจึงหัวเราะ แล้วไล่ถามอย่างอดไม่ได้ “พี่สะใภ้รองหยุดลีลาได้แล้ว รีบพูดมาเถอะ…”
สะใภ้รองเหยาเล่าเรื่องหลังจากที่หลินเหราได้รับจดหมายของเหยาซู เหตุใดในสองสามวันนี้เขามักจะพาเด็ก ๆ ไปเดินเล่นหน้าประตูเมืองหลังมื้ออาหารทุกวัน นางเล่าให้เหยาซูฟังอย่างละเอียดหนึ่งรอบ
หญิงสาวขบขัน พร้อมกับรู้สึกว่าการกระทำนั้นช่างน่ารักอยู่ลึก ๆ ในใจ
ทุกคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง เพราะคิดว่าสองพี่น้องคงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงเตรียมอาหารบางส่วนให้พวกเขา หลังจากที่สองพี่น้องกินเสร็จแล้วก็ต่างแยกย้ายกลับห้องของตัวเอง
ความมืดมิดค่อย ๆ แผ่ขยายออกไป ไม่นานทุกห้องในจวนเหยาก็จุดตะเกียง อบอวลไปด้วยความอบอุ่น…
…………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในที่สุดอาซูก็กลับมาแล้ว สามีกับลูกคิดถึงแย่แล้วค่ะ
เหมือนพี่เหราจะน่ารักขึ้นนะคะ
ไหหม่า(海馬)