ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 358 หลินเหราเริ่มพูดมาก
บทที่ 358 หลินเหราเริ่มพูดมาก
บทที่ 358 หลินเหราเริ่มพูดมาก
หลินเหราและเหยาซูพาเด็ก ๆ กลับมายังเรือนหลังเล็ก ส่วนซานเป่าอยู่กับแม่เฒ่าเหยาทางฝั่งนั้นต่อ
ทันทีที่อาจื้อและอาซือเข้ามาในห้อง พวกเขาก็เอ่ยเร่งเร้าขอฟังเรื่องราวทางใต้จากเหยาซู กระทั่งเห็นหลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวห้ามปราม “แม่ของเจ้านั่งรถมาเหนื่อย ๆ มีอะไรก็ค่อยคุยกันพรุ่งนี้ได้หรือไม่? รีบไปล้างหน้าบ้วนปากและขึ้นเตียงนอนได้แล้ว”
แม้ว่าเด็ก ๆ จะไม่พอใจไปบ้าง แต่ก็ยังเชื่อฟังอย่างว่าง่าย ทำปากยื่นพลางจัดการตัวเองจนเสร็จ จากนั้นก็ขึ้นเตียงนอนทันที
ชั่วครู่ต่อจากนั้น ในที่สุดก็เหลือเพียงหลินเหราและเหยาซูแค่สองคน
ไม่ได้เจอกันเดือนเศษ สามีภรรยาย่อมมีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังไม่รู้จบ ต่างฝ่ายต่างเขียนจดหมายตอบโต้กันทีละหน้า ยามนี้ที่พวกเขานั่งตรงข้ามกันจริง ๆ จึงไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายพูดก่อน
สุดท้ายก็เป็นเหยาซูที่ทนไม่ไหว เอ่ยถามเขาเสียงเบา “ท่านพาลูก ๆ ไปเดินเตร่ตรงหน้าประตูเมืองหมายความว่าอย่างไร?”
นัยน์ตาของหญิงสาวไหวระริก ดวงตาที่สุกสกาวนั้นเหมือนกับน้ำพุสองแห่งที่สะท้อนอยู่ใต้แสงเทียน ก่อให้เกิดความหลงใหล
หลินเหรากุมมือที่ขาวเนียนของเหยาซู แล้วบีบเล่นอย่างเบามือ นัยน์ตาคู่นั้นเหมือนจับจ้องแต่ใบหน้าของภรรยา แล้วกลั้วหัวเราะเสียงต่ำ “ข้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ?”
เหยาซูเม้มปากอมยิ้ม โดยไม่พูดสิ่งใดอีก
กระทั่งได้ยินหลินเหราพูดอีกว่า “เจ้าเขียนจดหมายมาบอกว่าจะกลับบ้าน วันเวลาก็ช่างยืดเยื้อ เกรงว่าผู้คนและประเพณีของทางใต้ดีกว่าทางเหนือไม่น้อย จนเจ้าไม่อยากกลับมา”
ยากนักที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอิจฉา แต่มันทำให้เหยาซูที่ได้ยินหลุดหัวเราะจนพูดไม่ออก
เสียงทุ้มต่ำดุจเครื่องดนตรีชั้นเลิศของชายหนุ่มดังขึ้นข้างหูของเหยาซู ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปและพูดว่า “ข้าพูดถูกใจสินะ? หือ?”
หัวคิ้วของเหยาซูเลิกขึ้น “พูดถูกจงถูกใจอะไรกัน! แล้วมันก็ไม่ได้งดงามดั่งมวลผกาผลิบานสะพรั่งละลานตาด้วย หรือต่อให้มันน่าสนใจเพียงใด ท่านและลูก ๆ ก็รออยู่บ้าน ข้าจะไม่กลับมาได้หรือ? พูดแต่เรื่องไร้สาระจริง ๆ”
ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างนอก เด็ก ๆ ที่กำลังนอนหลับย่อมจะไม่เห็น และไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใด ทว่าเมื่อหลินเหราเดินรุดขึ้นหน้า กลับถูกเหยาซูขวางไว้
“ท่านหยุดก่อกวนได้แล้ว ลูก ๆ ยังไม่หลับเลย เดี๋ยวพวกเขาก็เห็นหรอก…”
คิ้วรูปดาบของหลินเหราขมวดเข้าหากัน แล้วพูดอย่างไม่พอใจ “ก็โต ๆ กันหมดแล้ว ต่อไปห้ามพวกเขามานอนในห้องเราอีก วันนี้เจ้ากลับมาก็เอาแต่คุยอยู่กับอาจื้อและอาซือ คิดถึงข้าบ้างหรือไม่เล่า?”
เมื่อเหยาซูเห็นใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจ จึงอดแปลกใจไม่ได้ “ท่านอิจฉาแม้กระทั่งลูก?”
หลินเหรากลับสู่สภาวะเย็นชาเช่นเคย ก่อนจะส่ายหน้าและกล่าวว่า “เปล่าเสียหน่อย”
เหยาซูเห็นคำพูดที่ยังไม่สมบูรณ์สะท้อนออกมาจากสายตาของเขา จึงอดพูดเสียงเบาที่แฝงไปด้วยความขบขันไม่ได้ “พอเลย เมื่อครู่ก็มีแต่เด็ก ๆ ที่เข้ามาเกาะแกะข้าไม่ใช่หรือ แล้วข้าก็เพิ่งพูดไปไม่กี่ประโยค จดหมายยามอยู่ทางใต้ก่อนหน้านั้น มีครั้งไหนบ้างที่ข้าเขียนซ้ำ ล้วนส่งมาให้ท่านไม่ใช่หรือ?”
หลินเหรากุมมือของนาง ฝ่ามือร้อนผ่าว โดยไม่มีการพูดคุยใด
ทั้งสองคนเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าหลินเหราจะจะยุ่งเพียงใดในยามดึกดื่นค่อนคืน ก็ต้องกลับบ้าน มาพูดคุยอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกับเหยาซูเสมอ
ปกติก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่การเดินทางครั้งนี้ของเหยาซูกินเวลาเดือนเศษ ในที่สุดทั้งสองคนก็ตระหนักได้ ทั้งสองคนไม่เคยชินกับการใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีกันและกันอย่างไม่รู้ตัว
เหยาซูมองเข้าไปนัยน์ตาที่ดูล้ำลึกของชายหนุ่มภายใต้แสงเทียน ก่อนจะเอ่ยถามเบา ๆ “ช่วงนี้ในบ้านเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ยินว่าท่านไปอยู่ในวัง ช่วงนี้ภารกิจมันซับซ้อนเช่นนั้นหรือ?”
หลินเหรากล่าวเสียงแผ่วเบา “ในบ้านเรียบร้อยดี ท่านพ่อและท่านแม่คะนึงหาถึงเจ้าตลอดเวลา นางมักจะพาเอ้อเป่าซานเป่าไปด้วยเสมอ ช่วงนี้ในวังยุ่งมากหน่อย แต่อย่างน้อยก็มีพี่รองอยู่ เราจึงรับมือได้”
เหยาซูตอบรับเบา ๆ หนึ่งเสียง แล้วถามขึ้นอีกว่า “ได้ยินว่าเสี่ยวเว่ยอยู่กับพี่รอง?”
หลินเหราพยักหน้า “ในราชสำนักยังไม่สงบ เสี่ยวเว่ยช่วยสืบหาให้เราตั้งมากมาย”
เหยาซูได้ยินว่าเสี่ยวเว่ยเหยียบกับดักของพรานล่าสัตว์บนภูเขาจนได้รับบาดเจ็บ จึงต้องพักรักษาตัวอยู่ในเมืองหลวง มาคิด ๆ ตอนนี้ เกรงว่าเหตุผลนี้เป็นเพียงคำปลอบใจที่ใช้กับพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาเท่านั้น
เด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บ เหยาเฉาและหลินเหราจะต้องสืบหาเรื่องของเขาไม่ยอมรามือแน่
เหยาซูเข้าใจเรื่องนี้ จึงไม่ถามให้มากความ แต่สั่งหลินเหราว่า “แม้จะบอกว่าเมืองหลวงอันตรายสู้ซีเป่ยไม่ได้ แต่ท่านและพี่รองต้องรับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในวัง จึงต้องระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม ห้ามให้ครอบครัวเป็นกังวลเด็ดขาด…”
ร่องรอยของความเด็ดเดี่ยวบนใบหน้าของหลินเหราดูอ่อนโยนลงมาก แม้แต่นัยน์ตาที่ล้ำลึกคู่นั้นก็อ่อนลง ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “อาซู เจ้าวางใจเถอะ ข้าและพี่รองจะดูแลตัวเองอย่างดี”
เหยาซูพยักหน้า ปล่อยให้เขาลูบไล้มือของตัวเองต่อไป
กระทั่งได้ยินชายหนุ่มถามว่า “เจ้าเล่า? ลงใต้ไปราบรื่นดีหรือไม่? สองสามวันนี้ทำอะไรกับพี่ใหญ่ไปบ้าง?”
เหยาซูยิ้มยิงฟันขาว แววตาก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นดี ปีที่แล้วน้ำท่าคงจะอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตของคนเลี้ยงไหมดีขึ้นไม่น้อย ประกอบกับไม่มีสงคราม ภายใต้ชีวิตที่สงบสุขจึงทำให้มีผ้าไหมออกมาหลากหลายรูปแบบ ข้าและพี่ใหญ่เดินทางไปตั้งสองสามหมู่บ้าน ได้รับผ้ามากมายจากแหล่งผ้าใหม่ที่ดีที่สุด“
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หญิงสาวก็ยิ้มอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายพลางพูดว่า “อาเหรา ยามข้าอยู่ในบ้านของช่างทอผ้า ข้าได้เหยียบกี่ทอผ้าด้วย! คิดว่าสาวทอผ้าคงทำเช่นนี้ ดึงกระสวยทอผ้าในมือไปมา ทอออกมาเป็นปุยเมฆแต่ละก้อนบนท้องฟ้า…”
เมื่อหลินเหราเห็นผู้เป็นภรรยาดูอิ่มเอมมีความสุข เห็นได้ชัดว่าถูกเรื่องแปลกใหม่ดึงดูดเข้าให้แล้ว ใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าชอบ เราก็ซื้อกี่ทอผ้ามาไว้ในจวนสักเครื่องสิ ดีไหม?”
เหยาซูตื่นตกใจ แล้วส่ายหน้าทันที “ไม่ได้ ไม่ได้ เล่นสนุกครั้งสองครั้งก็พอ อย่าให้ข้าต้องมาทำเช่นนี้ทุกวัน…”
หลินเหราขบขันเบา ๆ นัยน์ตาล้ำลึกนั้นฉายแววตาอ่อนโยนออกมาอย่างต่อเนื่อง “ดูเจ้าสิ ชอบทางใต้แล้วหรือ?”
เหยาซูยิ้มแล้วมองเขา “จะใต้หรือไม่ใต้ก็ไม่เอาอะไรทั้งนั้นแหละ แค่ได้อาศัยอยู่ในที่ดินหนึ่งในสามส่วนของไร่ เท่าที่เห็นก็มีแค่วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเช่นนี้ คนโบราณมักกล่าวไว้ อ่านตำราหมื่นเล่มไม่เท่ากับเดินทางหมื่นลี้ สำหรับข้า ต่อให้อ่านตำรามากเพียงไหน ก็ไม่สู้การเดินหาประสบการณ์โดยแท้จริง”
หลินเหราพยักหน้า “ช่างเป็นเหตุผลที่ดีจริง ๆ”
หลินเหราหยิบยกประเด็นที่ทั้งสองคนเคยคุยไว้ขึ้นมาอีกครั้ง “วันหน้าเมื่อเด็ก ๆ โตขึ้น เราคงไม่ต้องทำอะไรที่มากมายเพียงนั้นแล้ว เราจะเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ จากตะวันออกไปตะวันตก ท่องไปบนผืนแผ่นดินของต้าเยี่ยนสักหนึ่งรอบ…”
หลินเหรายิ้มเล็กน้อย “คราวนี้นอกจากจะเห็นแผ่นดินที่มีชื่อเสียงและผืนน้ำที่ยิ่งใหญ่แล้ว ยังจะได้เห็นผู้คนและประเพณีด้วย”
เมื่อเหยาซูเห็นเขาจู่ ๆ ก็พูดตามความคิดของตัวเอง จึงยิ่งรู้สึกชื่นชอบหลินเหราอย่างอดไม่ได้ แล้วตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ก็ตามนี้เลย!”
หลินเหรากุมมือของนาง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แล้วแต่เจ้า”
สองสามีภรรยาพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้อย่างไร้จุดหมาย
ปกติแล้วเหยาซูจะเป็นฝ่ายพูด หลินเหราจะทำได้แค่รับฟัง ส่งเสียงบ้างเป็นบางครั้ง แต่หลังจากที่ทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยกันมานาน นิสัยของหลินเหราก็ค่อย ๆ ถูกเหยาซูเปลี่ยน เขาไม่ได้มีท่าทีเมินเฉยต่อสิ่งของหรือผู้คนที่ไม่คุ้นเคยอีกต่อไปแล้ว กระทั่งพูดมากขึ้น…
ปกติแล้วเหยาซูไม่รู้สึก แต่บนโต๊ะอาหารคืนนี้ เหยาเฟิงกลับสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของน้องเขยอย่างฉับพลัน และเพราะเรื่องนี้จึงทำให้ได้พูดคุยกับหลินเหรายาวนานขึ้น
หลังมื้ออาหารเหยาเฟิงก็เอ่ยประโยคหนึ่งกับน้องสาว เหยาซูจึงได้รู้สึกตัว
หญิงสาวพูดพลางสังเกตพิจารณาหลินเหราครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าพี่ใหญ่จะพูดถูกต้อง อาเหรา ท่านเปลี่ยนไปมากเลยนะ!”
หลินเหราไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่พูดอะไร?”
เหยาซูขยับเข้ามาใกล้เขา เอนกายพิงไหล่ของหลินเหราเบา ๆ น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความขบขันดังขึ้น “ไม่เพียงแต่พี่ใหญ่ที่พูดเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นท่านพ่อและท่านแม่ก็เคยพูดกับข้า บอกว่านิสัยท่านดูอบอุ่นมากขึ้น ไม่ได้เย็นชาเหมือนก่อนหน้า”
หลินเหรานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงทอดถอนใจออกมา
เหยาซูถอนหายใจยาว ๆ แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านั้นที่บอกจะอยู่ด้วยกัน ข้ามีความกังวลมากว่าท่านจะไม่ชินกับชีวิตของตระกูลเหยา …ไม่ก็ อยู่ร่วมกับพี่ชายและเหล่าพี่สะใภ้ไม่ดีเท่าที่ควร ครั้นเห็นเช่นนี้ ก้าวนี้คงถูกต้องแล้ว”
เดิมทีหลินเหรามีลักษณะที่ดูเย็นชามาก ไม่ใช่เพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาที่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมตระกูลหลินจะมีวิธีการดูแลและปกป้องตัวเองได้ในทันที
ต่อมาหลังจากที่ได้อยู่ร่วมกับเหยาซู ตระกูลเล็ก ๆ ของพวกเขามีความอบอุ่นและอ่อนโยน การได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนตระกูลเหยาที่ปฏิบัติกับอีกฝ่ายเหมือนคนในครอบครัว แม้ว่าบางครั้งต่างฝ่ายต่างจะมีความระแวดระวังกันไปบ้าง แต่ก็คิดไตร่ตรองเพื่อกันและกันเสมอ
หลินเหราไม่รู้ตัวว่าการได้รู้จักคำว่า ‘ครอบครัว’ ทำให้ในใจนั้นได้ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงดั่งฟ้าถล่มดินทลายเช่นนี้
ชายหนุ่มครุ่นคิด แล้วเงยหน้าพูดกับเหยาซูอย่างจริงจัง “อาซู ขอขอบคุณเจ้า”
เหยาซูเผยอริมฝีปากเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าตัวเองจะได้รับคำขอบคุณที่ดูเอาจริงเอาจังของหลินเหรา
แต่แววตาที่ดูเด็ดเดี่ยวในสายตาของชายหนุ่มได้แสดงความซาบซึ้งอย่างไม่ปิดบังต่อนางโดยสมบูรณ์
“ถ้าไม่ใช่เจ้า บางทีข้าคงไม่อาจออกจากตระกูลหลินได้…แม้จะเดินออกมาแล้ว แต่ความคิดของคนในตระกูลหลินก็ยังฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของข้า ข้าไม่อาจให้ตัวเอง…ปฏิบัติต่อเจ้าและลูก ๆ เช่นนั้นได้”
เหยาซูประหลาดใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองเขา ด้วยความรู้สึกยากที่จะพรรณนา
ในนิยายต้นฉบับที่นางลืมสิ้นไปนานแล้วเล่มนั้น กล่าวไว้ว่าหลินเหราและบุตรทั้งสามไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันสักเท่าไร ชีวิตพวกเขาล้วนแตกสลาย ความรักในช่วงเริ่มต้นและความบริสุทธิ์ได้ถูกทำลายไปหมดสิ้นด้วยความเฉยชาในแต่ละวันที่ผันผ่าน
กระทั่งได้ยินชายหนุ่มพูดต่อว่า “เจ้าทำให้ข้าเข้าใจ เดิมทีคำว่าบ้านไม่ใช่สถานที่ที่ใช้ทะเลาะหรือต่อต้านกัน”
จู่ ๆ ก็มีความอบอุ่นระลอกหนึ่งได้ไหลทะลักเข้ามาในใจของเหยาซู ความรู้สึกที่รุนแรงยากจะควบคุมได้นั้น ไต่ขึ้นมาตามมือของทั้งสองคน ค่อย ๆ ครอบงำสมองของนางทีละนิด
ดวงตาคู่นั้นของหญิงสาวฉายแววคลุมเครือ ก่อนจะนำมืออีกข้างวางบนมือที่กำลังจับกันไว้ของทั้งสองคน แล้วพูดเสียงต่ำ “ไม่ อาเหรา ท่านให้ข้ามากกว่า”
เหยาซูคิดในใจ ‘ถ้าไม่ใช่เพราะการสนับสนุนและเหตุผลของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับความรักและความไม่พยาบาทจากตัวของเขา นางคงไม่ได้รับการพึ่งพิงทางจิตใจในยุคสมัยนี้ไปตลอดชีวิต’
การข้ามเวลามาเช่นนี้ เป็นการเติมเต็มให้กันและกันตามโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้วของทั้งสองคน?
พวกเขาอิงแอบกันอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงพูดอะไรอยู่เนิ่นนาน…
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คงเป็นชะตาฟ้าลิขิตให้ทั้งคู่ได้มาแก้ไขปรับปรุงและเติมเต็มซึ่งกันและกันกระมังคะ
ไหหม่า(海馬)