ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 369 บุญคุณและความแค้นกับตู้เหิง
บทที่ 369 บุญคุณและความแค้นกับตู้เหิง
บทที่ 369 บุญคุณและความแค้นกับตู้เหิง
ทุกคนต่างนั่งประจำที่อยู่ในร้านอาหาร โชคดีที่ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว เหยาซูได้สั่งอาหารหลากหลายประเภทไว้ จากนั้นก็กินไปพลางเล่าเรื่องระหว่างตนกับตู้เหิงให้เจี่ยงฉีและเซวียหรงฟังไปพลาง “แม่นางตู้ผู้นี้มีนามว่าตู้เหิง ก่อนหน้านั้นเป็นคุณหนูใหญ่ในจวนเจ้าอาลักษณ์ตู้ ต่อมาเพราะเรื่องบางเรื่องทำให้ต้องออกจากจวน ตอนนี้จึงพาสาวใช้มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงกันเพียงลำพัง”
หญิงสาวหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า “เดิมทีพวกเราและนางก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน แรกเริ่มสุดที่เจอกัน นางตกอยู่ในอันตรายในเขตชานเมือง โชคดีที่อาเหราและคนอื่นไปเจอเข้าก็เลยช่วยกลับมาได้ ต่อมาต่างฝ่ายต่างไปมาหาสู่กันน้อยลง เมื่อไม่กี่เดือนก่อนอาเหราและพี่รองของข้าย้ายมาเมืองหลวง ในขณะที่กำลังหาบ้าน แม่นางผู้นี้ก็ออกแรงช่วยไม่น้อย”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องหาบ้าน สีหน้าของเหยาซูก็เผยความเกลียดชังอย่างไม่อาจปิดบังออกมา
เจี่ยงฉีรู้จักนิสัยของนางดี เว้นเสียแต่ว่าจะมีเรื่องทำให้หญิงสาวโมโหจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเหยาซูคงไม่มีทางเป็นเช่นนี้
“ต่อมาเล่า? เหตุใดตอนนี้ถึงได้ดูไม่ลงรอยกันเช่นนี้?”
เหยาซูตระหนักได้ว่าเถิงเอ๋อร่วมโต๊ะอยู่ด้วย จึงไม่ได้เล่ารายละเอียดมากนัก แค่ส่ายหน้าและพูดว่า “ต่อมาข้าก็พาอาซือและซานเป่าเข้าเมือง วันนั้นเราพักกันในโรงเตี๊ยม เด็กสองคนได้ถูกนางลักพาตัวไป…”
ใบหน้าของเจี่ยงฉีและเซวียหรงเปลี่ยนสีทันใด “เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เถิงเอ๋อเองก็วางช้อนกระเบื้องในมือลง และตั้งใจฟังโดยไม่กล่าวสิ่งใด
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เหยาซูก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป แต่ยังมิวายกำชับประโยคหนึ่ง “เถิงเอ๋อ เรื่องที่อาพูดวันนี้ ห้ามให้อาจื้อและคนอื่นรู้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เถิงเอ๋อพยักหน้า “ท่านอาซูวางใจเถอะขอรับ ข้าไม่พูดแน่”
เหยาซูจึงได้พูดต่อ “ตู้เหิงตั้งใจจะเข้าใกล้อาเหรา แต่ถูกข้าขัดขวางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประกอบกับเรื่องที่นางและอาเหราไปดูบ้านด้วยกันจนถูกข้าจับได้ในวันนั้น ข้าจึงไม่ไว้หน้านางต่อหน้าทุกคน นางจึงทั้งโกรธทั้งอาย จนลักพาตัวอาซือและซานเป่าไป ข่มขู่ให้ข้าไปช่วยเพียงลำพัง”
ซูเซวียพูดอย่างโกรธเคือง “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน! ฟังจากที่เจ้าเล่าแล้วนางเองก็เป็นถึงสตรีที่มีสกุลรุนชาติ เหตุใดถึงได้กระทำการบุ่มบ่ามและไร้จริยธรรมเช่นนี้ได้”
เจี่ยงฉีรู้สึกเกลียดชังอย่างมากในใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือความหวาดกลัว “เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงมาก่อน แล้วหลังจากนั้นเล่า? เจ้าและเด็ก ๆ ปลอดภัยดีหรือไม่?”
เหยาซูปลอบโยนทั้งสองคน “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็ก ๆ ถูกวางยาสลบแล้วลักพาตัวไป อาซือและซานเป่าต่างก็ไม่ได้สติ ส่วนอาจื้อข้าก็ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้”
เจี่ยงฉีกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อย่าว่าแต่ระหว่างพวกเจ้าแล้วนางที่ไม่มีความแค้นอะไรต่อกันเลย ต่อให้มีไฉนถึงกล้าไปลงกับเด็กเช่นนั้น? ทั้งยังเป็นกับอาซือสาวน้อยเพียงคนเดียว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงซานเป่าที่เพิ่งอายุครบหนึ่งปี นางก็ยังกล้าลงมือได้?! แล้วเจ้าไม่รายงานเรื่องนี้ต่อชั้นศาลหรือ?”
เหยาซูพยักหน้าแล้วพูดว่า “ท่านน้าของอาเหราได้รายงานต่อชั้นศาลในราชสำนักแล้ว”
เซวียหรงขมวดคิ้วมุ่น “ผลเล่า?”
เหยาซูดื่มชาหนึ่งอึก จากนั้นก็พูดอย่างทอดถอนใจว่า “คุณหนูรองต่างมารดาของจวนตู้รับโทษแทน ส่วนตู้เหิงถูกถอนบรรดาศักดิ์ออกจากตระกูลตู้ไป”
เจี่ยงฉีกำลังจะพูดบางอย่าง แต่กลับเห็นเซวียหรงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจนิสัยของพี่เชียนดี เขาไม่สนใจชื่อเสียงและยศถาบรรดาศักดิ์ ความมั่งคั่งร่ำรวย แต่ครอบครัวคือเกล็ดย้อนของมังกรสำหรับเขาที่ผู้อื่นแตะต้องไม่ได้ แม้ว่าจะรายงานตรงต่อศาลแล้ว แต่ผลลัพธ์นี้คิดว่าก็ยังคลุมเครืออยู่”
เหยาซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดว่า “เรื่องในราชสำนักข้าไม่รู้มากนัก และคงเล่าละเอียดกว่านี้ไม่ได้ รู้แค่ว่าตู้เหิงยังมีคนหนุนหลัง คงจะแตะต้องไม่ได้ชั่วคราว”
เจี่ยงฉียิ่งโกรธเกรี้ยวในใจ จากนั้นก็พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “หากเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถิด วันนี้ก็ได้เห็นแล้ว นางไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกเสียใจแล้ว ทั้งยังคิดจะหาเรื่องเจ้าด้วย!”
เซวียหรงมองไปทางนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตีมือของเจี่ยงฉี แล้วพูดว่า “คนแบบนี้ข้าเคยเจอมานักต่อนักแล้ว นางไม่มีทางไตร่ตรองความผิดของตัวเองหรอก ไม่แน่ว่าอาจจะยังโกรธเคืองอยู่ในใจก็ได้ คิดว่าอาซูนั้นขวางทางของนาง อีกทั้งเพราะเรื่องทำร้ายผู้อื่นถูกเปิดเผย สูญเสียชีวิตที่สุขสบายของตัวเองไป จึงพาให้โกรธเกลียดมากยิ่งขึ้น”
เหยาซูประหลาดใจกับความไวต่อความรู้สึกของเซวียหรง แยกแยะความคลุมเครือในคำพูดของนางได้ แม้แต่เจี่ยงฉียังฟังไม่ออก แต่เซวียหรงกลับหาต้นตอของเรื่องได้อย่างแม่นยำ
เจี่ยงฉียังคงไม่เข้าใจ “แล้วเหตุใดอาซูถึงขวางทางของนางได้เล่า? เป็นถึงคุณหนูตระกูลขุนนาง เกี่ยวอะไรกับอาซูไม่ทราบ?”
เซวียหรงยิ้ม “ก็อย่างที่พี่เจี่ยงพูด เป็นถึงคุณหนูตระกูลขุนนาง มีชีวิตโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง อาภรณ์สวมใส่ จะมีเรื่องอะไรที่ทำให้นางเกลียดชังจนต้องลงมือทำร้ายเด็กได้ถึงเพียงนี้เล่า?”
จะมีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องชีวิตคู่ของตัวเอง? ถ้าไม่ใช่เพราะตกหลุมรักหลินเหรา ตู้เหิงจะมีความแค้นอะไรกับเหยาซูได้เล่า?
เจี่ยงฉีนึกถึงช่วงที่พบกันเมื่อครั้งต้องช่วยเหลือกันระหว่างตู้เหิงและหลินเหรา แล้วก็เข้าใจในทันที จากนั้นก็ขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า “สมองของนางช่างแตกต่างกับผู้อื่น! คงจะบ้าไปแล้ว! หญิงสาวผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าประมาทนางเด็ดขาด”
ครั้นเถิงเอ๋อได้ฟังมาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เข้าใจ จึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เจี่ยงฉีเพิ่งนึกได้ว่าลูกชายของตนอยู่ตรงหน้า ของหวานที่อยู่ตรงหน้าเขาเพิ่งจะกินไปไม่กี่คำ แต่กลับไม่ปริปากพูดสิ่งใดมาโดยตลอด คิดว่าคงจะฟังนานแล้ว
หญิงสาวไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ไม่ดีแน่หากจะบอกว่าตู้เหิงชมชอบบิดาของอาซือ จึงพูดกับลูกชายแค่ว่า “เถิงเอ๋อ เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น รอให้เจ้าโตกว่านี้ก็จะเข้าใจเอง ตอนนี้การให้เจ้าฟังเช่นนี้ถือว่าล้ำเส้นมากแล้ว และขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้ ต่อไปจะต้องดูแลอาซือและซานเป่าให้ดี อย่าให้พวกเขาได้รับความไม่เป็นธรรมโดยเด็ดขาด”
ทุกครั้งที่เจอกับเรื่องที่ไม่อยากอธิบายให้เขารู้ ผู้ใหญ่มักจะบ่ายเบี่ยงเพียงเพราะเขายังเด็ก และยังไม่เข้าใจ
เถิงเอ๋อคิดว่าโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ยากต่อการเข้าใจจริง ๆ ขอแค่ผู้เป็นมารดายอมพูด เขาย่อมเข้าใจ
แต่สิ่งที่เห็นในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นแม่ไม่อยากเล่ารายละเอียด เถิงเอ๋อจึงพยักหน้า ไม่ถามให้มากความ
เขาไม่ใช่เด็กไม่รู้ความ เรื่องที่ผู้ใหญ่ไม่อยากบอก เขาจึงต้องเห็นมันกับตาเอง
“ข้าจะดูแลน้องสาวและน้องชายอย่างดี” เถิงเอ๋อตอบรับ
เจี่ยงฉีลูบศีรษะของลูกชาย และส่งยิ้มให้เขา
เหยาซูรู้ว่าเจี่ยงฉีปกป้องเถิงเอ๋ออย่างดี มีหลายเรื่องที่ไม่อยากให้ลูกชายรับรู้ แค่อยากให้เถิงเอ๋อเติบโตโดยไร้ความกังวล การพูดการจาจึงยิ่งต้องชั่งใจอยู่หลายครั้ง
ครั้นนางเห็นเถิงเอ๋อกินไปมากแล้ว จึงพูดกับเด็กชายด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่เราคุยกันบนนี้ไม่น่าสนใจอะไร เถิงเอ๋อคงเบื่อแย่สินะ? ไม่สู้ลงไปดูชั้นล่างเล่า อาซือน่าจะใกล้ถึงแล้ว”
ดวงตาคู่นั้นของเถิงเอ๋อเปล่งประกายวาววับในทันที “ท่านอาซู วันนี้อาซือมาด้วยหรือขอรับ?”
เหยาซูพยักหน้าแล้วยิ้ม “มาสิ แต่น่าจะมาถึงช่วงเที่ยง เถิงเอ๋อจะรอหรือไม่?”
ครั้นเด็กชายได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้ จึงไม่สนใจเรื่องอื่นอีก เพียงส่งยิ้มให้กับทุกคน แล้ววิ่งลงไปชั้นล่างทันที
เมื่อเถิงเอ๋อไปแล้ว เจี่ยงฉีจึงพูดขึ้นว่า “ความหมายของพวกเจ้าข้าเข้าใจนะ แต่ไม่รู้ว่า อาเหรากับแม่นางผู้นี้จะมีความคิดเห็นกันอย่างไร?”
เหยาซูส่ายหน้า “ข้ารู้จักอาเหราดี เป็นเพราะธิดามีใจแต่เทพเซียนกลับไร้ไมตรี[1] แม่นางตู้ถึงได้ทำเรื่องที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้”
เซวียหรงขมวดคิ้วพลางพูดว่า “แต่อาเหราก็ฉลาดไม่เบา ไม่มีทางคิดเกินเลยกับแม่นางตู้ผู้นั้นได้หรอก! ตัวเองก็มีชีวิตที่ราบรื่นงดงามกับครอบครัวแล้ว ใครเล่าจะคิดเล่นอะไรแผลง ๆ เช่นนี้? ยิ่งไปกว่านั้นนิสัยของอาซูก็แสนดี รูปโฉมงดงาม ตู้เหิงจะเทียบเคียงได้อย่างไร?”
เหยาซูขบขันกับคำหยอกเย้าของนาง เจี่ยงฉีที่นั่งอยู่ด้านข้าง พยักหน้าราวกับเป็นเรื่องใหญ่ สีหน้าเห็นด้วยอย่างมาก
กระทั่งได้ยินเซวียหรงถามขึ้นอีกว่า “อาซู พูดเช่นนี้ แสดงว่าบ้านที่พวกเจ้าอยู่ตอนนี้ ก็เป็นบ้านที่ตู้เหิงหามาได้นะสิ?”
เหยาซูส่ายหน้า “ไม่ใช่แน่นอน ความโชคร้ายไม่มีทางย่างกรายเข้ามาหรอก ใครจะไปอยู่บ้านที่นางหากันเล่า? วันนั้นข้าพาเด็ก ๆ มาถึงเมืองหลวงและไปหาอาเหรา ซึ่งเห็นเขาอยู่กับตู้เหิงพอดี จึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กลับไปโวยวายกับอาเหราจนทะเลาะกันใหญ่โต”
เจี่ยงฉีเห็นสีหน้าโกรธเคืองของนาง ก็อดขบขันไม่ได้ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ ปกติแล้วก็เห็นเจ้ามีนิสัยอบอุ่น กับลูก กับสามี ไม่เคยอารมณ์เสียใส่ ไม่คิดว่าจะเผ็ดร้อนได้เพียงนี้”
เซวียหรงเองก็หัวเราะ “ถ้านางอบอุ่น คงจะไม่กล้าทำกิจการมากมายเหล่านี้ แล้ววันนั้นก็ไม่มีทางตัดสินใจขอแยกทางกันหรอก”
เจี่ยงฉีพยักหน้า “ใช่ ๆ”
กระทั่งได้ยินนางพูดอีกว่า “บัดนี้ตู้เหิงมาเจอกับความโชคร้ายเสียแล้ว มิรู้ว่าเราได้ขวางทางกิจการของนางจริง ๆ หรือว่าตั้งใจก่อปัญหาขึ้นมากันแน่”
ดวงตาคู่งามของเซวียหรงเบิกกว้าง “ยังต้องกลัวนางอีกหรือ? ประมาณว่า ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน ข้าไม่เชื่อหรอกว่านกน้อยในกรงทองที่ตอนนี้หลุดพ้นจากตระกูลอย่างนางจะก่อเกลียวคลื่นได้สักเท่าใดกันเชียว!”
เหยาซูเม้มปากยิ้ม แล้วพยักหน้า “มีพี่สาวทั้งสองคนยืนอยู่ข้างข้า เราไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอื่นแล้ว ข้าไม่เคยเอาเวลาไปสร้างความลำบากให้นาง ตู้เหิงกลับมาหาเรื่องที่นี่เอง ถือว่าเป็นการแบ่งเบาภาระของข้าได้ดี!”
เซวียหรงตื่นเต้นในใจ “ได้ยินว่าแม่นางตู้ผู้นี้มีกิจการบางอย่างในเมืองหลวงด้วย?”
เหยาซูกำลังจะอ้าปากพูด แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากบันได พร้อมกับเสียงจอแจ ทันทีที่ได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นพวกเด็ก ๆ
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงดีอกดีใจของอาซือ “ท่านแม่! วันนี้พ่อครัวที่ร้านทำอาหารอร่อยที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนสบตากันแล้วยิ้ม จากนั้นก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่อีก
……………………………………………………………………………………………………………………..
[1]เป็นคำเปรียบเปรยว่าผู้หญิงมีใจแต่ฝ่ายชายกลับเฉยชา
สารจากผู้แปล
เดี๋ยวคอยดูต่อไปว่าใครจะมีบารมีทางการค้ามากกว่ากัน เอาแต่กินบุญเก่าแต่ไม่สร้างบุญใหม่ก็ไม่เจริญหรอกนังตู้
ไหหม่า(海馬)