ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 379 สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อีกครั้ง
บทที่ 379 สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อีกครั้ง
บทที่ 379 สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อีกครั้ง
เวลาล่วงเลยมาสี่ห้าวันแล้ว
เหยาซูปรึกษากับเหยาเฟิงเรื่องการเดินทางลงใต้อีกครั้ง
วันนี้เหยาซูและสะใภ้ทั้งสองนั่งดื่มชาเป็นเพื่อนแม่เฒ่าเหยา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
แม่เฒ่าเหยาทอดถอนหายใจ “รู้ว่าข้าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรจะห้ามเจ้าสองคนพี่น้องแล้ว เพียงแต่ว่าอาซู กิจการดีแล้วก็เสริมให้ดีขึ้นอีกได้ แต่อย่าเอาตัวเองลงไปทำงานหนักเกินไป”
หญิงสาวยังไม่ทันจะเอ่ยปาก สะใภ้ใหญ่ยิ้มกล่าวเพื่อช่วยให้น้องสามีหลุดพ้นการหว่านล้อม “ท่านแม่ ดูท่านพูดเข้า มีใครไม่รู้บ้างว่าอาซูเชื่อฟังท่านมากที่สุด ในทางกลับกันการเดินทางลงใต้ไม่ได้ยากลำบากอะไร ระหว่างทางก็มีพี่ใหญ่คอยดูแล ไม่อดอยากแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านวางใจเถอะ”
สะใภ้รองเองก็กล่าวขึ้น “ใช่เจ้าค่ะ อาซูมีนิสัยรักอิสระ ถ้าหากว่ารั้งนางเอาไว้ จะทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกวิตกกังวลนะเจ้าคะ”
แม่เฒ่าเหยามองสะใภ้ทั้งสองของตน ก็อดที่จะตำหนิไม่ได้ “เอาละ พวกเจ้าไม่กี่คนพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้กับคนแก่อย่างข้า ท้ายที่สุดแล้วมันสมเหตุสมผลหรือไม่”
เหยาซูคว้าแขนผู้เป็นมารดาเอาไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และกล่าวขึ้นอย่างร่าเริง “ท่านแม่ พี่สะใภ้ทั้งสองพูดแทนข้า ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
แม่เฒ่าเหยาแสร้งเบิกตากว้าง “อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้ว ยังมาออดอ้อนแม่อยู่อีก หากเด็ก ๆ มาเห็นเข้าจะว่าอย่างไร”
พูดจบก็อดที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองก็พูดคุยสิ่งดี ๆ กับเหยาซูมาแล้วก็ไม่น้อย นางเกลี้ยกล่อมแม่เฒ่าเหยาด้วยรอยยิ้ม ในใจไม่มีความรู้สึกคัดค้านแม้แต่น้อย
หญิงชรานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ มองดูหญิงสาววัยเยาว์ที่รายล้อมอยู่ข้างตน อีกคนสวยกว่าอีกคน ภายในใจก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ “อาจวน อาเวย และอาซู พวกเจ้าก็ต่างเป็นลูกของข้า วันข้างหน้าถ้าพ่อแม่อายุมากขึ้น ก็ต้องมีวันที่ข้าไม่สามารถดูแลพวกเจ้าได้ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่พวกเจ้าก็ล้วนเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ระหว่างทางที่เหลือก็ต้องดูแลกันและกัน เข้าใจไหม?”
จู่ ๆ หัวใจของเหยาซูก็รู้สึกชาวาบ ส่วนทางฝั่งพี่สะใภ้สองคนของตระกูลเหยารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
สะใภ้รองอดทนไม่ไหวจึงกล่าวขึ้น “ท่านแม่ วันที่มีความสุขเช่นนี้ เหตุใดจึงพูดอะไรที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจเล่าเจ้าคะ พวกเราก็หวังให้ท่านอยู่เลี้ยงดูพวกต้าหลาง เอ้อหลาง ให้เติบใหญ่”
คำพูดนี้ ทำให้ทุกคนแม้กระทั่งแม่เฒ่าเหยาเองก็หัวเราะออกมา
เหยาซูเองก็หัวเราะจนต้องเอนศีรษะไปพิงไหล่ของผู้เป็นแม่ “ท่านแม่ ข้ากับพวกพี่สะใภ้อารมณ์ดีเยี่ยงนี้ พวกเด็ก ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตจะต้องคอยช่วยเหลือกันแน่ ท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าเหยาพยักหน้า รอยยิ้มภายในดวงตาไม่ได้จางหายไป “พวกเด็ก ๆ เป็นคนดี ข้าเองก็อยากจะอยู่ดูพวกเขาเติบโต แต่งงานและมีกิจการเป็นของตัวเอง เกรงว่าข้าจะไม่อาจอยู่ถึงเวลานั้นได้”
กล่าวเช่นนั้น แม่เฒ่าเหยาตบแขนของเหยาซู เพื่อบอกให้นางยืนขึ้น
แม่เฒ่าเหยามองสะใภ้ใหญ่ หญิงชรายิ้มแล้วกล่าวว่า “เมื่อเช้าเจ้าบอกเรื่อง ๆ ดีกับข้า เจ้าบอกกับอาซูกับอาเวยด้วยสิ ทำให้พวกเขามีความสุข”
สะใภ้รองรู้สึกอ่อนไหวกับสิ่งนี้ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เหลือบมองท้องของพี่สะใภ้ใหญ่
เหยาซูยังไม่เข้าใจจึงคลี่ยิ้ม “ท้ายที่สุดพี่สะใภ้ใหญ่มีเรื่องอะไรหรือ ทำไมถึงบอกท่านแม่ก่อน แล้วปิดบังพวกเราเล่า”
ใบหน้าของสะใภ้ใหญ่เผยให้เห็นรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น นางใช้มือลูบไปที่ท้องแล้วกล่าวขึ้นเบา ๆ “เรื่องนี้ข้าเองก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้…”
เมื่อมองสีหน้าของหญิงสาว และสิ่งที่แม่เฒ่าเหยาเอ่ยขึ้นเมื่อครู่ เหยาซูยังมีอะไรไม่เข้าใจอีกหรือ
ทันใดนั้นนางก็ดึงเเขนของพี่สะใภ้ใหญ่ หญิงสาวยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่! พี่สะใภ้ใหญ่! บ้านของพวกเราจะมีเด็กเพิ่มขึ้นอีกแล้วใช่ไหม?”
ไม่รอให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้เอ่ยพูด แม่เฒ่าเหยาก็กล่าวอย่างโกรธเคือง “อาซู! ปล่อยพี่สะใภ้ เจ้าทำให้นางตกใจหมด เหตุใดจึงกระโดดโลดเต้นเหมือนอาซือเช่นนี้เล่า”
สะใภ้ใหญ่ส่ายหัว “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านแม่”
ภายในใจของเหยาซูดีใจมาก หญิงสาวหันไปคุยกับพี่สะใภ้รองอีกครั้ง ทั้งสองเริ่มทายกันว่าเด็กในครรภ์ของพี่สะใภ้ใหญ่จะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง…
แม่เฒ่าเหยายิ้มแล้วสนทนากับพวกเขาอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะบอกให้พวกเขากลับไป
ระหว่างทางเหยาซูและพี่สะใภ้ใหญ่พูดคุยเกี่ยวกับการดูแลทารกในครรภ์ ไม่ได้สังเกตว่าปกติสะใภ้รองที่มีชีวิตชีวา ครั้งนี้ได้แต่ฟังพวกเขาสนทนากันเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
……
ตกกลางคืน เหยาเฉากลับบ้านมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว
ชายหนุ่มไม่ต้องการที่จะปลุกภรรยาและลูก จึงตัดสินใจที่จะนอนอยู่นอกห้อง แต่เมื่อเห็นว่าตะเกียงไฟในห้องยังสว่างอยู่ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปในห้องพลางคิดว่าอาเวยลืมดับไฟหรือไม่
แต่เมื่อกำลังจะเข้าห้อง ก็เห็นหญิงสาวนั่งอยู่ใต้แสงตะเกียง จึงเกิดความรู้สึกงุนงง
ภายในจิตใจของเหยาเฉารู้สึกขบขัน ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินไปด้านหลังเซียงเวยเงียบ ๆ หลังจากนั้นก็กอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ “ดึกขนาดนี้ทำไมยังไม่นอน กำลังนั่งคิดอะไรอยู่ หรือว่าคิดถึงสามีอยู่ใช่หรือไม่”
เซียงเวยสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาและก็ไม่ได้หันกลับไปมอง
เหยาเฉารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงรีบปล่อยภรรยาของตนแล้วเดินไปข้างหน้าภรรยาก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น “เป็นอะไรไป นอนไม่หลับใช่ไหม หรือว่ามีเรื่องใดรบกวนใจ?”
เซียงเวยยังคงไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่จ้องมองเหยาเฉาด้วยแววตาสั่นไหว
ดวงตาคู่ที่สวยงามค่อย ๆ แดงขึ้น หยาดน้ำสีใสพลันไหลรินลงมา ดูเหมือนว่าก่อนหน้านั้นร้องไห้มาแล้ว
แม้ว่าภรรยาของเขาจะพยายามปกปิดมันอย่างเต็มที่ แต่ชายหนุ่มก็ดูออก
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ ภรรยาของตน เขาจับมือที่เรียวยาวที่อยู่บนตักของเซียงเวย แล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนโยน “อาเวย เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าบอกข้าได้ไหม”
หากชายหนุ่มไม่สังเกตเห็น บางทีเขาอาจจะสับสนตลอดทั้งคืนว่าเซียงเวยก็ไม่ได้เป็นอะไร
เมื่อได้เสียงเสียงที่อบอุ่นของชายหนุ่มที่ตนรัก หญิงสาวก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ดวงตาก็กลับมาแดงเรื่ออีกครั้ง
เซียงเวยเป็นคนเข้มแข็ง ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าเหยาเฉามาก่อน
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงปฏิเสธที่จะกล่าวอะไร สีหน้าของชายหนุ่มก็เริ่มกลัดกลุ้มใจขึ้นมา จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ “หรือเป็นเพราะว่าช่วงนี้ข้ากลับบ้านมาดึกเกินไป เลยไม่มีเวลาให้เจ้ากับลูก อาเวย ข้าขอโทษ ข้าไม่ดีเอง…”
เซียงเวยสูดจมูกและน้ำตาก็ร่วงลงมาราวกับไข่มุกที่ร่วงจากสาย
“ไม่ใช่เรื่องนั้น”
หญิงสาวส่ายหัว
เหยาเฉาตื่นตระหนกเล็กน้อย จึงรีบคว้าแขนเสื้อแล้วเช็ดน้ำตาให้ภรรยา กล่าวขึ้นว่า “เอาละ เอาละ ข้าไม่ดีเองที่ทำให้เจ้าเสียใจ เจ้าหยุดร้องไห้ก่อน เเล้วบอกข้าว่าเพราะเหตุใด ถ้าข้ารู้เหตุผลแล้ว เจ้าจะตีข้าหรือจะด่าข้า ก็แล้วแต่เจ้าเลย”
เซี่ยงเวยมองสามีที่อยู่กับนางมาตลอดหลายปีทั้งน้ำตา หญิงสาวเพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างเบา ๆ “ใครจะอยากด่าอยากตีท่านกัน!”
ชายหนุ่มยิ้ม ใบหน้าขาวนวลราวกับดวงจันทร์ที่สดใสหลังจากเมฆสีดำได้สลายไป ทำผู้มองขาดสติไปครู่หนึ่ง
เซียงเวยพูดด้วยความโมโห “ใครใช้ให้ท่านยิ้ม!”
เหยาเฉาหยุดยิ้มทันใด
ชายหนุ่มกำลังจะเริ่มพูด เซียงเวยก็กล่าวขึ้น “ใครอนุญาตให้ท่านพูด!”
ชายหนุ่มปิดปากอย่างเชื่อฟัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียงเวยขมวดคิ้ว “ท่านทำหน้าบูดบึ้งทำไม”
เหยาเฉาตอบ “เจ้าไม่ให้ข้าพูด ไม่ให้ข้ายิ้ม ทั้งยังร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียว…ในฐานะสามีนอกจากนั่งดูเจ้าร้องไห้ ข้าจะทำอะไรได้อีกเล่า”
เซี่ยงเวยไม่ได้พูดอะไร
เหยาเฉาเอ่ยมุกตลกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าภรรยาของตนไม่หงุดหงิดแล้วจึงดึงแขนทั้งสองข้างของนางขึ้น แล้วกล่าวถามขึ้นอีกครั้ง “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ปกติเจ้าไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าข้า”
สะใภ้รองเหยากัดริมฝีปากล่าง แล้วกล่าวขึ้นเบา ๆ “ก็ไม่ได้มีอะไร เพียงแต่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ตั้งภรรภ์ เดิมทีข้าไม่ได้มีความสุขอะไรมากมาย แต่กลับมีความสุขมากขึ้น ความรู้สึกภายในใจก็มากขึ้นเรื่อย ๆ”
นางกับเหยาเฉาเป็นเช่นนี้มาตลอด ภายในใจมีความคิดอะไรก็จะพูดออกมาอย่างเปิดเผย
เหยาเฉาได้ยินเช่นนั้น แทนที่จะหัวเราะเยาะจิตใจที่อ่อนไหวของภรรยาตามอย่างที่เซียงเวยจินตนาการไว้ ชายหนุ่มกำมือของนางและกล่าวขึ้นเบา ๆ “อาเวย ข้าเข้าใจแล้ว สองปีมานี้ ข้ามาเป็นขุนนางในเมืองหลวงแล้วปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียว เป็นข้าที่ละเลยเจ้าเอง เเม้ตอนนี้เราจะอยู่ด้วยกันแต่ข้ากลับไม่มีเวลาให้เจ้าเลย”
ฟังชายหนุ่มกล่าวความในใจของตนออกมา เซียงเวยเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ น้ำตาจึงได้เริ่มไหลรินอีกครั้ง
เหยาเฉาเช็ดน้ำตาให้ภรรยาแล้วกล่าวขึ้น “เรื่องของลูกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป พวกเรายังอายุไม่มากยังมีโอกาสที่จะมีลูกได้อีก แต่ว่าเจ้าลิงเอ้อหลาง ยังทำให้เจ้าเป็นกังวลใจไม่พออีกหรือ ถ้าหากว่ามีเอ้อหลางน้อยอีกหนึ่งคน เกรงว่าพวกเขาจะพลิกหลังคาบ้านออกมาเล่นเสียกระมัง”
แก้มของสะใภ้รองแดงขึ้น หญิงสาวเมินหน้าหนี “ใครจะอยากมีลูกกับท่านกัน ไปมีกับคนอื่นนู่น! สาวใหญ่สาวน้อยในเมืองหลวงค่อย ๆ แอบอ้างชื่อของท่านลับหลังข้า ขนาดตอนที่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ยังมีคนรอแอบมองท่านอยู่ที่ทางแยก!”
สีหน้าของชายหนุ่มหมดหนทาง กำลังนึกว่าภรรยาของตนกำลังกล่าวถึงใคร และแก้ต่างให้ตัวเอง “เจ้ากำลังพูดถึงแผงขายซาลาเปาหรือไม่? พวกเขาขายอาหารเช้า…”
อาเวยเพียงแค่กล่าวขึ้นว่า “คนขายอาหารเช้าจำชื่อท่านได้ชัดเจนขนาดนี้เชียวหรือ”
เหยาเฉาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ตอนที่ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าครั้งที่แล้วลืมเอาเงินไปด้วย ข้าเลยบอกเขาว่าบ้านอยู่ตรงไหน และให้นางไปเอาเงินที่บ้าน”
เซียงเวยครุ่นคิด แล้วก็นึกถึงเรื่องนี้ได้ หลังจากนั้นนางก็นั่งลงที่ด้านข้าง ๆ แล้วไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เหยาเฉารู้ว่าตอนนี้ภรรยาของตนอารมณ์ยังไม่ค่อยดี ชายหนุ่มจึงไม่ยึดติดกับเรื่องนี้นัก จึงกล่าวขึ้นอย่างอบอุ่น “เอาละ เลิกน้อยใจข้าได้แล้ว ดีไหม พี่ใหญ่จะมีลูกแล้ว อาเวย ข้าเองก็อยากมีลูกสาว…”
เซียงเวยมองตาชายหนุ่ม อดที่จะเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ท่านบอกว่าอยากมีลูกสาวก็จะได้ลูกสาวหรือ ถ้าลูกสาวมีนิสัยถอดแบบจากเอ้อหลางออกมาเล่า ท่านจะไม่ทิ้งให้ข้าเลี้ยงหรือ”
“ฮ่า ๆ” เหยาเฉาหัวเราะ “ถ้าเป็นลูกชายข้าก็ชอบ ใครจะปล่อยทิ้งให้เจ้าเลี้ยง พวกเราช่วยกันเลี้ยงตั้งแต่เขายังเป็นทารกขาว ๆ อ้วน ๆ ให้เติบโตขึ้นอย่างไรเล่า”
เซียงเวยเองก็หัวเราะออกมา
ชายหนุ่มสังเกตว่าเหยาเอ้อหลางไม่ได้นอนกับแม่ของเขาวันนี้ และไม่รู้ว่าถูกนางส่งตัวออกไปหรือว่าอย่างไร
เหยาเฉาเห็นว่าภรรยาของตนก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ชายหนุ่มจึงค่อย ๆ จูบไปที่ริมฝีปากของหญิงสาว แล้วการจุมพิตนั้นก็เริ่มลึกซึ้งขึ้น…
เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่เซียงเวยจะตื่น ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ แล้วออกไปทำงานที่วัง
หลังจากที่ชายหนุ่มไปแล้ว หญิงสาวก็พลิกตัวขึ้นมากอดหมอนที่ซ้อนนางอยู่เงียบ ๆ แล้วก็เผลอหลับไปอีกครั้ง
หลังจากที่หญิงสาวหลับไปแล้ว เมื่อแสงแดดเริ่มแยงตา เสียงของเอ้อหลางก็ดังลั่นทั่วทั้งลานบ้าน ไม่รู้ว่าเขาตะโกนด้วยเหตุใด
“เอ้อหลาง!”
หญิงสาวตะโกนขึ้น หลังจากนั้นนางจึงรู้ตัวว่าเสียงของตนแหบแห้งเล็กน้อย
เด็กชายกระโจนเข้าไปในบ้านพร้อมกับเนื้อตัวสกปรกมอมแมม และเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ท่านตื่นได้แล้ว ”
เซียงเวยได้ลุกขึ้นนั่งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเห็นลูกชายอยู่ในสภาพจนตรอก นางก็พลันขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยถามว่า “เช้าแบบนี้เจ้าไปวิ่งซนที่ไหนมา”
เหยาเอ้อหลางตอบด้วยความคึกคัก “วันนี้อาจื้อชวนข้าไปจวนตระกูลไป๋ขอรับ ได้ยินมาว่าจวนตระกูลไป๋มีน้องสาวตัวน้อยอายุราว ๆ อาซือ บ้านของนางยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ พวกเราจะไปตกปลากัน…”
พูดพลางก็ยื่นมือออกไปในอากาศ สะใภ้รองรู้สึกปวดหัวไม่น้อย
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ไปตกปลา ไปในสภาพอย่างตอนนี้ของเจ้า จะมีประโยชน์อันใด”
เอ้อหลางกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจ “พวกเราไปจับไส้เดือนมาขอรับ”
สะใภ้รองเชื่อว่าคำว่า ‘พวกเรา’ มีเพียงแค่เหยาเอ้อหลางหนึ่งคนแน่นอน
หญิงสาวก้าวลงจากเตียง พลางสอนลูกชาย “อาซือไม่ชอบไส้เดือน ต้าหลางเองก็จะไม่ตามเจ้าที่ชอบก่อกวน ข้าเห็นว่าช่วงนี้เจ้าประหลาดพิกล เมื่อคืนข้าก็ได้คุยกับท่านพ่อเจ้าแล้ว ได้เวลาดูแลเจ้าให้เป็นอย่างดีแล้ว”
เอ้อหลางหัวเราะ โดยไม่ปฏิเสธ
เซียงเวยรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็กล่าวออกมาว่า “เอาละ รีบไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเป็นแขกของบ้านอื่นต้องมีมารยาท เข้าใจไหม”
เรื่องความตั้งใจของตระกูลไป๋ที่จะแต่งงานกับอาจื้อ ครอบครัวตระกูลเหยาตระหนักดีถึงเรื่องนี้ พี่สะใภ้รองเหยาจึงเอ่ยกำชับเอ้อหลางอีกสองสามคำ เพราะกลัวว่าลูก ๆ ของพวกเขาจะเล่นสนุกกันเกินไปและจะทำให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ร้องไห้
“อื้ม อื้ม” เหยาเอ้อหลางตอบกลับ เด็กชายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็หยิบไส้เดือนแล้วออกจากประตูทันที
………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คู่ของพี่เฉาน่ารักจังค่ะ กลัวจะน้อยหน้าคู่พี่ใหญ่สินะ เลยตัดสินใจทำน้องให้เอ้อหลางกันทันทีเลย
ไหหม่า(海馬)