ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 390 วันนี้เสี่ยวเว่ยเป็นอะไรไป
บทที่ 390 วันนี้เสี่ยวเว่ยเป็นอะไรไป
บทที่ 390 วันนี้เสี่ยวเว่ยเป็นอะไรไป
สุดท้ายอวี๋จือก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีต่อหน้าผู้คน บัณฑิตน้อยเพียงแต่เอ่ยเรียก ‘ใต้เท้าเซี่ย’ เพียงเท่านั้น จากนั้นก็เดินเข้าไปข้าง ๆ เซี่ยเชียน
เซี่ยเชียนที่ไม่ได้สนใจผู้ใดกลับเอ่ยถามอวี๋จือขึ้นมาเบา ๆ “เจ้าดื่มไปเยอะหรือ?”
เขาแสดงสีหน้าเย็นชาไม่ต่างจากเวลาที่ปฏิบัติระหว่างอวี๋จือและคนอื่น ๆ มูลเหตุการกระทำของเซี่ยเชียนทำให้เด็กหนุ่มที่อยู่หน้าเขาไม่เข้าใจนัก
อวี๋จือเพียงแค่เลียริมฝีปาก ยื่นมือออกมาจับแขนเสื้อของเซี่ยเชียน “ไม่ได้ดื่มเยอะเลยขอรับ….ใต้เท้าอย่าเซสิขอรับ”
เสี่ยวเว่ยหัวเราะออกมาเบา ๆ ภายใต้ห้องโถงที่เงียบสนิท ส่งให้เสียงหัวเราะเบา ๆ นั้นดังขึ้นอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มเอ่ยพูดกับเซี่ยเชียนด้วยท่าทางสดใส “ใต้เท้าเซี่ยขอรับ วันนี้น้องอวี๋จือคงไม่สามารถกลับไปได้ ถ้าหากท่านไม่พาเขากลับไปด้วย คืนนี้ก็ให้เขาค้างกับข้าก็ได้ขอรับ”
ทุกคนจ้องตาเสี่ยวเว่ย ต่างก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเป็นผู้น้อยจากตระกูลเหยา ภายในใจก็คิดมาหนึ่งประโยค ‘ช่างเป็นคนหนุ่มที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดจริง ๆ’
เซี่ยเชียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในไม่ช้าก็ผละจากไปและหันไปหาเหยาเฉา “ดูเหมือนว่าจะเมาแล้ว เจ้าพาเขากลับจวนสิ”
เหยาเฉาพยักหน้า
ผู้คนต่างก็จ้องมองสีหน้าของเซี่ยเชียนที่ไม่ได้เย็นชาเหมือนเช่นตอนที่อยู่ในวังกลับ ทั้งยังดูเป็นมิตรต่อการสนทนา ใต้เท้าหวังที่อยู่ในโต๊ะของกลุ่มขุนนางก็โบกมือให้กับคนในโต๊ะเพื่อส่งสัญญาณให้เขาพูดขึ้นสักสองสามคำ
ชายหนุ่มผู้ที่ขับเคลื่อนบรรยากาศบนโต๊ะสุราได้ดีที่สุด เข้าใจความหมายในสิ่งที่ใต้เท้าหวังสื่อออกมา เขายกไหสุราขึ้นมาแล้วรินให้กับเซี่ยเชียนหนึ่งจอก และเดินเข้าไปหาเซี่ยเชียนด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเซี่ยมาถึงแล้ว ถือได้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีโอกาสพบเจอได้ยากนัก ถ้าหากว่าไม่ดื่มสักหนึ่งจอก รุ่นน้องอย่างพวกเราก็ไม่อนุญาตให้ท่านผ่านขอรับ”
เซี่ยเชียนขมวดคิ้วแล้วพับแขนเสื้อของตน ก็พบว่าอวี๋จือยังคงดึงเเขนเสื้อของตนไว้แล้วจ้องมองด้วยสีหน้าที่มึนงงไร้ซึ่งสติ
ชายหนุ่มไม่ได้รับจอกสุรามา เพียงแต่เอ่ยขึ้นเบา ๆ “วันนี้ข้ามาพาอวี๋จือกลับ เชิญพวกเจ้าสังสรรค์ต่อให้เต็มที่เถิด”
ชายผู้คารวะสุราผู้นั้นมีสีหน้าเขินอาย ลังเลว่าควรจะวางจอกสุราที่ตนได้ถือไว้ลงดีหรือไม่?
เหยาเฉาเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วรับจอกสุราที่อยู่ในมือชายผู้นั้นมา ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “มีผู้อาวุโสมากมายมาแสดงความยินดีให้กับข้า เหยาเฉารู้สึกซาบซึ้งใจนัก เพียงแต่ใต้เท้าเซี่ยไม่ใช่ผู้ที่ชอบดื่มสุรา ข้าในฐานะเจ้าของบ้าน ขอถือโอกาสเสียมารยาทดื่มสุราจอกนี้แทนใต้เท้าเอง”
ชายผู้คารวะสุรารีบลงบันไดไปหาเหยาเฉา ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวขึ้น “ใต้เท้าเหยาเกรงใจเกินไปแล้ว เราจะไม่ดื่มให้กับเจ้าบ้านได้อย่างไรกัน มา มา พวกเรายกจอกขึ้นมา สุราจอกนี้เพื่อแสดงความยินดีและขอบคุณใต้เท้า!”
ผู้คนบนโต๊ะสุราต่างก็มีท่าทางกระตือรือร้นกันขึ้นมา ทำให้บรรยากาศอึมครึมจากการปรากฏตัวของเซี่ยเชียนเมื่อครู่ได้ผ่อนคลายลงไปเป็นอย่างมาก
เซี่ยเชียนไม่ได้พูดอะไรมากความ เพียงแค่พาอวี๋จือกลับไปเท่านั้น
ทุกคนมองหน้ากัน ต่างมีความรู้สึกสับสนเล็กน้อยขึ้นในหัว เมื่อเห็นเหยาเฉานั่งลง ผู้คนก็เริ่มแอบพูดคุยสอบถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยเชียนและจวนตระกูลเหยา
เหยาเฉาเอ่ยขึ้นอย่างอ้อมค้อม “เด็กหนุ่มในบ้านไม่รู้สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรเลยส่งจดหมายเชิญไปถึงใต้เท้า โชคดีที่น้องอวี๋ก็อยู่ด้วย…คาดว่าใต้เท้ารักษาน้ำใจพวกเราก็เลยแวะเวียนเข้ามา”
ใต้เท้าหวังยิ้มโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
เขาคิดขึ้นในใจ ‘การที่เซี่ยเชียนออกจวนมาเช่นนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าการเลื่อนตำแหน่งเหยาเฉา เกรงว่าก็ไม่น่าจะมีผู้ใดเชื่อ’
หรือเพราะไม่อยากหักหน้าพวกเรา? ก็เห็นได้ชัดเจนว่ากระทั่งสุราหนึ่งจอกก็ไม่ดื่ม เกรงว่าเขาคงจะมาแค่ไว้หน้าของเหยาเฉาน่ะสิ
สหายร่วมงานคนหนึ่งยิ้มขึ้น “ใต้เท้าเหยาช่างถ่อมตนเสียจริง ใครไม่รู้จักน้องเขยของใต้เท้าบ้าง ความดีความชอบในการออกศึกที่ซีเป่ย ดูเหมือนว่าถัดจากแม่ทัพเจียงหนิง ก็เห็นจะมีเพียงใต้เท้าเหยาและใต้เท้าหลิน สองพี่น้องทหารและขุนนางนี่แหละที่จะเป็นเสาหลักให้แก่บ้านเมือง”
“ข้ามิกล้า” เหยาเฉารีบตอบทันที แล้วชนจอกสุรากับฝ่ายตรงข้าม
เซี่ยเชียนเป็นผู้นำของเหล่าขุนนาง คำพูดของเขามีอิทธิพลมากในราชสำนัก ทุกคนต่างคิดว่าเขาเองก็เต็มใจที่จะมาจวนตระกูลเหยา และรู้ว่าวันข้างหน้าจะต้องระมัดระวังความคิดหรือทัศนคติที่เขามีต่อเหยาเฉาให้มากขึ้น
เวลานั้นผู้คนก็กรูกันมาคารวะสุรากันอีกครั้ง
ผู้คนสังสรรค์ตั้งแต่หัวค่ำและดำเนินต่อไปจนถึงเที่ยงคืน สุราหมดไปแล้วกว่าสิบไห แต่ละคนต่างก็โซซัดโซเซ ก่อนที่จะเลิกราจากกันไป
เหยาเฉายังคงยืนอยู่เงียบ ๆ คอยส่งผู้คนขึ้นรถม้ากลับจวนของตน พอเห็นพวกเขาออกไปได้ไกลระยะหนึ่งชายหนุ่มจึงเดินกลับเข้าไปในจวนตระกูลเหยา
หลังจากที่ความโกลาหลวุ่นวายได้จบลง ความสงบก็กลับมาสู่จวนตระกูลเหยาอีกครั้ง มีแต่เสียงร้องที่ไม่หยุดหย่อนของเหล่านกและแมลงในฤดูร้อนที่คอยมาเป็นฉากหลังทดแทนความโกลาหลที่ได้หายไป
“พี่รอง ดื่มไปเยอะหรือไม่?”
เสี่ยวเว่ยยิ้มขึ้น แล้วนั่งยอง ๆ ลงบนหินขนาดใหญ่ในลานบ้าน แสงสว่างจากตะเกียงไฟอันอบอุ่นกระทบใบหน้า ทำให้ดูเด็กลงไปไม่น้อย
เหยาเฉายิ้มขึ้น “ยืนอยู่บนที่สูงขนาดนั้นทำไม? ระวังจะตกลงมา รีบลงมาเร็วเข้า!”
เสี่ยวเว่ยเบะปาก ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะเชื่อฟังคำพูดของเหยาเฉา แต่กลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าสอนวิชาตัวเบาให้เอ้อหลางนะ จะตกลงมาง่าย ๆ ได้อย่างไร วันนี้เห็นท่านดื่มสุราไปก็ไม่น้อย แต่พอดูพี่รองแล้วกลับดูไม่ได้มึนเมาเลย”
เหยาเฉาเห็นเขายืนหยัดอย่างมั่นคง จึงได้กล่าวว่า “เจ้าก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่พยายามต้านข้าไว้อย่างสุดกำลัง ไม่พูดเรื่องอื่นละ วันนี้ทำไมเจ้าจึงปล่อยให้อวี๋จือเมาเร็วขนาดนั้น?”
เสี่ยวเว่ยหัวเราะออกมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข “ท่านบอกว่าข้าดื่มได้ไม่เยอะ ท่านดูเจ้าอวี๋จือนี่สิ คงจะรู้ว่าเพียงหนึ่งจอกก็ล้มคว่ำคืออะไร”
เหยาเฉาเดินเคียงข้างเด็กหนุ่มกลับเข้าไปในเรือน ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าบอกให้เจ้าดูแลเอาใจใส่เขาให้ดี นี่คือวิธีการดูแลเอาใจใส่ของเจ้าหรือ?”
เสี่ยวเว่ยทำปากยื่น “ข้าดูแลเอาใจใส่เขาหรือ? เขาไม่ได้มีใต้เท้าเซี่ยดูแลเอาใจใส่แล้วหรอกหรือ?”
การได้ดื่มสุราในมื้อนี้ทำให้สมองของเหยาเฉามึนงงอยู่ไม่น้อย จึงไม่รู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องราวอะไรกับเสี่ยวเว่ย
เขาไตร่ตรองคำพูดของเด็กหนุ่มอย่างถี่ถ้วน ถึงจะเข้าใจในความหมาย และอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเด็กหนุ่ม “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เจ้ารู้สึกว่าเรื่องไหนมันไม่ยุติธรรม?”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มอมศิษย์เขาเมามายขนาดนั้น เขาก็ต้องมาพาตัวกลับอยู่แล้ว
เสี่ยวเว่ยเกิดอาการหวงพี่ชายงั้นหรือ
ไหหม่า(海馬)