ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 403 เหมือนกับไม่เกี่ยวกับนาง
บทที่ 403 เหมือนกับไม่เกี่ยวกับนาง
บทที่ 403 เหมือนกับไม่เกี่ยวกับนาง
ไม่มีข่าวคราวของหลินเหราจากซีเป่ยมานานมากแล้ว เหยาซูแค่คิดว่าสถานการณ์ทางชายแดนคงคับขันจริง ๆ เขาถึงไม่มีเวลาเขียนจดหมายส่งมาที่บ้าน
โชคดีที่ร้านขายผ้าสำเร็จรูปที่ปรึกษาหารือกับเถ้าแก่เนี้ยเซวียได้มีการดำเนินการแล้ว ความสนใจส่วนมากของนางจึงทุ่มให้กับกิจการ และมักจะพูดคุยกับช่างตัดเสื้อเป็นครึ่งค่อนวัน ทั้งยังลากอาซือติดตัวไปด้วยตลอด
ในบรรดาช่างตัดเสื้อประกอบไปด้วยชายสามหญิงเจ็ด หนึ่งในนั้นคือสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งชื่นชอบเด็กเป็นชีวิตจิตใจ
เช้าตรู่วันนี้ เหยาซูได้พาอาซือไปตรวจเสื้อผ้าที่เหล่าช่างตัดเสื้อรังสรรค์ขึ้น ครั้นแม่หูผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับอาซือที่สุดเห็นทั้งสองคน จึงรีบรุดหน้าเข้าไปด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูอาซือตามนายหญิงมาอีกแล้ว?”
อาซือยืนนิ่ง ก่อนจะกล่าวทักทายอย่างว่าง่าย “ป้าหู”
แม่หูมีผิวหน้าที่เนียนใส นิ้วมือเนียนละเอียดราวกับไม่เคยทำงานที่หนักมาก่อน จูงมือของอาซือ พลางมองไปทางเหยาซูและพูดว่า “นายหญิง เสื้อผ้าที่เราทำในช่วงสองสามวันนี้อยู่ในห้อง นายหญิงเข้าไปดูได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะพาคุณหนูไปห้องถัดไป”
ดวงตาสีดำดุจอัญมณีของอาซือคู่นั้นเปล่งประกายฉับพลัน “ชุดกระโปรงที่ป้าหูบอกจะตัดเย็บให้ข้าคราวที่แล้วเสร็จแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ป้าหูยิ้ม จากนั้นก็ลูบศีรษะของอาซือ แล้วเอ่ยด้วยความอ่อนโยนว่า “เสร็จแล้ว สีสันและรูปแบบเข้าทรงมาก คุณหนูอาซือจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน”
เด็กสาวโห่ร้องด้วยความดีใจ ก่อนจะมองไปยังผู้เป็นแม่ด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เหยาซูไม่เคยกีดกันอาซือหากจะมีคนที่ตัวเองชื่นชอบและคนสนิท แค่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ให้พวกเขา ส่วนตัวเองก็ตรงไปยังห้องโถงกลาง เพื่อดูเสื้อผ้าที่นางได้สั่งไว้ก่อนหน้านั้นสองสามตัวว่าสมบูรณ์แบบแล้วหรือไม่
เมื่อแม่หูจูงมือของอาซือพานางไปยังห้องถัดไปแล้ว เหยาซูได้หันมากำชับรายละเอียดของเสื้อผ้าที่ต้องการแก้ไขกับช่างตัดเสื้อเหล่านั้น
เสียงอันไพเราะเสนาะหูของเด็กสาวเจือไปด้วยความขบขัน “ท่านแม่! มาดูชุดกระโปรงที่ป้าหูทำให้ข้าเร็ว งดงามหรือไม่เจ้าคะ?”
เหยาซูปรายตามอง กระทั่งเห็นอาซือที่มีผิวขาวใสในชุดกระโปรงยาวสลับสีระหว่างสีขาวและสีเหลืองอ่อนทั้งตัว ยิ่งขับให้นางดูผุดผ่องเป็นยองใยมากขึ้น
ชุดกระโปรงยาวตัวนั้นเข้ากับรูปร่างของอาซือพอดี ชายกระโปรงที่ไม่ได้ดูพองรุ่มร่ามเพราะยาวเกินไปและไม่ได้สั้นจนเสียมาดขรึม บริเวณเอวถูกผูกด้วยสายคาดสีเหลืองอ่อนขับให้ทรวดทรงของเด็กหญิงดูชัดขึ้น ประกอบกับเชือกผูกสีเดียวกันห้อยลงมา ยามเดินก็โบกพลิ้วไสวอย่างมีชีวิตชีวาและน่ารักยิ่ง
เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้มว่า “งดงามมาก ผีเสื้อตัวน้อยที่ไหนกันถึงได้งดงามเพียงนี้? มาให้แม่ดูหน่อยสิ สงสัยแอบไปกินน้ำหวานดอกไม้มากเกิน ถึงได้มีรูปร่างเช่นนี้!”
ระหว่างนั้น ทุกคนภายในห้องก็พากันหัวเราะลั่น
อาซือในชุดนี้งดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัสดุผ้าที่สอดคล้องกับนาง ก็รู้ในทันทีว่าแม่หูทำด้วยใจ
เด็กสาวเอ่ยอย่างสดใส “ป้าหูบอกว่า ชุดนี้นางจะตัดสีขาวบริสุทธิ์อีกหนึ่งชุด ไปบ้านพี่ไป๋คราวต่อให้ไปให้ข้านำไปด้วยนะเจ้าคะ จะได้ใส่เหมือนกับนาง!”
สีหน้าของเหยาซูเผยความอบอุ่นออกมา จากนั้นก็ตอบรับคำของอาซือด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยอย่างจริงใจ “ลำบากท่านพี่แย่เลย แล้วก็ทุกคนด้วย เสื้อผ้าที่ตัดออกมาเก่งสมคำร่ำลือ สองสามวันนี้มันไม่ง่ายเลยที่จะเร่งทำให้เสร็จ วันนี้เราไม่สู้ไปกินอาหารในร้านอาหารสักมือ จะได้ผ่อนคลายกันหน่อยดีหรือไม่?”
เสื้อผ้าที่ทุ่มแรงใจรังสรรค์ออกมาได้รับการชื่นชมจากเจ้าของร้าน ในใจของช่างตัดเย็บเสื้อผ้าเหล่านั้นต่างก็โล่งใจอย่างมาก เมื่อเห็นนางเชื้อเชิญอย่างจริงใจ ทุกคนก็พากันตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
ทางฝั่งเหยาซูกำลังเจริญรุ่นเรือง ส่วนทางฝั่งของตู้เหิงนั้น วันเวลาที่ผ่านไปกลับไม่ได้ผ่อนคลายเพียงนั้น
ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วได้รับการล้างมลทินจากข่าวลือครั้งหนึ่งแล้ว จึงไม่กล้าเอาวัสดุผ้าที่มีกลิ่นแปลกประหลาดออกมาขายอีก นับแต่นี้ลูกเล่นนี้ก็หายไป
นอกเหนือจากนี้ คุณภาพของผ้า ลวดลายที่หลากหลาย ไปจนถึงคุณภาพของการบริการในร้าน ร้านขายผ้าเหยาจี้ล้วนชนะร้านขายผ้าจิ่นซิ่วที่อยู่บนถนนอีกสายหนึ่ง
ลูกค้าบางส่วนที่ไม่อาจตัดใจโดยง่าย ก็ยังคงวิ่งไปเลือกผ้าจากร้านขายผ้าจิ่นซิ่วที่มีชื่อเสียงไม่ดีแห่งนั้น สงครามคราวนี้ยังไม่ทันเริ่มต้น ตู้เหิงก็เสียโอกาสไปแล้ว
ด้วยความจนปัญญา ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วทำได้แค่กดราคาให้ต่ำลง เพื่อดึงดูดลูกค้า
แต่ถึงแม้ว่าจะกดราคาให้ต่ำลงแล้ว เหยาซูก็ไม่ยอมให้แผนการของพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่น
วันนี้ เถ้าแก่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วถือสมุดบัญชีในมือพลางรายงานต่อตู้เหิงที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก “นายหญิงขอรับ ผ้าของเราถูกกดราคาจนต่ำที่สุดแล้ว นายหญิงดูนี่…”
สองสามวันนี้ตู้เหิงมักจะมาดูร้านอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
เช้าตรู่วันนี้นางพาเสี่ยวหงมาด้วย ไถ่ถามถึงยอดขายของผ้าในช่วงสองสามวันนี้ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถึงผลลัพธ์ กลับถูกเถ้าแก่ที่มีสีหน้าเป็นกังวลขวางหน้าประตูเสียก่อน
ตู้เหิงรู้สึกไม่พอใจอยู่ภายใน แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเสียมารยาทเกินไป แต่เมื่อครุ่นคิดหนึ่งตลบ เถ้าแก่ร้านตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง จะไปเข้าใจมารยาทได้อย่างไร? สุดท้ายก็เป็นได้แค่ผู้หยาบกระด้างคนหนึ่งเท่านั้น
ปกติยามที่ไม่มีลูกค้าในร้าน ตู้เหิงก็มักจะใส่ผ้าคลุมหน้า แววตาที่เย็นชาคู่นั้นได้กวาดมองไปยังลูกจ้างที่ยืนสบาย ๆ อยู่ข้างตู้วางสินค้า แล้วพูดกับเถ้าแก่ว่า “มีเรื่องอะไร ค่อยเข้าไปพูดด้านใน”
เถ้าแก่เดินตามตู้เหิงต้อย ๆ เข้าไปในห้องโถงถัดไป บางทีอาจเพราะนอนเสียดึกดื่น สติสัมปชัญญะจึงไม่สมบูรณ์ แม้แต่น้ำชาก็ยังลืมยกมาให้ตู้เหิง
ถึงอย่างไรนางเองก็ไม่ดื่มชาที่มีคุณภาพต่ำของในร้าน รินแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
ตู้เหิงนั่งประจำที่ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “กิจการในช่วงสองสามวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ขายสินค้าที่มีออกไปบ้างหรือไม่?”
เถ้าแก่ร้านยกสมุดบัญชีขึ้นมา แล้วรายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หลังจากที่เรากดราคาให้ต่ำลงสามส่วน ผลลัพธ์คือขายออกไปได้ไม่น้อย แต่วัสดุผ้าที่มีกลิ่นหอมเหล่านั้น ยังไม่มีผู้ใดมาสอบถาม…”
ตู้เหิงเคืองโกรธอยู่เงียบ ๆ ในใจ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “กดราคาให้ต่ำกว่านี้ได้อีกหรือไม่?”
เถ้าแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้มลำบากใจ “วันนั้นเจ้านายบอกว่าอยากย้อมกลิ่นลงบนผ้า เพื่อเก็บกลิ่นหอมนี้ไว้ให้นานที่สุด เราเลยยอมเสียเงินไปกว่าสองตำลึง จากการคิดคำนวณ ผ้าหนึ่งผืนมีราคาต้นทุนสูงกว่าผ้าทั่วไปเป็นเท่าตัว ราคาในตอนนี้ ขายขาดทุนมากแล้วขอรับ”
ตู้เหิงส่ายหน้า แล้วพูดเสียงต่ำ “แค่นั้นไม่พอ ลดอีก”
สมองที่เต็มเปี่ยมของเถ้าแก่ล้วนมีแต่ผ้าที่กองสุมเหมือนภูเขาในคลังสินค้า ถ้าขายออกไปก่อนหน้านั้น เขาคงจะดีใจจนตัวเบาไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับขายขาดทุน ผ้าที่อยู่ในห้องนี้ ทุกผืนที่ขายออกไปราวกับมีดที่ทิ่มแทงลงมาบนร่างกายของเขา ทำให้เจ็บปวดเจียนตาย
ครั้นได้ยินเจ้าของร้านบอกให้ลดราคาให้ต่ำลงอีก เถ้าแก่ถึงกับลมจับเกือบเป็นลมทันใด “นายหญิง! ความนิยมในตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้ว่าเราจะขายผ้าเหล่านี้ให้เทียบเท่ากับราคาผ้าทั่วไป ก็ไม่มีใครยอมซื้อขอรับ!”
ถ้าเถ้าแก่สนใจแค่เรื่องที่ต้องทำแทนตู้เหิง เขาก็คงไม่ต้องเอาเรื่องกำไรและขาดทุนในร้านมาใส่ใจเกินไป อย่างมากสุดก็แค่ถูกเจ้าของไล่ออก
แต่ครั้นเขาเห็นตู้เหิงยอมทุ่มเทแรงกายในการย้อมผ้าให้มีกลิ่นหอมในวันนั้น อีกทั้งเศรษฐีเมืองหลวงต่างก็ชอบผ้าเหล่านี้ จึงอดพิศวงไม่ได้ จนต้องลงทุนเงินจำนวนมากให้กับร้านขายผ้า
สินค้าที่ขายไม่ออกและค้างอยู่ในคลังตอนนี้ บางอย่างก็เป็นผ้าที่เขาเก็บสะสมไว้เอง จะให้บอกว่าขาดทุนแล้วก็ให้ขาดทุนไปเลยได้อย่างไรกัน?
เถ้าแก่พยายามพูดเกลี้ยกล่อมตู้เหิงด้วยความหวังดีว่า “นายหญิงขอรับ ราคานี้มันลดไม่ได้แล้วจริง ๆ ถ้าผ้าที่เต็มห้องต้องขายขาดทุนทั้งหมด ร้านของเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรขอรับ?”
ใครจะไปคิดเล่าว่าตู้เหิงกลับไม่ใส่ใจ แค่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ขาดทุนแล้วอย่างไร? ตราบใดที่กดราคาให้ต่ำมากพอ ก็ย่อมมีคนซื้อกลับไป ถึงตอนนั้นผ้าเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ ข่าวลือเหล่านั้นก็คงเงียบไปเอง”
เถ้าแก่แทบจะร้องไห้ ตู้เหิงชดใช้ได้ แต่เขาชดใช้ไม่ได้!
เขามีสีหน้าเหนื่อยหน่าย นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยอันเป็นผลมาจากการนอนไม่หลับ ทำได้แค่ข่มอารมณ์ แล้วปรึกษากับตู้เหิงด้วยความประนีประนอม “นายหญิงขอรับ ตอนนี้ข่าวลือก็เริ่มซาไปไม่น้อยแล้ว ไฉนยังต้องยอมแลกถึงเพียงนี้เพื่อพิสูจน์อีก? รออีกเสียหน่อย อีกไม่กี่เดือน ผู้คนก็คงลืมไปเอง ถึงตอนนั้นผ้าของเราก็ยังขายออกขอรับ”
เถ้าแก่กลุ้มใจกับเรื่องนี้ไม่ใช่แค่วันสองวัน ครุ่นคิดหาวิธีหลายตลบ บัดนี้จึงได้โพล่งสิ่งที่อยู่ในสมองออกไป “ถ้าไม่ได้จริง ๆ เราค่อยขนผ้าที่มีกลิ่นหอมไปขายทางตอนใต้ ไม่ต้องเปิดร้าน แค่ตั้งแผงขายสักที่…”
ตู้เหิงนิ่งไม่ไหวติง เหมือนกับว่าสาเหตุที่เถ้าแก่ต้องปวดหัวกับร้านและคลังผ้ามาหลายวันนั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง
นางแค่ส่ายหน้าและพูดว่า “ข้าบอกว่าขาย เจ้าก็สนใจแค่กดราคาก็พอ”
ปากของเถ้าแก่ถึงกับแห้งผาก เมื่อเห็นเจ้าของร้านยังมีทิฐิสูงเช่นนี้ เขาก็แทบจะคลุ้มคลั่ง
ตู้เหิงเลือกขายผ้าแบบขาดทุน นั่นคือการไตร่ตรองของนางเอง นอกจากจะสยบข่าวลือแล้ว นี่ยังเป็นวิธีการที่จะเอาชนะใจลูกค้าให้ได้ผลเร็วที่สุดด้วย
สำหรับจะขาดทุนหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการไตร่ตรองของนาง