ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 404 เปิดร้าน
บทที่ 404 เปิดร้าน
บทที่ 404 เปิดร้าน
เถ้าแก่ร้านสนใจแค่วัสดุผ้าที่ตัวเองลงทุนไปกับร้านขายผ้าว่าขายออกเท่าไร ได้ทุนกลับมาทั้งหมดหรือไม่ คงไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดถึงอนาคตของร้านขายผ้าหรอก
เขาแค่ข่มอารมณ์ไว้ แล้วถอยหนึ่งก้าวก่อนจะพูดว่า “นายหญิงสั่งให้กดราคา ข้าเองก็หมดหนทางอื่น แต่ถ้ายังขายไม่ออกอีก ข้าคงต้องขอลาออก เปลี่ยนให้คนที่มีความสามารถมาทำหน้าที่เถ้าแก่ร้านตรงนี้แทนขอรับ”
ครั้นตู้เหิงเห็นเถ้าแก่เริ่มมีทีท่าจะถอย จึงได้แต่ยิ้มเยาะเย็นชาในใจอย่างไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้ และพูดว่า “ต่างคนต่างมีความปรารถนาไม่เหมือนกัน ถ้าเถ้าแก่อยากจะออกจริง ๆ ก็ตามสบายเถอะ”
เดิมทีเถ้าแก่ไม่คิดจะลาออก เขาเป็นคนของมารดาตู้เหิง ถือว่าเป็นสายเลือดโดยตรง เป็นญาติที่สนิทที่สุด
แต่ตอนนี้ตู้เหิงไม่เพียงแต่จะทำให้เขาเสียโลงศพแล้ว ยังใช้น้ำเสียงแข็งทื่อตอบกลับเขาอีก ความโกรธเคืองต่อตู้เหิงที่เถ้าแก่สะสมมาหลายวัน ในที่สุดก็ระเบิดออกมา
ในเมื่อตู้เหิงไม่สนใจเขา เหตุใดเขาถึงต้องรองรับอารมณ์เช่นนี้ของนางด้วย? แต่เงินที่ตัวเองลงทุนไป ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะปล่อยให้ละลายไปกับสายน้ำไม่ได้!
เถ้าแก่จัดการอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้าของตัวเองครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนจะตกใจกับคำพูดของตู้เหิงไม่น้อย จึงรีบเอ่ยด้วยความจงรักภักดี “นายหญิง ข้าคือคนที่ติดตามนายหญิงเป็นคนแรกสุด เป็นคนที่เปิดร้านขายผ้าจิ่นซิ่วมากับมือตัวเอง เหตุใดพอบอกว่าจะไปก็ไปได้เลยเล่าขอรับ? นายหญิงกดราคา ข้าก็ต้องกดตามสิขอรับ!”
ตอนนี้เงินในบัญชีจวนจะไม่พออยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเอาทุนกลับมาให้จงได้!
ก็แค่กดราคาไม่ใช่หรือ? เขาไม่เชื่อหรอกว่าผ้าทั้งคลังจะขายไม่ออกสักตำลึงเดียว!
ครั้นคิดเช่นนี้ เถ้าแก่จึงไม่สนใจคำสั่งต่อไปของตู้เหิงให้เสียเวลา แค่คิดหาทางว่าจะทำให้ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วที่กำลังร่อแร่แห่งนี้ส่งเสียงฮึดเฮือกสุดท้ายขึ้นมาอย่างไร
ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วเริ่มทวนกระแสชนิดที่เรียกว่าคลุ้มคลั่งอีกครั้ง
แม้แต่เหยาซูที่ไม่เคยเห็นตู้เหิงอยู่ในสายตามาตลอด ครั้นเห็นการเคลื่อนไหวของร้านขายผ้าจิ่นซิ่วก็ยังประหลาดใจอย่างมาก
วันนี้นางเพิ่งมาถึงร้านขายผ้าได้ไม่นาน ก็ได้ยินเถ้าแก่อู๋รายงานว่า “นายหญิง เมื่อวานร้านขายผ้าจิ่นซิ่วเริ่มลดราคากระหน่ำอีกครั้ง ผ้าทั่วไปถูกลดราคาเป็นสองเท่าน้อยกว่าผ้าที่ขายอยู่ในตลาดของพวกเราเสียอีก แล้วก็ผ้าที่อบร่ำกลิ่นหอมชนิดนั้น…”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ เขาเกิดความลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนจะแสดงความรู้สึกที่น่าเวทนาสุดจะทนออกมาทางใบหน้าด้วย
เหยาซูไม่เข้าใจ จึงซักถามเขา “ผ้าที่อบร่ำกลิ่นหอมแล้วอย่างไรเล่า?”
สีหน้าของเถ้าแก่อู๋ค่อนข้างประหลาดใจ แล้วพูดว่า “ผ้าชนิดนั้นเดิมทีไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำ ผลลัพธ์หลังจากที่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วกดราคาให้เทียบเท่ากับราคาของผ้าทั่วไปถึงห้าส่วน ก็มีคนไม่น้อยแห่กันมาซื้อไปขอรับ”
เหยาซูตื่นตกใจกับข่าวนี้อย่างมาก หญิงสาวครุ่นคิดจำนวนห้าส่วนอย่างคร่าว ๆ จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ดูท่าเราคงจะดูถูกความสามารถของตู้เหิงเกินไปแล้ว”
เถ้าแก่อู๋เหมือนกับกลืนแมลงวันเข้าไปหนึ่งตัว อาจเพราะรสชาติที่อธิบายไม่ได้ในปากทำให้ริ้วรอยทั่วใบหน้านั้นยิ่งดูลึกขึ้นกว่าเดิม
“นายหญิง…พวกเขากล้าขายแบบนั้น ไม่กลัวว่าจะขาดทุนแม้แต่หน้าร้านก็อยู่ต่อไปไม่ได้หรือ?”
เหยาซูยิ้มเยาะเบา ๆ หนึ่งเสียง แล้วพูดว่า “สิ่งที่ตู้เหิงมีคือเงิน ต่อให้ร้านจะขาดทุนสักเท่าไร นางก็แบกรับได้”
สีหน้าของเถ้าแก่อู๋หม่นหมองลงทันใด “เช่นนั้นช่วงสองสามวันนี้ของเรา ไม่ต้องสู้กับพวกเขาหรือ?”
เหยาซูชำเลืองมองชายวัยกลางคนแวบหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่เปลี่ยนแปลง “เหตุใดเถ้าแก่ถึงคิดเช่นนี้?”
เถ้าแก่อู๋ยังคงพูดอย่างไม่ลดละ “ข้าไปถามมาแล้ว ที่แท้ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วก็อบร่ำกลิ่นผ้าเอง ยอมเสียเงินไปไม่น้อย ตอนนี้พวกเขากล้ากดราคาผ้าให้ต่ำลงถึงราคานี้….ถ้าเคยผ่านการกดราคานี้มาแล้ว ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วยังอยู่ต่อไปได้ เกรงว่าเราคงจะสู้กับเขายากมากขึ้นขอรับ”
ที่เถ้าแก่อู๋พูดก็มีเหตุผล
อย่าว่าแต่การกดราคาอย่างคลุ้มคลั่งเลย ร้านขายผ้าทั่วไปที่ไม่เชี่ยวชาญด้านการบริหารจนต้องขาดทุนไปหนึ่งถึงสองส่วน ล้วนแต่เป็นหายนะที่ยากแก่การต้านทานทั้งสิ้น
แต่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่ว…
เหยาซูมองท่าทางหดหู่ของเถ้าแก่อู๋ จึงทำได้แค่ยิ้มบาง ๆ แล้วปลอบใจเขาว่า “เถ้าแก่อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นไป เราคอยดูไปก่อนเถอะ”
เถ้าแก่อู๋ไม่ได้โง่ เขาอยู่ในแวดวงค้าขายมาหลายปี ย่อมมีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าหลายคน นอกเสียจากว่าจะถูกร้านขายผ้าจิ่นซิ่วข่มขวัญกำลังใจ เขาถึงจะมีเรื่องให้ต้องกังวลมากกว่าเดิม
“นายหญิง…”
ครั้นเห็นเขาหยุดชะงักไป เหยาซูจึงให้กำลังใจต่อว่า “เถ้าแก่อู๋มีอะไรก็พูดมาได้เลย”
ในใจของเถ้าแก่อู๋อดกลั้นมาครึ่งคืนแล้ว ท้ายที่สุดก็ระบายใส่เหยาซู “ถ้าร้านขายผ้าจิ่นซิ่วเด็ดขาดขึ้นมาจริง ๆ ยอมใช้วิธีขาดทุนมาดึงลูกค้า ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะดึงดูดลูกค้าได้ เกรงว่าจะเสียความนิยมไปไม่น้อย…”
เหยาซูยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เป็นกังวลเรื่องนี้หรือ?”
เถ้าแก่อู๋เห็นหญิงสาวไม่สะทกสะท้าน จึงได้แต่พูดด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “แล้วยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ร้านไม่สามารถสู้ต่อไปได้ยิ่งกว่าการขาดทุนและการเสียความนิยมของลูกค้าอีกหรือขอรับ? นายหญิงมีความคิดเห็นอะไร อย่าอุบอิบไว้สิขอรับ วันนี้ข้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับจริง ๆ ถ้ายังนอนดึกอีกสองสามวัน คงจะแก่ก่อนวัยอันควรเป็นแน่!”
เหยาซูจึงอดขบขันออกมาไม่ได้ ก่อนจะเลิกคิ้วสูง ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้ยังคงความสงบนิ่งทางสีหน้าไว้ได้ ทำให้เถ้าแก่อู๋ที่กำลังกระวนกระวายอยู่เห็นแล้วสงบลงมากอย่างไม่ทราบสาเหตุ
กระทั่งได้ยินนางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เถ้าแก่ไม่ต้องกังวลไปหรอก การที่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วยอมเทหมดหน้าตักคราวนี้ ถ้าลุกขึ้นไม่ได้ก็ดีไป แต่ถ้าลุกขึ้นได้ เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกแย่งลูกค้าไปหรอก”
ครั้นเถ้าแก่อู๋เห็นนางมั่นใจ แต่กลับยังอุบอิบไว้ จึงอดซักถามอย่างเร่งเร้าไม่ได้ “นายหญิงมีอุบายอะไร? รีบ ๆ บอกข้ามาสิขอรับ!”
เหยาซูจึงถามกลับ “เถ้าแก่อู๋รู้ดีว่าช่วงนี้ข้ากำลังทำสิ่งใดไม่ใช่หรือ?”
สองสามวันนี้ชายวัยกลางคนมักจะหน้านิ่วคิ้วขมวดจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว คิ้วขมวดกันแน่นจนเกิดเป็นปมเลยทีเดียว ก่อนจะพูดกับเหยาซูว่า “เรื่องที่นายหญิงเตรียมตัวเปิดร้านขายผ้าสำเร็จรูปข้ารู้ดี แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวสิ่งใดกับร้านขายผ้าของเราด้วยหรือขอรับ?”
เหยาซูยิ้ม ริมฝีปากสีแดงเผยรอยยิ้มออกเล็กน้อยจนเห็นฟันขาว พลางส่ายหน้าและพูดว่า “เถ้าแก่อู๋นะเถ้าแก่อู๋ ท่านเฉลียวฉลาดปานนี้ เหตุใดถึงคิดไม่ออก?”
เถ้าแก่อู๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาอยากจะเขกศีรษะจริงเชียว สิ่งที่อึ้งคือไม่รู้ความหมายของเหยาซู จึงรีบเกาหูเกาแก้มด้วยความตื่นเต้น
เขาทนไม่ได้จริง ๆ จนต้องเอ่ยปากขอร้อง “นายหญิง อย่าอุบอิบไว้อีกเลย!”
เหยาซูขบขันอยู่ในใจ ครั้นเห็นเขาให้ความสำคัญกับกิจการร้านขายผ้า จึงไม่อาจทรมานเถ้าแก่อู๋ต่อไปได้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่อู๋คงลืมเรื่องการขยายสาขาที่เราเคยพูดไว้เมื่อตอนแรกเริ่มแล้วสินะ?”
เมื่อคำว่า ‘ขยายสาขา’ โพล่งออกมา ในสมองของเถ้าแก่อู๋ที่เดิมทีสับสนงุนงง ก็เหมือนกับไฟฟ้าวาบผ่านก็มิปาน มันสว่างโร่ขึ้นทันใด
เขาเดาอย่างระมัดระวัง “ที่นายหญิงพูดก็คือร้านขายผ้าสำเร็จรูปและร้านขายผ้า?”
เหยาซูพยักหน้า แล้วพูดว่า “ถูกต้อง เถ้าแก่เป็นกังวลเรื่องแหล่งลูกค้าไม่ใช่หรือ? เราก็แค่ต้องนำผู้อื่นหนึ่งก้าว เปิดร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่มองจากรูปแบบใหม่ ใส่แล้วสบาย สีสันสวยงาม ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก ตราบใดที่เสื้อผ้านั้นขายดี ต่อไปก็ขายร่วมกับผ้าเป็นผืนไปเลย ข้าถามท่านหน่อยสิ ถึงตอนนั้นท่านยังกังวลว่าผ้าจะขายไม่ออกอีกหรือไม่?”
ปมคิ้วที่ขมวดกันแน่นของเถ้าแก่อู๋เริ่มคลายออก ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ปรบมือพลางพูดว่า “ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม! เมื่อครู่ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะสู้กับร้านขายผ้าจิ่นซิ่วอย่างไร จะแย่งลูกค้าของร้านกลับมาอย่างไร แต่คิดก็เท่าไรก็คิดไม่ออก หากเป็นเช่นที่ท่านพูด นอกจากจะต้านทานอย่างแข็งขันแล้ว ยังอ้อมกลับมาโจมตีได้อีกด้วย!”
ครั้นเหยาซูเห็นเขาชอบลืมตัว ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มออกมา
เถ้าแก่อู๋มัวแต่ดีใจ จนไม่สนใจว่าตัวเองจะมีท่าทางอย่างไร ก่อนจะพูดกับเหยาซูว่า “นายหญิงอย่าขำข้าสิขอรับ เปรียบเทียบกับนายหญิงแล้ว ข้าคงแก่เกินไป ไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย เอาแต่พึ่งพาความคิดของนายหญิง”
เหยาซูไม่เห็นเขาเป็นคนนอก จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน “เถ้าแก่อู๋ไม่ต้องทำเช่นนี้ ท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อร้านโดยแท้จริง เรื่องนี้ข้าเห็นมากับตา ท่านวางใจเถอะ รอให้ร้านขายเสื้อผ้าเปิดก่อน เราค่อยหาทางขายเสื้อผ้าและผืนผ้าออกไปพร้อมกัน อีกอย่าง การตัดเย็บเสื้อผ้าของเราก็ใช้ผ้าจากในร้านได้”
ดูเหมือนใบหน้าของเถ้าแก่อู๋จะเหมือนถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง ยิ้มแย้มดั่งบุปผาที่เบ่งบานไม่มีทีท่าว่าจะหุบ อยากจะให้นายหญิงเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่ตัดเย็บแล้วข้างร้านขายผ้าในตอนนี้เสีย
เขาเร่งเร้า “นายหญิงเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? แล้วจะเปิดร้านเมื่อใดขอรับ?”
เหยาซูเองก็ไม่อยากปิดบังเถ้าแก่อู๋ จึงพูดแค่ว่า “ตอนนี้ทำเสื้อผ้าของบุรุษและสตรีออกมาสองสามตัวแล้ว สองสามวันนี้จะทำการแก้ไขรายละเอียดเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ค่อยให้ช่างตัดเย็บมาทำการตัดเย็บมันขึ้นมา”
เถ้าแก่อู๋รีบถามว่า “มีช่างตัดเย็บตั้งสิบคนไม่ใช่หรือขอรับ? หรือว่ามีคนลาออกไปแล้วหรือขอรับ?”
เหยาซูส่ายหน้า “ไม่เคยมีใครลาออก แต่ในบรรดาช่างตัดเย็บเหล่านี้เป็นคนที่เถ้าแก่เนี้ยเซวียแนะนำมา ข้าเห็นว่ามีหลายคนที่มีความสามารถ ต่อไปในร้านขายผ้าของเราก็จะมีหลากหลายรูปแบบ ช่างตัดเย็บเหล่านี้ ข้าตั้งใจจะให้พวกเขารับหน้าที่ออกแบบเสื้อผ้าที่ทันสมัย ถ้าเป็นเช่นนี้ จำนวนคนของเราไม่พอแน่นอน”
เถ้าแก่อู๋เห็นนางพูดแบบนี้ ในใจผ่อนคลายลงครึ่งหนึ่ง แต่เขาผู้มีนิสัยขี้กังวลจึงได้พูดขึ้นอีกว่า “นายหญิงวางใจเถอะ ช่างตัดเย็บเหล่านี้ที่อยู่ที่นี่ข้าเองก็รู้จักอยู่สองสามคน ฝีมือล้วนรับประกันได้ รังสรรค์ผลงานได้ทุกเมื่อ ถ้านายหญิงมีสิ่งใดอยากให้ข้าทำ รีบบอกข้าได้ทันทีเลยนะขอรับ!”
เหยาซูยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ต่อไปก็คงต้องพึ่งเถ้าแก่อู๋ป่าวประกาศเปิดร้าน ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากทั้งสิ้น ท่านเองก็มีประสบการณ์ ถึงตอนนั้นทั้งสองฝ่ายอาจจะป่าวประกาศด้วยกันก็ได้”
เถ้าแก่อู๋ชื่นชอบคำว่า ‘ป่าวประกาศ’ ที่เหยาซูใช้มากที่สุด
แค่ป่าวประกาศออกไป ตราบใดที่มีคนรู้ ร้านค้าของพวกเขาก็จะทำกิจการต่อไปได้อย่างแน่นอน
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอาสิ ฝั่งหนึ่งขายลดหมดหน้าตัก อีกฝ่ายหนึ่งเตรียมขยายกิจการแล้ว ยังอยู่ได้โดยไม่เจ๊งก็ให้มันรู้ไป
ไหหม่า(海馬)