ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม - บทที่ 405 สร้างปัญหา
บทที่ 405 สร้างปัญหา
บทที่ 405 สร้างปัญหา
ครั้นเถ้าแก่อู๋เห็นเจ้านายเชื่อมั่นในตัวเองเช่นนี้ จึงรู้สึกซาบซึ้งในใจ จากนั้นก็ตบหน้าอกเสียงดังเหมือนเด็กน้อยแล้วตอบรับ “นายหญิงวางใจเถิดขอรับ ไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
เหยาซูยิ้ม มีเถ้าแก่อู๋อยู่ เรื่องราวต่าง ๆ จึงไม่ต้องถึงมือของนาง ประหยัดกำลังไปไม่น้อย
เพราะร้านเสื้อผ้าเป็นการเปิดร่วมมือกันของทั้งสามคนระหว่างเหยาซู เซวียหรงและเจี่ยงฉี ในยามที่ตั้งชื่อนั้นจึงเกิดการขัดแย้งกันเล็กน้อย
เหยาซูคิดว่าในเมื่อเป็นการร่วมมือของทั้งสามคน ก็ไม่ควรตั้งชื่อว่า ‘เหยาจี้’ แต่เซวียหรงและเจี่ยงฉีกลับไม่สนใจเรื่องนี้
เจี่ยงฉีโน้มน้าวนางว่า “ร้านเสื้อผ้าและร้านขายผ้าต่างก็เปิดด้วยกัน สมควรที่จะต้องใช้ชื่อว่า ‘เหยาจี้’ อยู่แล้ว อาซู เราสามพี่น้องไม่ควรแบ่งแยกข้าและเจ้า ใช้ชื่อเดียวเท่านั้น”
เซวียหรงเองก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “จะเปลี่ยนชื่อไปทำไม? คนทั้งเมืองต่างก็รู้ดีว่าร้ายขายผ้าและร้านเสื้อผ้าถูกเปิดในร้านเดียวกัน หรือกังวลว่าจะไม่มีลูกค้า?”
เหยาซูขัดพวกนางไม่ได้ กระทั่งเห็นทั้งสองคนคิดจริงจังเช่นนี้ จึงต้องปล่อยวางลง
ดังนั้นร้านเสื้อผ้าจึงได้ตั้งชื่อว่า ‘ร้านเสื้อผ้าเหยาจี้’ อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ประกาศออกไป คาดไม่ถึงว่าสามวันหลังจากนั้นก็เปิดให้บริการทันที
สองสามวันนี้ได้อาศัยการช่วยเหลือของเถ้าแก่อู๋ ลูกค้าโดยส่วนใหญ่ในเมืองหลวงต่างก็รู้เรื่องที่เหยาจี้เปิดร้านเสื้อผ้าใหม่ จึงตกลงกันมาแสดงความยินดี
นอกจากเหยาซูจะป่าวประกาศให้แก่ร้านเสื้อผ้าแล้ว ยังเตรียมส่วนลดที่ใช้ในวันเปิดร้านอีกไม่น้อย ครั้นเหล่าฮูหยินที่ชอบมาเดินดูผ้าในร้านขายผ้าเหยาจี้ในเมืองได้ยินข่าวนี้ ต่างพากันอยากรู้อย่างฉุดไม่อยู่
“ปกติแล้วร้านขายผ้าเหยาจี้มักจะจัด ‘กิจกรรม’ อะไรทำนองนี้อยู่แล้ว ซื้อผ้ามอบเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ก็ผ้าคาดศีรษะให้โดยไม่เสียเงิน ตอนนี้ร้านเสื้อผ้าได้เปิดทำการ คิดว่าคงจะมีสิ่งของชนิดเดียวกันไม่น้อย”
“พูดออกไปก็กลัวจะถูกหัวเราะเยาะ…จริง ๆ แล้วข้าชอบผ้าที่ร้านพวกเขาให้ต่างหาก จึงได้ซื้อผ้าไปถึงสองผืนใหญ่!”
ทันทีที่โพล่งประโยคนี้ออกมา ก็ได้รับเสียงโห่ร้องไล่หลังมาไม่น้อย แต่ครั้นเห็นร้านขายผ้าเหยาจี้ใช้ใจดึงดูดลูกค้า จึงเกิดผลสำเร็จอย่างมาก
ในวันที่ร้านเสื้อผ้าเปิดบริการอย่างจริงจัง ก็เกิดความโกลาหลอลหม่านในฝูงชน คึกคักจนเหนือความคาดหมาย เห็นได้ชัดว่ากิจการร้านขายผ้าจิ่นซิ่วที่อยู่บนถนนอีกสายหนึ่งได้ซบเซาลงอย่างมาก
ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วอาศัยการลดราคาเพื่อจัดการวัสดุผ้าที่ค้างอยู่ในคลังสินค้า แม้แต่ลูกค้าที่เหยียบย่างเข้ามาในร้าน ปากยังพร่ำพูดถึงร้านเหยาจี้ไม่มีหยุด จังหวะนั้นตู้เหิงได้ยินเข้าพอดี จึงได้แต่ข่มอารมณ์ไว้ในใจ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ไม่รับรู้ข่าวการเปิดร้านขายผ้าเหยาจี้และร้านเสื้อผ้าอีก
ครั้นเถ้าแก่เห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็ได้แต่แบะปาก แล้วสั่งให้ลูกจ้างรีบนำผ้าจากในคลังสินค้าออกมาจัดวางเพื่อต้อนรับลูกค้า
ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วกำลังจัดการกับสินค้าในคลังอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครสนใจว่าร้านขายผ้าเหยาจี้จะรุ่งเรืองเพียงใด ผ่านไปสิบวัน โดยพื้นฐานผ้าเหล่านี้ต้องถูกขายหมดแล้ว
ลูกจ้างเหล่านั้นต่างมาเปิดร้านกันตั้งแต่เช้าตรู่ รอการมาของเถ้าแก่ร้าน ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ กระทั่งวันที่สองก็ยังไม่มีแม้แต่เงา ด้วยความจนปัญญาจึงได้ส่งคนออกไปรายงายต่อผู้เป็นเจ้านาย
ลูกจ้างผู้ไม่เคยไปบ้านของตู้เหิงมาก่อนจึงทำได้แค่ชะเง้อแลมองอยู่หน้าประตูที่เขียนว่า ‘เรือนตู้’ ครู่หนึ่ง กระทั่งถูกคนเฝ้าประตูตวาดใส่
“ทำอะไร?! เห็นชะเง้อมองอยู่นานแล้ว ระวังเจ้าจะถูกจับตัวไปโรงศาล!”
ลูกจ้างผู้นั้นหดคอด้วยความหวาดกลัว “ข้าน้อยมาจากร้านขายผ้าจิ่นซิ่ว …พอดีในร้านมีเรื่องเร่งด่วน จึงต้องมาหานายหญิง”
น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาเหมือนเสียงยุงบินจนคนที่เฝ้าประตูเกือบจะไม่ได้ยิน บังเอิญเจอกับเสี่ยวหงที่จะออกไปซื้อของข้างนอกพอดี จึงจำลูกจ้างผู้นี้ได้ จากนั้นก็พาเขาเข้าไปพบตู้เหิง
ตู้เหิงตื่นขึ้นมาวาดภาพอยู่ในห้องหนังสือตั้งแต่เช้าตรู่ ลูกจ้างได้แต่รออยู่ในลานบ้านกว่าครึ่งชั่วยาม จึงจะได้เจอกับนาย
ดวงอาทิตย์ในฤดูคิมหันต์ช่างเลวร้ายยิ่งนัก แม้จะเป็นยามเช้า แสงแดดก็ยังแผดเผาได้ พาให้ใบหน้าของลูกจ้างแดงระเรื่อ หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ก่อนจะรายงานต่อตู้เหิงว่า “นายหญิง ในร้านเกิดเรื่องแล้วขอรับ…”
ครั้นตู้เหิงล้างมือเสร็จ ก็หันไปมองเสี่ยวหงที่อยู่ข้างกายด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าสองสามวันนี้ไม่อยากได้ยินเรื่องร้านขายผ้า เหตุใดยังให้เขาเข้ามา?”
ครั้นเสี่ยวหงถูกสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของตู้เหิงกวาดมอง ในใจก็พลันรู้สึกเย็นยะเยือก ก่อนจะรีบอธิบายว่า “คุณหนู ข้าน้อยได้ยินลูกจ้างบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วน จึงให้เขาเข้ามา ถ้าคุณหนูไม่อยากฟัง ข้าจะสั่งให้เขาออกไป…”
เมื่อลูกจ้างได้ยินก็ยิ่งร้อนใจ จึงคุกเข่าลงตรงหน้าตู้เหิงจนเกิดเสียงดัง
เขาต้องรอแล้วรอเล่าตลอดช่วงเช้ากว่าจะได้เจอกับตู้เหิง ตอนนี้เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว รีบเอ่ยทันที “นายหญิง! ร้านขายผ้าเกิดเรื่องแล้วจริง ๆ ขอรับ เมื่อวานเราไม่เห็นเถ้าแก่ทั้งวัน สองสามวันนี้เงินจากการขายผ้าในร้านก็ไม่มีสักเหรียญเดียว พรุ่งนี้ก็ถึงวันที่เหล่าข้าน้อยต้องรับเงินเดือนแล้ว นายหญิงว่าเราควรจะตามหาเถ้าแก่หรือไม่ขอรับ?”
เดิมทีตู้เหิงไม่อยากได้ยินเรื่องไร้สาระของเขา ตอนนี้กลับยืนขึ้นทันใด แล้วถามว่า “ไปบ้านของเขาแล้วหรือยัง?”
หากเป็นวันปกติ ยามลูกจ้างได้ยินน้ำเสียงเย็นสบายนี้ ร่างทั้งร่างก็คงจะรู้สึกผ่อนคลายเหมือนกับถูกน้ำเย็นซัดสาดในฤดูร้อนอันแสนอบอ้าว
แต่เถ้าแก่กลับฉกฉวยเอาเงินของร้านไปจนหมดเกลี้ยง ต่อให้ตู้เหิงจะงดงามเป็นสง่าอย่างไร ลูกจ้างก็ไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชม
ใบหน้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะตอบกลับว่า “ไปมาแล้วขอรับ ไปมาแล้วเมื่อคืน เช้าวันนี้ก็ไปมาแล้ว! เดิมทีเถ้าแก่จะเช่าบ้านของเจ้าของที่ไว้หนึ่งหลัง ตอนนี้กลับถูกลงกลอนไว้ ไม่เห็นสถานการณ์ภายในบ้าน…”
ตู้เหิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เงินในร้านหายไปหมดเลยหรือ?”
ลูกจ้างตอบกลับด้วยสีหน้าลำบากใจ “ขอรับ…”
เสี่ยวหงที่มักจะเฉื่อยชาก็ยังฟังออกว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล นางลอบมองสีหน้าเย็นชาของตู้เหิงแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “คุณหนู เถ้าแก่คนนั้น คงจะไม่ได้ขโมยเงินหนีไปแล้วหรอกนะเจ้าคะ?”
ประโยคนี้ของนางเป็นสิ่งที่ลูกจ้างคิดไว้ในใจพอดี แต่ทุกคนต่างไม่กล้าเชื่อว่าเถ้าแก่จะกล้าทำเรื่องแบบนี้จริง ๆ
กระทั่งเห็นสีหน้าที่ดูอึมครึมของตู้เหิง ดวงตาคู่งามฉายแววเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง เห็นความเคืองโกรธอย่างชัดเจน เมื่อสบสายตากับลูกจ้าง เขาจึงได้แต่ก้มหน้างุดอย่างอดไม่ได้
ตู้เหิงพยายามข่มความโกรธในน้ำเสียงไว้ ก่อนจะออกคำสั่งว่า “เจ้ากลับไปร้านก่อน ให้ทุกคนปิดร้าน วันนี้แยกย้ายกันกลับบ้าน รอข้าตรวจสอบแล้วค่อยว่ากันเรื่องอื่น”
ลูกจ้างทำได้เพียงตอบรับอย่างเชื่อฟัง ทั้งยังคิดจะถามถึงเงินเดือนในเดือนนี้ว่าจะจัดการอย่างไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนายตน สุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะถามประโยคนี้ออกไป และกลับไปอย่างว่าง่าย
หลังจากที่ลูกจ้างกลับไปแล้ว ตู้เหิงก็ออกคำสั่งให้ออกตามสืบ ผลลัพธ์จากการสืบหาได้ระบุว่าเถ้าแก่ออกจากเมืองหลวงไปตั้งแต่คืนก่อนหน้านั้น บัดนี้ยังไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย
ครั้นถูกเถ้าแก่ฉ้อโกงเช่นนี้ ตู้เหิงจึงยิ่งโกรธเกรี้ยวจนเขวี้ยงจอกชาสี่ถึงห้าใบแตกเป็นเสี่ยง ๆ และเพราะลูกจ้างที่ทุกคนในร้านส่งตัวมาในวันนั้นขี้ขลาดเกินไป จึงไม่กล้าเอ่ยถามเรื่องเงินเดือน คนอื่น ๆ ในร้านจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป พากันมาหาถึงที่อีกครั้ง
เรือนของตู้เหิงไม่ใหญ่มากนัก ครั้นเห็นเด็กรับใช้หน้าประตูขวางไม่ให้คนเหล่านั้นเข้าไป ทุกคนจึงร้องตะโกนเสียงดังไปทั่วถนนเส้นนี้ ส่งผลให้ถนนที่เดิมทีไม่ได้กว้างขวางนักพากันแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
ระหว่างนั้นยังคงตะโกนแหกปากเสียงดัง “นายหญิง เถ้าแก่ขโมยเงินไปหมดแล้ว เราที่เหลือก็จนปัญญา จึงพากันมาเรียกร้องเงินค่าหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อ นายหญิงจะไม่เจอกับพวกเราไม่ได้นะขอรับ!”
ครั้นเห็นเด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูเป็นคนที่เหมิงฉิงหามา ก่อนหน้านั้นเคยเป็นทหารในค่ายทหาร เพราะขาหักหนึ่งข้างจึงได้ถอนตัวจากการเป็นทหาร
ตู้เหิงอยู่เพียงลำพังไม่มีผู้ใดปกป้องดูแล เหมิงฉิงจึงเชิญเขามาเฝ้าบ้านของตู้เหิง
แม้จะรับประกันความปลอดภัยของบ้านได้ แต่การเคลื่อนไหวของตัวเองในสายตาของผู้อื่นก็ยังเป็นเรื่องที่ตู้เหิงไม่พอใจนัก โชคดีที่เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูผู้นี้ไม่เคยทำผิดพลาด ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างขยันขันแข็ง
ครั้นเห็นว่าเสียงของทุกคนเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เด็กรับใช้จึงได้ตะโกนด้วยสีหน้าเย็นชา “หยุดตะโกน หยุดตะโกนได้แล้ว หน้าบ้านของแม่นางตู้ ตะโกนเสียงดังโวยวายเช่นนี้ ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย”
ลูกจ้างที่เป็นผู้นำคือคนที่พาลูกน้องคนอื่นบุกไปหาเรื่องร้านขายผ้าเหยาจี้ก่อนหน้านั้น เป็นคนที่รับมือกับอารมณ์ได้ยากที่สุด เสียงที่ได้ยินไม่เพียงแต่จะไม่ลดลงแล้ว ตรงกันข้ามยังตะโกนดังขึ้นอีกด้วย พร้อมกับชี้หน้าเด็กรับใช้เฝ้าประตูผู้นั้นพลางตะโกนว่า “จะเข้าท่าหรือไม่เข้าท่าแล้วอย่างไร! เรามันคนหยาบช้า เป็นชายฉกรรจ์ คงไม่รู้หรอกว่าอะไรที่เรียกว่าเข้าท่า รู้แค่ว่าข้ามาเอาเงินเดือนของพวกเรา!”
นิสัยของลูกจ้างในร้านต่างไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องใส่ตัว แต่ตอนนี้มีผู้นำหนึ่งคน ความกล้าหาญของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
กระทั่งมีคนคล้อยตาม “เราไม่ได้มาหาเรื่อง แค่อยากมาหานายหญิง เพื่อจัดการเรื่องเงินเดือนของเดือนที่แล้วให้จบ…”
“ใช่ ใช่ ข้ามีทั้งอาวุโสมีทั้งเด็ก ปากท้องทั้งครอบครัวต่างก็รอเงินก้อนนี้ ตอนนี้เถ้าแก่ได้ขโมยเงินหนีไปแล้ว นายหญิงก็ต้องปิดร้าน เพราะร้านขายผ้าเปิดต่อไปไม่ได้ เงินเดือนของเราจะไม่ให้ก็ไม่ได้เช่นกัน!”
ระหว่างที่ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตนั้น เด็กรับใช้ผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์อยู่ในค่ายทหารมาไม่น้อย ยามถูกชายวัยฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่เหล่านี้ล้อมไว้ ยังคงสงบนิ่ง ไม่มีความเกรงกลัวแต่อย่างใด
เขาแค่เฝ้าประตู แต่กลิ่นอายความดุดันกลับไม่ลดลงเลย กระทั่งเอ่ยปากพูดว่า “เรื่องเงินเดือน ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องสนใจ! แต่การมารวมตัวกันโวยวายทั้งยังบุกเข้าไปในบ้านมันคือความผิดฐานบุกรุกเคหสถานของผู้อื่น ถ้าถูกส่งตัวไปยังโรงศาล คงไม่เป็นธรรมกับพวกเจ้าแน่! ข้าว่าพวกเจ้าแยกย้ายกันก่อนดีกว่า ข้าจะได้ไม่ต้องเชิญทหารจากศาลมาที่นี่!”
ก่อนหน้านั้นทั้งสามคนเคยบุกไปหาเรื่องร้านขายผ้าเหยาจี้ ได้ถูกเหยาเฉาจับขังไปสามวันเต็ม ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็เกิดความกลัว ชายร่างสูงใหญ่ที่เป็นผู้นำคนนั้นกลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงตะโกนออกไป “เจอศาลก็ดี! ตอนนี้ร้านขายผ้าติดหนี้ไม่ยอมจ่าย เหตุใดเราถึงถูกรังแกฝ่ายเดียวด้วย? ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
เมื่อมีผู้นำคนนี้ เหล่าลูกจ้างก็พากันฮึกเหิม เสียงของแต่ละคนต่างก็ดังแข่งขันกัน กระทั่งเสียงโวยวายนี้ดังกังวานไปถึงเรือนด้านหลัง
…………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เถ้าแก่เชิดเงินหนีแล้ว ร้านผ้าก็เจ๊งแล้ว เอาไงดีล่ะนังตู้ จะจ่ายเงินให้ลูกจ้างดี ๆ หรือให้คนหยาบช้าพวกนี้บุกเข้าไปถึงในเรือน
ไหหม่า(海馬)